ระหว่างควบม้าวิ่งไป ถังหยินก็พลันหยุดลงกะทันหัน

เฉิงจินและทุกคนที่เห็นดังนั้นต่างก็มองหน้ากัน ก่อนจะหยุดม้าตามบ้าง “เกิดอะไรขึ้นหรือนายท่าน ?”

ชายหนุ่มเงยหน้าแล้วหลับตาลง “พวกเจ้าทุกคนไม่ต้องตามข้าเข้าไปในวัง แต่จงไปรอข้าที่ทางตะวันตกของวัง”

“ขอรับนายท่าน รักษาตัวด้วย !” เฉิงจินและหน่วยรับคำ

“ข้าก็หวังให้เป็นอย่างนั้นกับพวกเจ้าเช่นกัน อย่าให้ถูกจับได้เสียละ”

“น้อมรับบัญชา”

เมื่อถังหยินแยกตัวกับทหารของเขาแล้ว ชายหนุ่มก็พลันมุ่งหน้าไปยังวังหลวงต่อด้วยตัวคนเดียว

ซ่งเทียนเป็นคนที่โหดร้ายยิ่งนัก ถึงขนาดสามารถสังหารท่านอ๋องเพื่อแย่งตำแหน่งมาได้ ซึ่งการกระทำเช่นนั้นก็ทำให้เขากลัวว่าจะเกิดการซ้ำรอย ดังนั้นเจ้าตัวจึงได้จัดวางกำลังเอาไว้รอบวัง โดยหวังที่จะไม่ให้ใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับเขาเล็ดลอดเข้ามาได้

ทว่าตอนนี้ถังหยินในร่างแยกได้กลับไปเป็นซ่งซาน ดังนั้นเมื่อไปถึงวังเขาก็ตั้งท่าจะเดินเข้าไปข้างในทันที

ทว่า ทหารยามก็ได้ตะโกนลงมาเสียก่อน “ช้าก่อน เจ้าเป็นใครกัน ?”

“ข้าเอง ซ่งซาน” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

ทหารยามที่ระบุตัวตนอีกฝ่ายได้ก็รีบบอกกับทุกคน “แม่ทัพซ่งนี่เอง ท่านกลับมาดึกเชียวนะคืนนี้”

“แล้วเจ้ามีปัญหาหรือ ? ยังไม่รีบเปิดประตูให้ข้าเข้าไปอีก !”

“ช้าก่อน ให้ข้าได้รายงานฝ่าบาทเสียก่อน”

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ซ่งซานก็พลันตวาดลั่นออกมา “เจ้าจะรายงานไปทำบ้าอะไร ? คิดว่าข้าเป็นเพื่อนเล่นเจ้าหรือไง ? บอกให้เปิดประตูก็เปิดสิวะ !”

ทหารยามที่ได้ยินเช่นนั้นก็แอบยิ้มอยู่ในใจ ก่อนที่สุดท้ายจะสั่งให้พวกที่อยู่ข้างล่างเปิดประตู

จริง ๆ แล้วประตูวังไม่ได้ปิดตอนกลางคืนหรอก แต่เพราะซ่งเทียนกลัวว่าพวกกบฏจะลอบเข้ามาต่างหาก

“ท่านซ่งใจเย็น ๆ ก่อน ข้าน้อยทำตามที่ท่านสั่งแล้ว” พวกทหารวังเดินออกมา

ซ่งซานลงจากม้าและไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย เดินตรงไปยังวังหลวงราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น

ตอนที่ถังหยินยังเป็นแม่ทัพอยู่ เขาไม่เคยเข้ามาที่นี่สักครั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาความจำของซ่งซานในการนำทางล้วน ๆ

ชายหนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอู่เหมยถูกขังอยู่ที่ไหน ดังนั้นเมื่อเห็นพวกทหารยามที่เดินผ่านมาเขาจึงถาม “อู่เหมยอยู่ที่นี่หรือเปล่า ?”

ได้ยินแบบนี้พวกทหารก็ตอบอย่างไม่รอช้า “ขอรับ นางเพิ่งถูกพาตัวมาที่วังไม่นานมานี้”

“แล้วอยู่ที่ไหน ?”

“ข้าน้อยไม่รู้…”

“งั้นก็… ไปเถอะ”

“ขอรับ !”

งานแต่งงานของอู่เหมยไม่ใช่เรื่องลับอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมซ่งซานถึงเข้ามาที่วังตอนกลางคืนเพื่อมาหาอู่เหมย แต่เพราะมันเป็นเรื่องของราชวงศ์ ดังนั้นพวกทหารจึงไม่กล้าถามเพิ่มเติม

ถึงซ่งซานจะเป็นแม่ทัพตำแหน่งที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็ไม่มีใครกล้าห้ามเขาเดินในวังแห่งนี้ ทำให้ชายหนุ่มไล่ถามคนไปทั่วจนกระทั่งได้ความว่าอู่เหมยถูกจับขังอยู่ในห้องพักของซ่งเทียน

ในวินาทีนี้ถังหยินเริ่มโมโหขึ้นมาบางแล้ว

การที่จะเข้าห้องนอนของซ่งเทียนได้นั้น ต่อให้เป็นซ่งซานก็ไม่อาจเข้าได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต …หากคิดจะเข้าไปต้องใช้ทางอื่น

ว่าแล้วเขาก็พลันเหลือบไปเห็นนางรับใช้ที่กำลังเดินเข้ามา จึงหาจังหวะที่ไม่มีคนมอง ลากนางเข้ามาในมุมอับสายตา ก่อนจะใช้ไฟเผานางรับใช้โดยที่ไม่มีใครเห็น

เพียงพริบตานางก็กลายเป็นฝุ่น จากนั้นเขาก็กินวิญญาณของนางเข้าไปแล้วเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองให้กลายเป็นนาง

เรียกได้ว่าค่อนข้างเหมือนทีเดียว ถ้าไม่มีเนตรทิพย์ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้

จากนั้นเขาก็เดินไปยังห้องที่ว่า

และก็เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ ไม่มีทหารหรือใครหยุดเพื่อถามไถ่เขาเลย

ด้วยความทรงจำของนางรับใช้ผู้นี้ ก็ทำให้ถังหยินเข้าใจลักษณะโดยรอบของวังนี้มากขึ้น เขาจึงหาทางลัดไปต่อได้อย่างรวดเร็ว

ไฟจากห้องของซ่งเทียนติดอยู่ ทั้งยังมีนางรับใช้เดินเข้าออกมากมาย

เห็นแบบนั้นถังหยินก็เดินตามพวกนางไปยังห้องครัว ก่อนจะหยิบถาดใส่อาหารเดินกลับมาที่ห้องของซ่งเทียนอย่างแนบเนียน

การตกแต่งในห้องนี้ถือว่าหรูหราเป็นอย่างมาก มันประดับด้วยทองและหยก โดยมีซ่งเทียนที่นั่งอยู่ตรงกลางคู่กับอู่เหมย

เขาเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจแล้วเดินเข้าไปหาซ่งเทียน

ว่ากันตามความทรงจำของซ่งซาน ซ่งเทียนมีทหารยามอารักขาอยู่ 4 คน และถึงแม้ว่าพวกเขาจะแต่งชุดธรรมดา หากแต่ก็เก่งกาจเทียบเท่าพวกโรนินในคุกเลยทีเดียว

พวกนางรับใช้พลัดกันเข้าไปวางถาดเอาไว้ที่โต๊ะด้านหน้าของซ่งเทียน แล้วจึงเดินกลับออกไป ทำให้ถังหยินที่ต่อท้ายแถว มีเวลาจ้องมองไปยังสองคนนั้น

อู่เหมยยังคงสวยงามอยู่เหมือนเคย ถ้านางอยู่ในโลกปัจจุบันคงจะเป็นดาราหนังไปแล้ว ด้วยเสน่ห์ที่ทำให้ชายทุกคนต้องหลงใหลไม่เว้นแม้แต่ซ่งเทียนที่อายุห่างกันคราวพ่อแบบนี้

ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่แค่การแต่งงานผูกสัมพันธ์กับตระกูลอู่เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเมืองเพียงอย่างเดียว

ซ่งเทียนพยายามเอาใจอู่เหมยเป็นอย่างมาก มีท่าทีเหมือนกับซ่งซานไม่มีผิดเพี้ยน

ในทางกลับกัน อู่เหมยกลับยิ่งมีสีหน้าที่เย็นชามากขึ้นทุกครั้งที่ซ่งเทียนขยับตัว ด้วยนางกังวลว่าเขาจะทำอะไรต่อจากนี้

ถังหยินวางถาดและอยู่ไม่ห่างจากซ่งเทียนมากนัก การฆ่าเขาด้วยระยะเพียงเท่านี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก

เสี่ยววินาทีนั้น เขาพลันคิดจะสังหารซ่งเทียนเพื่อช่วยอู่เหมยออกมา โดยไม่สนว่านี่จะทำให้ตัวตนถูกเปิดเผยหรือไม่ เพราะอย่างน้อยถ้าตาแก่คนนี้ตายไป พวกกบฏก็จะพากันเคลื่อนไหวกันยกใหญ่อีกแน่ !

เมื่อคิดดังนั้น จิตสังหารของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ในเวลานี้ พวกโรนินทั้ง 4 ก็พลันเงยหน้ามองมายังถังหยิน

ชายหนุ่มเองก็รับรู้ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงได้แต่สบถด่าในใจ ก่อนทำการเปลี่ยนมือให้กลายเป็นดาบแล้วเขวี้ยงถาดออก ก่อนแทงไปยังหน้าผากของซ่งเทียนทันที

ชายแก่ไม่ทันได้ขยับตัว ด้วยไม่รู้ด้วยว่าตัวเองกำลังจะตาย ทว่าหนึ่งในโรนินก็พลันเข้ามาปกป้องเอาไว้ด้วยดาบยาวอย่างรวดเร็ว

เสียงปะทะกันของอาวุธดังก้องไปทั่วบริเวณ ทำให้ตาของถังหยินเบิกตากว้างด้วยความตะลึง

ตอนนี้ซ่งเทียนรู้แล้วว่าเขากำลังถูกปองร้าย จึงรีบตะโกนออกมา “ปีศาจ !” สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวก่อนที่จะถอยหลังกลับไป “มีมือสังหารเข้ามาในวังของข้า !”

ด้วยเสียงตะโกนอันดังนี้ มันก็ทำให้พวกทหารยามที่อยู่นอกห้องรีบวิ่งกรูเข้ามามากมายจนวุ่นวายไปหมด

จากนั้นโรนินก็เดินเข้ามาขวางทางซ่งเทียนเอาไว้ แล้วหันไปพูดกับถังหยิน “ร่างแยกงั้นหรือ ? ในเมื่อเจ้ากล้าทำขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เปิดเผยตัวตนจริง ๆ เสียหน่อยล่ะ ?” ระหว่างที่พูดเขาก็กระโจนขึ้นไปบนโต๊ะ ก่อนส่งดาบที่เปล่งแสงของตนทิ่มแทงไปยังถังหยิน

ถังหยินตะลึง ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายใช้พลังที่เหนือคาดแบบนี้ แต่เพราะพวกเขาใช้วิชานี้ได้อย่างง่ายดายต่างหาก ด้วยวิชาหนามโลหิตถือได้ว่าเป็นวิชาขั้นสูงสำหรับผู้ใช้แสง ซึ่งถ้าเป็นปกติก็จะต้องรวบรวมพลังเข้ามาที่ฝ่ามือก่อนจึงจะใช้งานได้ แต่กับพวกโรนินนี้ต่างกันออกไป หรือว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับปราณเทพเจ้ากันนะ ?