ตอนที่ 171 ผู้อาวุโสสวี ‘ไม่ชวนฉันงั้นเหรอ!’

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ลู่จ้าวอิ่งบ่นข้างหูฉินหร่านอยู่ค่อนวัน อีกฝ่ายแค่ล้วงหูแล้วตอบเขาแค่ว่า ‘อ่อ’

 

 

ความรู้สึกในใจเขาอธิบายได้ยาก

 

 

จำได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนเขาอยากหาอาจารย์ที่ดีกว่าให้ฉินหร่าน พอตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ยังดีที่ตอนนั้นเขาไม่ตบหน้าตัวเองให้บวมเป็นคนอ้วน

 

 

หน้าตาอย่างเขา ไปสมาคมไวโอลินในเมืองหลวงก็หาได้แค่อาจารย์ชั้นหนึ่งให้ฉินหร่าน แต่ระดับอย่างอาจารย์เว่ยนั้น…

 

 

ลู่จ้าวอิ่งคิด เกรงว่าต่อให้ผู้อาวุโสของตระกูลออกหน้าก็ใช่ว่าจะจ้างมาได้

 

 

หากจะหาคนที่จ้างอาจารย์เว่ยได้ ลู่จ้าวอิ่งคิดว่า จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฉิงเจวี้ยนที่จ้างได้แม้กระทั่งไต้ซือเจียง

 

 

ตอนที่รถตู้คันนั้นหยุดลง เขาไม่ค่อยสนใจมากนัก

 

 

แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ลงมาจากรถ ลู่จ้าวอิ่งที่กำลังพูดอยู่ก็ชะงักกลางคัน

 

 

เขาเบิกตากว้าง คล้ายว่าไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น

 

 

คงเพราะรีบมา ชายหนุ่มไม่ทันได้เปลี่ยนยูนิฟอร์มของทีม OST ด้วยซ้ำ

 

 

เขากำลังดึงสายผ้าปิดปากอีกข้างออก หยีตายิ้มอย่างเอื่อยเฉื่อย

 

 

หนึ่งในแฟนคลับตัวยงอย่างลู่จ้าวอิ่งจะไม่รู้จักหยางเฟยได้อย่างไร

 

 

อีกสองวันจะมีการแข่งขันกับทีมของประเทศ H สถานที่คือเมืองเซี่ยงไฮ้ เหมือนว่าทีม OST จะมีแนวโน้มย้ายสำนักงานใหญ่จากเมืองหลวงมาที่เมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

ในการฝึกซ้อมการแข่งขันครั้งนี้ไม่กลับเมืองหลวงเลย

 

 

รถของบ้านเฉียวเซิงมาถึงแล้ว เมื่อเห็นหยางเฟย เขาก็ปิดประตูรถที่เปิดออกลงอีกครั้ง

 

 

เขาไม่เหมือนลู่จ้าวอิ่ง เขาเคยเจอฉินหร่านกับหยางเฟยโดยบังเอิญแล้ว และยังรู้อดีตของฉินหร่านจากปากสวีเหยากวงไม่น้อยเลย นิ่งกว่าลู่จ้าวอิ่งเยอะ

 

 

“เทพพระอาทิตย์” แถมเขายังยกมือขึ้น ทักทายหยางเฟยด้วย

 

 

หยางเฟยก็จำเฉียวเซิงได้เหมือนกัน จึงส่งยิ้มบางๆ ให้เขา

 

 

“บอกนายแล้วไงว่าไม่ต้องมา” ตอนแรกฉินหร่านยังก้มมองปลายเท้าอยู่ เมื่อได้ยินเสียง ก็เชยตาขึ้นมองแล้วยิ้ม

 

 

เดิมทีฉินหร่านไม่ได้ตั้งใจจะชวนคนมามากมายอยู่แล้ว เฉินซูหลานเป็นคนเรียกเฉิงเจวี้ยนมา

 

 

ทั้งลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่ก็ตามมาด้วย

 

 

ตอนหลังเมื่อเห็นคนเยอะเธอเลยเรียกหยางเฟยมาด้วยเสียเลย

 

 

เธอแค่บอกว่าเลี้ยงข้าวเฉยๆ วันนี้หยางเฟยมีฝึกซ้อม จึงบอกฉินหร่านว่าจะมาสายหน่อย

 

 

กระทั่งกลางคืนเขาเห็นโพสต์วีแชทโมเมนต์ของเฉียวเซิง ถึงได้รู้ว่าวันนี้เป็นงานไหว้ครูของฉินหร่าน

 

 

จึงรีบเดินทางมา

 

 

ตามมาไม่หยุดพัก ยังดีที่มาทัน

 

 

เขายื่นถุงสีดำใบหนึ่งให้ฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านยื่นมือออกมารับ พูดกับเขาประโยคหนึ่งอย่างสบายๆ ว่า “ยังไม่สี่ทุ่ม กลับไปซ้อมต่อเถอะ”

 

 

หยางเฟยกวาดตามอบคนรอบข้าง ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “งั้นเธอจะมาดูการแข่งขันของพวกเราไหม สามรอบของประเทศ H ฉันจะเก็บตั๋วไว้ให้”

 

 

“ดูก่อน” ฉินหร่านส่ายหน้า “อยู่เซี่ยงไฮ้ ฉันอาจจะไม่ว่าง”

 

 

หยางเฟยไม่พูดอะไรอีก เขารีบมา ขากลับก็รีบร้อนมากเช่นกัน

 

 

ฉินหร่านเห็นเขาขับรถออกไปแล้ว ก็เดินถอยหลังเล็กน้อย วางถุงสีดำที่หยางเฟยให้เธอมาใส่ในรถของเฉิงเจวี้ยน

 

 

ของที่พวกเจียงหุยให้ไม่สะดวกจะนำกลับหอพัก

 

 

เมื่อโยนของใส่รถของเฉิงเจวี้ยนแล้วก็เดินออกมา เธอถึงได้พบว่าเสียงจ้อกแจ้กจอแจหายไปแล้ว

 

 

รอบตัวเงียบมากทีเดียว

 

 

เธอหันหน้า พยักพเยิดและยักคิ้วใส่ลู่จ้าวอิ่ง

 

 

ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงมู่สบตากัน จากนั้นก็เบนสายตาไปทางฉินหร่านอย่างยากลำบาก “ฉินเสี่ยวหร่าน เมื่อกี้นี้…เทพพระอาทิตย์เหรอ”

 

 

“ใช่” ฉินหร่านพยักหน้า สอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ยอมรับอย่างโจ่งแจ้งมาก

 

 

“เธอสนิทกับเขามากเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งมองฉินหร่านด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

 

ฉินหร่านลูบคาง “พอได้มั้ง”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก เขาอยากคว้าปกเสื้อของฉินหร่านไว้แล้วเขย่าแรงๆ “ทำไมเธอถึงสนิทกับเขาขนาดนี้”

 

 

เรื่องของอาจารย์เว่ย ลู่จ้าวอิ่งก็แค่จำใจร่วมสนุกเท่านั้น แต่หยางเฟยที่ถือเป็นไอดอลสำหรับลู่จ้าวอิ่งแล้ว ต้องไม่เหมือนคนอื่นแน่นอน

 

 

รถที่อาจารย์เว่ยเรียกมาถึงแล้ว

 

 

ฉินหร่านเปิดประตู ให้พานหมิงเยว่กับหลินซือหรานขึ้นไปก่อน

 

 

จากนั้นยกมือวางบนขอบประตูรถ เอี้ยวตัวมาจ้องลู่จ้าวอิ่งพักหนึ่งแล้วยิ้ม “รู้จักตอนเล่นเกม เขาต้องรีบฝึกซ้อม ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสค่อยแนะนำให้พวกนายรู้จัก”

 

 

เธอขึ้นรถ บอกลาคนอื่นๆ แล้วสั่งให้คนรถออกรถ

 

 

พอรถแล่นออกไปแล้ว ลู่จ้าวอิ่งจึงได้สติกลับมา

 

 

“เล่นเกมงั้นเหรอ มือเธอไวสู้เราไม่ได้ด้วยซ้ำ เจอเทพพระอาทิตย์ในอารีนาเดียวกันได้ด้วยเหรอ” ลู่จ้าวอิ่งทึ้งผมอย่างบ้าคลั่ง พูดด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองและอิจฉาว่า “งั้นเธอก็ต้องเคยอยู่อันดับเดียวกับการ์ดเทพของเทพพระอาทิตย์ด้วยน่ะสิ”

 

 

การแข่งขันที่เรียกแฟนคลับได้มากที่สุดของหยางเฟยก็คือ การแข่งขันที่สร้างชื่อด้วยการ์ดหนี่วา ตำนานไร้พ่ายของหยางเฟยกับการ์ดเทพพวกนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเชื่อมโยงกัน

 

 

เฉียวเซิงเตรียมจะกลับไปที่รถของตัวเองอีกครั้ง เมื่อได้ยินประโยคนั้น เขาก็ชะงักไป จากนั้นมองลู่จ้าวอิ่งอย่างเห็นอกเห็นใจ

 

 

ถ้าเจ้านี่รู้ว่าฉินหร่านเป็นคนสร้างการ์ดเทพสามใบนั้น แถมค่า APM ของเธอเป็นอันดับหนึ่งของทีม OST ที่ไม่เคยเปิดเผยคนนั้นด้วย คงจะเป็นบ้าแน่ๆ

 

 

อ่า ถ้ารู้ว่าเขากับหลินซือหรานมีการ์ดสามใบนี้ จะตะลึงหรือเปล่า

 

 

 

 

คนอื่นกลับกันหมดแล้ว เฉิงมู่กับลู่จ้าวอิ่งยังคงครุ่นคิดอยู่

 

 

เฉิงเจวี้ยนยืนพิงประตูหลัง เมื่อเห็นรถคันนั้นของฉินหร่านแล่นไปไกลแล้ว ค่อยล้วงบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้ หรี่ตาลงเล็กน้อย

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็งอนิ้วแล้วเคาะประตูรถ เป็นสัญญาณให้เฉิงมู่กับลู่จ้าวอิ่งตื่นจากภวังค์

 

 

เฉิงมู่นั่งบนที่นั่งคนขับ ค่ำคืนนี้ช่างตื่นเต้นเร้าใจ ยามมือวางบนพวงมาลัย เขาก็ยังรู้สึกมึนงงไม่หาย

 

 

เขาบิดกุญแจ เมื่อเชยตาขึ้น ก็เห็นของขวัญกองใหญ่ของฉินหร่านผ่านกระจกมองหลัง

 

 

เหมือนว่าฉินหร่านจะไม่เอาไปเลยสักอย่าง กองของขวัญทั้งหมดไว้ด้วยกัน

 

 

เมื่อเห็นขวดแก้วที่แขวนอยู่บนไวโอลิน เฉิงมู่ถึงได้เค้นเสียงตัวเองออกมาได้ “อ่า ครั้งนี้ของปลอมที่เพื่อนร่วมโต๊ะของคุณหนูฉินซื้อแตกต่างจากเดิม”

 

 

ครั้งก่อนยังเหมือนเดิมเปี๊ยบ ครั้งนี้สีของใบไม้ไม่เหมือนเดิม คาดว่าน่าจะยังโตไม่เต็มที่

 

 

ลู่จ้าวอิ่งถือมือถือ กำลังรัวข้อความหาฉินหร่านอย่างบ้าคลั่ง

 

 

เมื่อได้ยินเสียงของเฉิงมู่ เขาก็มองไปข้างหลังด้วยเช่นกัน จำได้ว่ามันเป็นหญ้าที่เฉิงมู่เคยบอกเขาครั้งก่อน

 

 

แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่ใส่ใจ สายตากลับมาที่มือถืออีกครั้ง

 

 

ฉินหร่านไม่ตอบคำถามของเขาเลยสักข้อ

 

 

ส่งวีแชทของหยางเฟยมาให้เขาอย่างขอไปที

 

 

 

 

ทางด้านนี้ เฉียวเซิงก็กลับถึงบ้านแล้ว “แม่ แม่รู้ไหมว่าผมเจอใครในงานไหว้ครูของเจ๊หร่าน!”

 

 

แม่เฉียวกำลังถือมือถือนั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟาของห้องรับแขก

 

 

เมื่อได้ยินเสียง ก็พูดโดยที่ไม่หันหน้ามาด้วยซ้ำ “เปลี่ยนรองเท้า”

 

 

เฉียวเซิงวกกลับไปเปลี่ยนรองเท้า

 

 

“อาจารย์เว่ย!” เฉียวเซิงนอนคว่ำข้างแม่เฉียว กดเสียงต่ำพูดว่า “แล้วก็พวกคนในห้องพยาบาลที่คุณชายสวีเคยเตือนผม แล้วก็คนที่แซ่เจียง ผมได้ยินพวกเขาเรียกเขาว่าคุณชายเจียง แถมยังมีคนของสกุลเฟิงด้วย…”

 

 

ตอนที่ได้ยินชื่อหนึ่ง มือของแม่เฉียวก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แม้จะตกใจ แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่เธอยอมรับได้

 

 

แต่ภายหลังมีชื่อเรียงต่อกันมา เธอก็ทนไม่ไหวแล้ว

 

 

มือลื่น การ์ดตัวละครที่เพิ่งถูกเรียกออกมาโดนฆ่าตายเสียแล้ว

 

 

“คุณชายเจียงงั้นเหรอ” แม่เฉียวก็ไม่แยแส เมื่อเห็นว่าแพ้เธอก็ออกจากอารีนา โยนมือถือลงบนโต๊ะ “งั้นก็คือคนของสกุลเจียง อีกสองคนก็คือสกุลเฉิงกับสกุลลู่แน่นอน”

 

 

เฉียวเซิงเกาหัว “สกุลลู่กับสกุลเฉิง แม่ ทำไมผมไม่เคยได้ยินล่ะ”

 

 

แม่เฉียวเหลือบมองเขา “แกต้องไม่เคยได้ยินอยู่แล้วสิ ขึ้นไปอาบน้ำเถอะ”

 

 

หลังเฉียวเซิงลากฝีเท้าขึ้นไปแล้ว แม่เฉียวถึงได้จ้องแผ่นหลังของเขาพลางทำท่าครุ่นคิด “นอนอยู่เฉยๆ ก็รู้จักคนพวกนี้ได้ด้วยเหรอ…”

 

 

เธอคิดๆ แล้วก็หยิบมือถือขึ้นมา ออกจากอินเตอร์เฟสเกม กดโทรศัพท์แล้วโทรออก

 

 

แค่ครู่เดียวก็มีคนรับสาย “อาจารย์สวี…”

 

 

ตอนที่อาจารย์ใหญ่สวีเป็นอาจารย์สอนระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง เขาเคยสอนแม่เฉียว และภายหลังก็เคยช่วยแม่เฉียวไว้หนหนึ่ง

 

 

ตอนนั้นที่อาจารย์ใหญ่สวีเพิ่งมาเมืองอวิ๋นเฉิงครั้งแรก แม่เฉียวก็จำเขากับสวีเหยากวงได้ทันที

 

 

เคยกำชับเฉียวเซิงไว้ ท่าทีของเฉียวเซิงที่มีต่อสวีเหยากวงจึงไม่เหมือนคนอื่น

 

 

แม้กระทั่งว่าเรื่องระหว่างฉินอวี่กับฉินหร่านในตอนนั้น เฉียวเซิงก็เลือกจะประนีประนอม แม่เฉียวเอ่ยปากเรียกอย่างนอบน้อม จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ “เมืองอวิ๋นเฉิงไม่ได้มีเรื่องอะไรใช่ไหมคะ”

 

 

เธอเผลอกำมือถือแน่น

 

 

ทุกคนที่เฉียวเซิงกล่าวถึงในคืนนี้ ล้วนเป็นระเบิดเวลาเมื่ออยู่ในเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีที่อยู่ปลายสายยังอยู่ในเมืองหลวง เขาสวมแว่นสายตา ดวงตาเฉียบคมซ่อนอยู่หลังเลนส์แว่น

 

 

ถือถ้วยชา ฟังหลายคนกำลังรายงานเขาอยู่ ตอนที่รับสายของแม่เฉียว เขาก็ยกมือขึ้น ให้คนพวกนั้นหยุดก่อน ตอนแรกฟังอย่างไม่ใส่ใจ ไม่รู้ว่าไปได้ยินประโยคไหนเข้า

 

 

เขาชะงักไป จากนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เดี๋ยวนะ เธอพูดว่าอะไรนะ”

 

 

“มีทั้งคนของสกุลเฉิง สกุลเจียงกับสกุลลู่ พวกเขาคงไม่ได้…” เสียงของแม่เฉียวเจือความกังวล

 

 

“ไม่ใช่” อาจารย์ใหญ่สวีปิดเอกสารบนโต๊ะ ถามเสียงเข้มว่า “ประโยคก่อนหน้านี้”

 

 

ประโยคก่อนหน้านี้งั้นเหรอ แม่เฉียวนึกย้อน จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไร “ท่านหมายถึงที่อาจารย์เว่ยรับศิษย์…”

 

 

“ฉินหร่านใช่ไหม” อาจารย์ใหญ่สวีซักถาม

 

 

แม่เฉียวตอบอืม

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีกดตัดสาย เดินไปยืนข้างหน้าต่าง ดวงตาขุ่นมัวหลุบลง ครุ่นคิดอยู่นาน

 

 

“อาจารย์ใหญ่สวี?” คนที่มารายงานหลายคนเรียกอาจารย์ใหญ่สวีอย่างระมัดระวัง

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีได้สติ จากนั้นกำมือถือแน่น เดินออกไปข้างนอก “ตอนนี้กี่โมงแล้ว ยังมีตั๋วเครื่องบินไปเมืองอวิ๋นเฉิงอีกไหม ซื้อเที่ยวที่ไวที่สุดให้ฉัน”

 

 

มีคนรีบหยิบมือถือขึ้นมาเช็กดู

 

 

อวิ๋นเฉิงเป็นแค่เมืองระดับสองทั่วไป แถมยังไม่ใช่เทศกาลวันหยุด เที่ยวบินจากเมืองหลวงไปที่นั่นจึงมีไม่กี่เที่ยวต่อวัน

 

 

ตอนนี้ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว ไม่มีตั๋วเครื่องบินแล้ว

 

 

“ผู้อาวุโสสวี มีแค่เที่ยวพรุ่งนี้ตอนแปดโมงเช้า” มีคนตอบอย่างนบนอบ

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีอดรนทนไม่ไหวแล้ว แต่ก็ต้องอดกลั้นไว้ “โอเค”

 

 

เขาก้มมองมือถือแวบหนึ่ง หรี่ตาลง อธิบายไม่ได้ว่าอิจฉาหรืออะไร “เว่ยหลินเป็นอาจารย์ของเธอแล้ว ไม่ชวนฉันเลยเหรอ”

 

 

…วันต่อมา

 

 

คาบวิชาคณิตศาสตร์ คาบเรียนสุดท้ายของช่วงเช้า

 

 

เกาหยางกำลังอธิบายโจทย์ที่ทำตอนวันหยุดสุดสัปดาห์ ควิซชุดนี้ยากมากทีเดียว เขาอธิบายมาสามคาบแล้ว

 

 

ตอนนี้อธิบายถึงหัวข้อใหญ่ข้อสุดท้ายแล้ว

 

 

เป็นโจทย์อนุพันธ์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง ตายเรียบเกือบจะทั้งโรงเรียน

 

 

เกาหยางถือชอล์ก คำนวณมาทั้งคาบแล้ว คราวนี้ถึงตอนจบแล้ว

 

 

ฉินหร่านไม่ค่อยตั้งใจเรียน นอกจากอาจารย์ฟิสิกส์แล้ว อาจารย์คนอื่นไม่ค่อยสนใจเธอมากนัก

 

 

ถึงขั้นว่าหวังให้เธอฟุบนอนกับโต๊ะหรือคัดลายมือทั้งคาบยิ่งดี

 

 

คาบวิชาคณิตศาสตร์เธอก็คัดลายมือตลอดเวลาเหมือนกัน แต่ละขีด เริ่มเห็นความคมชัดขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

ตอนที่ใกล้จะเลิกคาบ จู่ๆ เธอก็วางปากกาลง เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้าน มองกระดานแวบหนึ่ง

 

 

มือข้างหนึ่งวาดพาดกับโต๊ะ กำลังเคาะอย่างสบายๆ

 

 

เธอเงยหน้าขึ้นกะทันหัน ทำเอาเกาหยางสะดุ้งโหยง

 

 

เสียงที่กำลังอธิบายโจทย์ของเกาหยางหยุดชะงัก จากนั้นก็เหลียวหลังมองกระดานดำอยู่บ่อยครั้ง สงสัยว่าตัวเองทำขั้นตอนไหนผิดไปหรือเปล่า

 

 

เขาเขียนขั้นตอนสุดท้ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ จากนั้นก็เขียนคำตอบ

 

 

ฉินหร่านไม่พูดอะไร

 

 

เกาหยางกระแอมเล็กน้อย เริ่มอธิบายอีกครั้ง

 

 

เมื่อกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น เขาจึงโล่งอก พูดคำว่าเลิกคาบ จากนั้นหันไปมองกระดาษดำอีกหลายครั้ง

 

 

วันนี้ฉินหร่านไม่ได้รอให้ทุกคนออกไปกันหมด พอเลิกเรียนก็มุ่งหน้าไปทางห้องพยาบาลทันที

 

 

ของขวัญที่ทิ้งไว้ในรถของเฉิงเจวี้ยนยังไม่ได้เอามา

 

 

วันนี้เกาหยางออกไปช้ากว่านักเรียน เขาถือชอล์ก คำนวณตามขั้นตอนที่ตัวเองเขียนไว้อีกรอบ เมื่อหาข้อผิดพลาดไม่เจอ ก็สบายใจขึ้นมานิดหน่อย

 

 

โยนชอล์กลงบนโต๊ะ เกาหยางหนีบควิซไว้ใต้รักแร้ หันหลังเดินออกไปจากห้อง

 

 

เพิ่งออกไปก็เจอกับอาจารย์ใหญ่สวี เขาตกใจมากทีเดียว “อาจารย์ใหญ่สวี?”

 

 

“อืม” อาจารย์ใหญ่สวียกมือขึ้นดันแว่นสายตา ชะเง้อมองไปข้างหลังเขา ไม่เห็นฉินหร่านบนที่นั่งของเธอ “ฉินหร่านไม่อยู่เหรอ”

 

 

ในห้องยังมีนักเรียนคนอื่นเหลืออยู่

 

 

เมื่อได้ฟังก็ยิ้ม “อาจารย์ใหญ่สวี เจ๊หร่านคงไปห้องพยาบาลแล้วแน่ๆ!”

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีได้ยินประโยคนี้ ในใจก็สับสนยิ่งขึ้น

 

 

เขาพยักหน้า เอ่ยขอบคุณแล้วเดินไปทางห้องพยาบาล

 

 

ในเวลาแบบนี้ ในห้องพยาบาลไม่มีใคร ประตูแง้มอยู่

 

 

อาจารย์ใหญ่สวียกมือขึ้นเคาะประตู

 

 

คนที่เปิดประตูคือเฉิงมู่ ในมือเขายังถือถ้วยชาเปล่าค้างอยู่ ฉินหร่านเพิ่งมา เขายังไม่ได้ชงชา

 

 

ตอนแรกคิดว่าคนที่เคาะประตูเป็นนักเรียน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่สวี เขามองอีกฝ่ายอึ้งๆ “ผู้อาวุโสสวี?”