ตอนที่ 172 สี่สกุลใหญ่รวมตัวกันเล่นไพ่นกกระจอก

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เฉิงมู่เคยได้ยินพวกลู่จ้าวอิ่งพูดเรื่องของอาจารย์ใหญ่สวี

 

 

แต่ไม่เคยเจอเขาที่ห้องพยาบาลมาก่อนเลย ช่วงนี้เจอคนในเมืองอวิ๋นเฉิงเยอะเกินไปแล้ว เมื่อเห็นผู้อาจารย์ใหญ่สวี หลังเฉิงมู่อึ้งแล้วก็เฉยชา “คุณมาหาใครครับ”

 

 

ท่านเจวี้ยนหรือคุณชายลู่?

 

 

สกุลลู่กับสกุลสวีมีความสัมพันธ์กันทั่วไป แต่กับสกุลเฉิง นับว่าไปมาหาสู่กับสกุลสวีอยู่บ้างเหมือนกัน

 

 

ประตูเปิดอ้า จากตำแหน่งของอาจารย์ใหญ่สวี สามารถมองเห็นฉินหร่านกำลังวางมือถือลงบนโต๊ะ

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีละสายตา พงกหัวให้เฉิงมู่เล็กน้อย “ฉันมาหาฉินหร่าน”

 

 

คุณหนูฉิน?

 

 

เฉิงมู่ชะงัก แม้จะแปลกใจ แต่ก็เข้าใจได้

 

 

“คุณหนูฉิน อาจารย์ใหญ่สวีมาหาคุณ” เขาวกกลับไปหาฉินหร่าน

 

 

ฉินหร่านเพิ่งหยิบถุงสีดำที่หยางเฟยให้เธอขึ้นมา เมื่อได้ยินประโยคนี้ มือก็ชะงัก จากนั้นวางถุงลงแล้วเดินออกไป

 

 

หลังฉินหร่านออกไปแล้ว เฉิงมู่ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

 

 

เขามองฉินหร่านออกไปจากห้องพยาบาล

 

 

“คุณชายลู่” ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นคุยกับลู่จ้าวอิ่งที่กำลังถือใบรายการแยกประเภทของสินค้าใหม่เสียงเบาว่า “อาจารย์ใหญ่สวีสนิทกับคุณหนูฉินมากเลยเหรอ เขามาหาเธอทำไม”

 

 

ลู่จ้าวอิ่งวางขวดยาสีขาวใส่ในตู้กระจก เมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็หันหน้ามาเล็กน้อย “หรือเขาก็อยากรับเธอเป็นศิษย์ด้วยเหมือนกัน”

 

 

เขานึกถึงเรื่องผู้สืบทอดที่อาจารย์ใหญ่สวีเคยพูดก่อนหน้านี้

 

 

มือที่กำลังจัดยาอยู่ช้าลง

 

 

“…คุณจริงจังหรือเปล่า” เฉิงมู่หยิบกาน้ำขึ้นรินน้ำใหม่อีกครั้ง

 

 

อาจารย์เว่ยเป็นด้านฝีมือ แต่อาจารย์ใหญ่สวี มันไม่ใช่ปัญหาง่ายๆ เหมือนฝีมือ การตัดสินใจของเขา จะทำให้สถานภาพของสกุลสวี สถานภาพของเมืองหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะเหตุนี้

 

 

เมืองหลวงมีคนมากมายจับจ้อง หากคิดจะเลือกฉินหร่านจริง เกรงว่าแม้แต่เมืองหลวงก็ต้องถล่มทลายเป็นแน่

 

 

ลู่จ้าวอิ่งแยกประเภทยาเสร็จ ก็วางใบรายการในมือลงบนโต๊ะ มองเฉิงเจวี้ยนที่อยู่ข้างในแวบหนึ่ง จากนั้นพิจารณาความเป็นไปได้ของเรื่องนี้

 

 

 

 

ในสวน

 

 

ฉินหร่านมองอาจารย์ใหญ่สวีที่เอาแต่จ้องตัวเอง เผลอไอออกมาอย่างอดไม่ได้ ข้างนอกลมแรง เธอยกฮู้ดของเสื้อกันหนาวขึ้นสวม “อาจารย์ใหญ่สวี เรียกหาฉันเหรอคะ”

 

 

“อืม” อาจารย์ใหญ่สวีพยักหน้า เขาไม่ละสายตา “ฉันได้ยินว่าเมื่อคืนเธอมีงานไหว้ครูเหรอ”

 

 

“ก็ใช่ค่ะ” ฉินหร่านนิ่งไป เธอยกมือขึ้นดึงขอบฮู้ด

 

 

เรื่องนี้ เธอไม่ได้บอกอาจารย์ใหญ่สวี

 

 

เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งเฉินซูหลานเป็นคนแจ้ง ฉินหร่านไม่ได้ว่าอะไร แต่กับอาจารย์ใหญ่สวีมันไม่เหมือนกัน

 

 

การปรากฏตัวของเขาจะไม่ใช่แค่แขกผู้มีเกียรติแล้ว

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีเงียบไปครู่หนึ่ง เขาดันแว่นสายตาบนสันจมูก “อาจารย์คนนั้นคือเว่ยหลินสินะ ตอนนั้นที่เธอบอกฉันว่าไม่อยากไปเมืองหลวง ก็เลยปฏิเสธคำขอของฉัน ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วเหรอ”

 

 

ฉินหร่านหลุบตาต่ำ ไม่พูดอะไร

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีก็ไม่รอให้เธอตอบคำถาม พูดเสียงแผ่วเบาต่อว่า “เธอไม่พอใจฉันเหรอ”

 

 

“หา” ฉินหร่านเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ยิ้ม “เปล่านะคะ อาจารย์ใหญ่สวี ทำไมคุณคิดแบบนี้ล่ะ คุณให้เวลาฉันคิดดูอีกหน่อยเถอะ”

 

 

เธอไม่ได้บอกอาจารย์ใหญ่สวีว่า เรื่องของอาจารย์เว่ย เป็นการจัดการของเฉินซูหลานแต่เพียงคนเดียว

 

 

เธอยอมคิด แสดงว่าเรื่องนี้ยังพอหารือกันได้

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ “งั้นเธอคิดดูให้ดี”

 

 

ฉินหร่านไม่ตอบ ผ่านไปครู่ใหญ่ กว่าจะพูดขึ้นมาว่า “ฉันจะพิจารณาค่ะ”

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีมาหาฉินหร่านเพราะเรื่องผู้สืบทอด ตลอดหลายปีมานี้เธอยืนกรานปฏิเสธมาโดยตลอด คราวนี้ยอมผ่อนลงแล้ว ความรู้สึกของเขาฮึกเหิมขึ้นมาครู่หนึ่ง “งั้นเธอพิจารณาเถอะ”

 

 

แต่ก็มีชั่วขณะหนึ่ง ที่นึกขึ้นได้ว่าเธอรับปากอาจารย์เว่ยแล้ว ในใจเขาก็เจ็บขึ้นมาอีก

 

 

อาจารย์สวีพูดอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นก็เดินมือไพล่หลังออกไป

 

 

วันนี้มีความก้าวหน้า แต่เมื่อเทียบกับเว่ยหลินแล้ว ความก้าวหน้าเพียงน้อยนิดของเขาไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย

 

 

อาจารย์สวีเดินออกไปนอกประตูใหญ่ของห้องพยาบาล คิดๆ แล้วก็หยิบมือถือออกมา โทรศัพท์พลางเดินไปทางที่รถยนต์จอดอยู่

 

 

 

 

ห้องพยาบาล

 

 

ตอนที่ฉินหร่านกลับมา เฉิงเจวี้ยนกำลังย้ายของขวัญอื่นๆ ของเธอมาที่โซฟา

 

 

“ฉินเสี่ยวหร่าน อาจารย์ใหญ่สวีมาหาเธอทำไม” ลู่จ้าวอิ่งเข้าไปหยิบตะเกียบหลายคู่ในห้องครัวออกมา

 

 

ฉินหร่านนั่งอยู่ข้างโซฟา หยิบของขวัญออกมาทีละชิ้น ตอบโดยที่ไม่เงยหน้าเลยด้วยซ้ำ “เป็นห่วงเรื่องการเรียนของฉัน”

 

 

“อ่อ” พอจะยอมรับได้ ลู่จ้าวอิ่งพยักหน้า

 

 

ฉินหร่านเปิดถุงที่หยางเฟยให้เธอออก นิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ปิดลงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

“เทพพระอาทิตย์ให้อะไรน่ะ ขอฉันดูหน่อย!” มือของลู่จ้าวอิ่งจะยื่นออกมาแล้ว ฉินหร่านกวาดสายตามอง เขาจึงหดมือกลับไป

 

 

ของขวิญของพานหมิงเยว่อยู่ในเป้

 

 

ฉินหร่านเปิดดู เป็นเทปวิดีโอม้วนหนึ่ง

 

 

เป็นวิดีโอวันเกิดตั้งแต่เก้าขวบจนถึงอายุสิบเก้าของเธอ พานหมิงเยว่เหมือนแม่ของเธอ ชอบถ่ายรูปมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่เธอออกไปเที่ยว มักจะถ่ายรูปหมู่สิ่งก่อสร้างโบราณกลับมา

 

 

วิดีโอวันเกิดพวกนี้ แรกเริ่มเดิมที แม่ของพานหมิงเยว่เป็นคนถ่าย พอเธออายุสิบหกพานหมิงเยว่ก็รับช่วงต่อ

 

 

ฉินหร่านไม่ค่อยมีความอดทนกับการถ่ายภาพพวกนี้ หลังถ่ายเสร็จก็ทิ้งไว้ที่บ้านของพานหมิงเยว่

 

 

อายุสิบแปดปีขาดไป

 

 

ฉินหร่านเปิดตลับเทปวิดีโอตอนอายุสิบแปด ข้างในเป็นรูปถ่ายกองหนึ่ง มีตั้งแต่เธออายุเจ็ดขวบจนถึงสิบเก้า

 

 

ตอนแรกลู่จ้าวอิ่งอยากยื่นมือมาหยิบรูปถ่ายของเธอไปดู เฉิงเจวี้ยนเองนั่งอยู่ข้างโซฟา เขาไม่ทำอะไร แค่หรี่ตาน้อยๆ เหลือบมองลู่อ้าวอิ่งนิ่งๆ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งชักมือกลับอีกครั้ง ไม่กล้าแตะต้อง จากนั้นก็ลูบต่างหู “ฉินเสี่ยวหร่าน เธอสนิทกับพานหมิงเยว่ขนาดนี้เลยเหรอ”

 

 

มองรูปภาพด้านบนสุด ผู้หญิงเย็นชาผมสั้นหรี่ตาและดูหงุดหงิด แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นฉินหร่าน

 

 

ผู้หญิงข้างๆ เธอที่อายุไล่เลี่ยกับเธอก็ยิ้มตาหยีเช่นกัน สดใสเจิดจ้า มีชีวิตชีวาตามฉบับวัยหนุ่มสาว

 

 

ลู่จ่าวอิ่งชะงัก ไม่ค่อยเหมือนพานหมิงเยว่เลย

 

 

เฉิงเจวี้ยนละสายตาอย่างเชื่องช้า ไม่ดูของพวกนี้อีก แต่หยิบขวดแก้วที่ห้อยอยู่บนไวโอลินขึ้นมา มองดูครู่หนึ่ง จากนั้นก็วางกลับไปที่เดิม

 

 

ฉินหร่านเก็บของขวัญของพานหมิงเยว่ไว้ แล้วฉวยถุงพลาสติกของกู้ซีฉือมา

 

 

“นี่เป็นของขวัญที่เพื่อนของคุณหนูฉินให้มาสินะ” ถุงของห้างสรรพสินค้าหัวเหม่ยสะดุดตาเหลือเกิน เฉิงมู่มองออกได้ในปราดเดียว

 

 

เขาจัดถ้วยชากับจานชาม มองมาทางนี้แวบหนึ่ง นี่ก็เป็นของขวัญที่ปกติที่สุดที่เขาเห็นเมื่อคืนเช่นกัน

 

 

ฉินหร่านเทออกมาอย่างไม่แยแส มีเพชรที่มีขนาดใหญ่กว่าเหรียญกลิ้งออกมา ยังไม่ผ่านการเจียระไน

 

 

กลิ้งไปตามโซฟาจนถึงข้างโต๊ะ สะท้อนกับแสงแดดที่ส่องผ่านช่องหน้าต่างของห้องพยาบาล

 

 

เฉิงมู่ “…”

 

 

เขานิ่งไป จากนั้นย่อตัวลงอย่างแข็งทื่อ ยื่นมือไปเก็บเพชรสีชมพูข้างโต๊ะขึ้นมา เงยหน้าขึ้น “คุณหนูฉิน นี่มัน…”

 

 

เฉิงมู่เคยเห็นเพชรสีชมพู แต่เขาไม่เคยเห็นในระยะใกล้

 

 

เพชรสีชมพูก้อนนี้งดงามมากเกินไป เฉิงมู่ไม่ค่อยกล้าพูดว่าเป็นคริสทัล

 

 

ลู่จ้าวอิ่งละสายตาออกจากเป้ที่พานหมิงเยว่ให้ฉินหร่าน “อะไร”

 

 

เขาเห็นเพชรสีชมพูไม่ชัด

 

 

ฉินหร่านรับมันมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ โยนเข้าไปในถุงพลาสติก พูดออกมาเกินเหตุกว่าเฉิงมู่เสียอีกว่า “ไม่มีอะไร แค่กระจกน่ะ”

 

 

“อ่อ” เฉิงมู่ได้สติกลับมา พยักหน้า

 

 

กระจกที่ใส่ในถุงพลาสติก เขาจำใจยอมรับ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเห็นไม่ชัด เขาตอบว่า ‘อ่อ’ แล้วพยักหน้า จากนั้นเขยิบไปอยู่ข้างฉินหร่าน “ฉินเสี่ยวหร่าน พวกเราจะไปดูพวกเทพพระอาทิตย์แข่งที่เมืองเซี่ยงไฮ้ตอนไหน”

 

 

“อาจจะไม่ไป” ฉินหร่านเก็บของขวัญทั้งหมดไว้ คิ้วขมวดคิ้วมุ่น ตอบเขาอย่างเย็นชา

 

 

เธอนึกถึงใบรายงานผลที่กู้ซีฉือส่งมาให้เธอ

 

 

คิดๆ แล้วก็หยิบมือถือออกมา เปิดรูปนั้นขึ้นมาแล้วยื่นให้เฉิงเจวี้ยน “นายรู้ไหมว่ามันคืออะไร”

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งพิงโซฟา ในห้องพยายามเปิดแอร์ เขาไม่ได้สวมเสื้อนอก เสื้อเชิ้ตสีดำถูกทับจนเกิดรอยย่นเล็กน้อย

 

 

ยื่นมือออกมารับมือถือแล้วมองดู

 

 

ตอนแรกท่านั่งดูเกียจคร้านมากทีเดียว แต่เมื่อเห็นรายละเอียดการตรวจในนั้น เขาก็หรี่ตาลง ยืดตัวนั่งตรง หน้านิ่ง ปลายนิ้วชี้หน้าจอมือถือ “ใครเป็นคนส่งรายงานผลการตรวจให้เธอ”

 

 

“เพื่อนคนหนึ่ง” ฉินหร่านเม้มปาก “รายงานผลการตรวจของยายฉัน”

 

 

“รังสี…” เฉิงเจวี้ยนลุกขึ้น พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์

 

 

จากนั้นผลักประตูกระจก เดินเข้าไปในห้องทำงานของเขา

 

 

 

 

ทางด้านนี้ อาจารย์เว่ยยังรับสายจากสมาคมไวโอลินของแต่ละประเทศอยู่ละแวกโรงแรมอยู่

 

 

ต่างก็มาสืบข่าวของฉินหร่านกับเขา

 

 

เรื่องของฉินหร่าน อาจารย์เว่ยไม่ได้ป่าวประกาศใหญ่โต รอไปเมืองหลวงปีหน้าค่อยประกาศผ่านสื่อ

 

 

“ท่านว่าคุณหนูฉินรู้จักกับคนของสกุลเฉิงกับสกุลลู่ได้ยังไง” วันนี้ในที่สุดอาไห่ก็สงบจิตสงบใจได้สักที เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ

 

 

อาจารย์เว่ยส่ายหน้ายิ้มๆ “ตอนแรกฉันอยากปูทางให้เธอ ไม่คิดเลยว่าเธอเกือบจะปูทางให้ฉันแทนซะแล้ว”

 

 

ขณะที่พูดถึงตรงนี้ เขายังตกใจอยู่ไม่น้อย

 

 

เมื่อคืนหลังกลับมา เจียงหุยยังมาขอบคุณที่เขาเชิญผู้บัญชาการเฉียนมา

 

 

อาไห่เทน้ำแก้วหนึ่ง ยื่นมืออาจารย์เว่ยที่นั่งอยู่บนโซฟา “สกุลเฉิง สกุลลู่กับสกุลเจียงก็อยู่กับครบแล้ว ขาดสกุลสวีกับสกุลโอวหยาง ห้าสกุลก็จะรวมตัวกันได้แล้ว สกุลโอวหยางยังพอว่า แต่คนของสกุลสวีเย่อหยิ่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คลุกคลีไม่ง่าย…”

 

 

เมื่อพูดถึงตรงนี้ อาไห่ก็ส่ายหน้าแล้วยิ้ม คิดว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ

 

 

ขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นข้างนอก