ตอนที่ 173 เธอคิดว่าโรงแรมอวิ๋นติ่งเป็นของบ้านเธอหรือไง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

“ใครมาเคาะประตูเวลานี้กัน” อาไห่ชะงัก

 

 

ข่าวที่อาจารย์เว่ยมาเมืองอวิ๋นเฉิงมีแค่ไม่กี่คนในเมืองนี้ที่รู้ เมื่อสองวันก่อนมาเยี่ยมเกือบจะทุกคนแล้ว

 

 

วันนี้ก็มีเพียงพวกคนของสมาคมต่างมณฑลที่โทรศัพท์มา

 

 

เมืองอวิ๋นเฉิงยังมีใครอีก

 

 

อาไห่วางกาน้ำชาในมือลง เดินไปเปิดประตู

 

 

นอกประตูมีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ สวมแว่นสายตา ชุดสูทแบบจีนสีดำ บุคลิกดูเรียบง่ายพิถีพิถัน

 

 

เหมือนจะคิดไม่ถึงเลยคนที่เคาะประตูจะเป็นเขา อาไห่นิ่งไปครู่หนึ่ง กว่าจะตอบสนอง “ผู้อาวุโส…สวี”

 

 

คนสกุลสวีเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยปรากฏตัวในที่สาธารณะ แต่สวีเหยากวงกับอาจารย์เว่ยพอจะคบค้ากันอยู่บ้าง อาไห่จึงเคยเห็นตัวจริงของอาจารย์ใหญ่สวีแล้ว

 

 

เพียงแต่ว่าปกติแล้วอาจารย์ใหญ่สวีไม่ค่อยคบค้ากับสกุลอื่น

 

 

แม้อาจารย์เว่ยกับสวีเหยากวงจะไปมาหาสู่กันบ้าง แต่กับคนในสกุลสวียังนับว่าห่างไกลพอสมควร

 

 

เพราะตระกูลเหล่านั้นในเมืองหลวง ใช่ว่าจะอยากผูกมิตรก็จะผูกได้

 

 

“ไม่ทราบว่า อาจารย์เว่ยหลินอยู่ห้องนี้หรือเปล่า” อาจารย์ใหญ่สวีมองหมายเลขห้องแวบหนึ่ง

 

 

“ใช่ครับ” อาไห่รีบเป็นประตูเป็นพัลวัน “เชิญเข้ามาเลยครับ”

 

 

หลังอาจารย์ใหญ่สวีเข้าไปแล้ว อาไห่ก็ปิดประตู “นายท่าน ผู้อาวุโสสวีมาครับ”

 

 

อาจารย์เว่ยที่เพิ่งวางมือถือลง กำลังหยิบแก้วน้ำวางแก้วน้ำลง ลุกขึ้นด้วยความตกใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโสสวี เชิญนั่งครับ”

 

 

ในใจเขาก็แปลกใจเช่นกัน รู้สึกว่าสกุลเว่ยของพวกเขาจะไม่ได้สนิทกับสกุลสวีขนาดนั้นนะ

 

 

ผู้อาวุโสสวีมาหาเขาทำไม

 

 

อาไห่รินชาให้ผู้อาวุโสสวี

 

 

“คืออย่างนี้ ผมมาหาเพราะเรื่องของฉินหร่าน” อาจารย์ใหญ่สวีถือถ้วยชา พูดตรงไปตรงมาว่า “ได้ยินว่าเมื่อวานคุณรับเธอเป็นศิษย์”

 

 

“ที่แท้ผู้อาวุโสสวีก็มาเพราะเรื่องนี้นี่เอง” ในใจของอาจารย์เว่ยตกตะลึง แต่ใบหน้าไม่แสดงออกเลยแม้แต่นิด

 

 

คุณหนูฉินหร่านอีกแล้วเหรอ

 

 

อาไห่ชะงักไป อาจารย์ใหญ่สวีก็เป็นบุคคลประเภทเพื่อนของคุณหนูฉินเหมือนกันงั้นเหรอ

 

 

แต่คนอย่างเฉิงเจวี้ยนและลู่จ้าวอิ่งยังโผล่มาได้ ตอนนี้มีผู้อาวุโสสวีเพิ่มมาอีกคน ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

 

 

อาไห่คิดอย่างตายด้านและแข็งทื่อ

 

 

“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้” อาจารย์ใหญ่สวีส่ายหน้า เขาดื่มชาคำหนึ่ง เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ผมอยากถามคุณว่า คุณทำยังไงให้ฉินหร่านตกลงเรียนไวโอลินกับคุณ”

 

 

อาจารย์เว่ยชะงัก ไม่คิดว่าอาจารย์ใหญ่สวีจะถามเขาแบบนี้

 

 

“คุณเองก็รู้ว่า ไม่มีวี่แววของผู้สืบทอดของผมเลย ช่วงสามปีมานี้ผมอยู่ในเมืองอวิ๋นเฉิงตลอดเวลา เพื่อค้นหาผู้สืบทอด แต่เธอไม่ยอมตกลงเลย” ในเมื่อเกริ่นแล้ว อาจารย์ใหญ่สวีก็ไม่ปกปิด เขาอยากรู้มากจริงๆ ว่าอาจารย์เว่ยทำอย่างไรให้ฉินหร่านตอบตกลง

 

 

อาจารย์เว่ยฟังพลางตอบ ‘อืม’

 

 

“พูดมาขนาดนี้ คุณน่าจะเดาออกแล้วว่า ก็คือฉินหร่านลูกศิษย์ที่คุณเพิ่งรับเมื่อวานคนนั้น” อาจารย์ใหญ่สวีวางแก้วลงบนโต๊ะแล้วเชยตาขึ้น

 

 

“อ๋อ” อาจารย์เว่ยพยักหน้า

 

 

เขายกแก้วขึ้นดื่มน้ำอีกครั้ง

 

 

ขณะที่ดื่มไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ได้สติ

 

 

“แค่กๆ”

 

 

เขาไออย่างแรง อาไห่จึงรีบเข้ามาตบหลังเขาเป็นพัลวัน

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีมองหน้าอาจารย์เว่ยอย่างเย็นชาไร้น้ำใจ ไม่มีความเห็นใจเลยสักนิด

 

 

ราวๆ สามนาที ในที่สุดอาจารย์เว่ยก็ดีขึ้น เขาเงยหน้าขึ้น วางแก้วลงบนโต๊ะดังปึง “ผู้อาวุโสสวี เมื่อกี้ท่านว่าอะไรนะ เหมือนผมจะได้ยินผิดไป”

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีเล่าซ้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

“นิสัยของเธอผมรู้ดี” อาจารย์ใหญ่สวีจ้องอาจารย์เว่ย “ผมอยากรู้ว่าคุณทำยังไงถึงโน้มน้าวเธอได้”

 

 

“อ่า” อาจารย์เว่ยก็ยังมึนงงอยู่ดี สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว “คุยกับเธอไม่รู้เรื่องหรอก ต้องไปหาคุณยายของเธอถึงจะได้ผล”

 

 

“คุณยาย?” อาจารย์ใหญ่สวีพยักหน้า

 

 

จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างสง่างาม “อาจารย์เว่ย ขอโทษที่วันนี้มารบกวน พรุ่งนี้จัดงานที่เอินอวี้ หวังว่าคุณจะให้เกียรติมาร่วมงาน”

 

 

หลังผู้อาวุโสสวีกลับไปแล้ว

 

 

สองคนในโรงเรียนก็ยังติดอยู่ในภวังค์

 

 

“ผู้สืบทอดที่ผู้อาวุโสสวีบอกว่าจะเลือกเมื่อกี้คือหรานหร่านงั้นเหรอ” อาจารย์เว่ยมองอาไห่

 

 

อิทธิพลของสกุลสวีที่มีต่อเมืองหลวงไม่ต้องพูดถึง แตกต่างกับอาจารย์เว่ยอย่างสิ้นเชิง คนอื่นยกย่องเขาเป็นไต้ซือ เพราะให้เกียรติเขา แต่สกุลสวี สิ่งที่อยู่ในมือนั้นเป็นอำนาจอย่างแท้จริง

 

 

อาไห่พยักหน้าอย่างยากเย็น “เหมือน…เหมือนว่าจะใช่นะครับ…”

 

 

 

 

โรงพยาบาล

 

 

หนิงฉิง ผู้เฒ่าหลินและคนสำคัญในครอบครัวหลินฉีมากันเกือบจะทุกคน

 

 

“คุณแม่ ผู้เฒ่าหลินมาเยี่ยมค่ะ” หนิงฉิงเข้ามา ช่วยจัดหมอนให้เฉินซูหลานหนุน

 

 

เฉินซูหลานไม่กระปรี้กระเปร่า แค่มองพวกเขาแวบหนึ่ง ไอสองที จากนั้นพูดเสียงเรียบว่า “ขอบคุณ”

 

 

ท่าทีของเธอ ฝั่งสกุลหลินนอกจากหลินฉีกับผู้เฒ่าหลินแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ขมวดคิ้ว

 

 

ในสายตาของพวกเขา ครอบครัวของหนิงฉิง ต่างก็พึ่งบารมีของฉินอวี่

 

 

เฉินซูหลานอย่างมากก็เป็นแค่หญิงชาวบ้าน พึ่งบารมีสกุลหลินถึงได้อยู่ในห้องผู้ป่วยวีไอพีของโรงพยาบาล ตอนนี้ยังจะแสดงท่าทีแบบนี้อีก

 

 

แต่คนพวกนี้ต่างก็ไม่พูดอะไร

 

 

หนิงฉิงพูดเสียงอ่อนลง “แม่ไม่ได้ไปร่วมงานไหว้ครูในเมืองหลวง พวกเราเลยตกลงกันว่าจะจัดที่อวิ๋นเฉิงอีกครั้ง ให้ครอบครัวทั้งสองฝ่ายมาร่วมสังสรรค์กันหน่อย อีกไม่กี่วันนี้นี่แหละ”

 

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เฉินซูหลานก็ลืมตาขึ้น เธอมองหนิงฉิงแวบหนึ่ง สุดท้ายก็หลับตาลง

 

 

“ไม่ไป” เอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนเพลียและเย็นชา

 

 

หนิงฉิงเม้มปาก

 

 

ใบหน้าของผู้เฒ่าหลินเปื้อนรอยยิ้มตลอดเวลา “ท่านคงจะเหนื่อย เธอก็อย่าเซ้าซี้ไปเลย”

 

 

น้ำเสียงของเขาเชื่องช้า คาดเดาอารมณ์ไม่ออก

 

 

พวกเขาออกจากห้องผู้ป่วย หนิงฉิงยังอยู่ข้างในไม่ออกมา

 

 

“คุณปู่ครับ เฉินซูหลานคนนี้ช่างไม่รู้จักรับความหวังดีเอาซะเลย” ชายหนุ่มคนหนึ่งย่นคิ้ว

 

 

ผู้เฒ่าหลินมือไพล่หลัง พูดนิ่งๆ ว่า “หญิงบ้านป่า อย่าไปถือสานักเลย”

 

 

ประตูลิฟต์เปิดออก

 

 

ชายชราสวมแว่นสายตาคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน

 

 

หลินฉีเคยเจออาจารย์ใหญ่สวีตอนฉินอวี่เปิดเทอม ย่อมต้องรู้จักเขาเป็นธรรมดา เขาชะงักไปครู่หนึ่ง รีบเอ่ยปากว่า “อาจารย์ใหญ่สวี”

 

 

อาจารย์ใหญ่สวีรีบร้อนไปหาเฉินซูหลาน เมื่อได้ยินว่ามีคนเรียกเขา ฝีเท้าก็หยุดครู่หนึ่ง จากนั้นดันแว่น จำหลินฉีไม่ค่อยได้ จึงพยักหน้าให้เขา ไม่พูดอะไร

 

 

เมื่อเขาไปแล้ว

 

 

คนสกุลหลินจึงเข้าไปในลิฟต์

 

 

ประตูลิฟต์ปิดลง ผู้เฒ่าหลินมองหลินฉี “คนเมื่อกี้คือ…”

 

 

“อาจารย์ใหญ่สวี” หลินฉีพูดเสียงเบา “เมื่อสามปีก่อนมีอาจารย์ใหญ่คนหนึ่งถูกส่งตัวมาอีจง ได้ยินว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวง จะมีคนที่ขับรถป้ายทะเบียนพิเศษของเมืองหลวงไม่ทราบชื่อมาหาเขาทุกเดือน”

 

 

ผู้เฒ่าหลินสะดุ้ง เขาขบคิดพักหนึ่ง “ส่งตัวมาภายใต้สถานการณ์ที่อาจารย์ใหญ่คนก่อนไม่ได้ทำอะไรผิด…” เรื่องเหล่านี้นักเรียนและครูในอีจงต่างก็รู้ดี ไม่ถือเป็นความลับ เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์ใหญ่สวีเป็นใครกันแน่

 

 

เพราะว่า ข่าวตามเว็บไซต์ในเมืองหลวงอย่าว่าแต่เสิร์ชหาเลย แค่พาดพิงถึงก็ถูกบล็อกทันที

 

 

“งานเลี้ยงพรุ่งนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว ฝั่งหรานหร่าน…” หลินฉีไม่พูดถึงอาจารย์ใหญ่สวีอีก นิ่งไปชั่วครู่แล้วพูดถึงฉินหร่าน

 

 

ผู้เฒ่าหลินมองเขาแวบหนึ่ง ครุ่นคิดครู่เดียว “ฝั่งเธอไม่ต้องแจ้งแล้ว”

 

 

ตอนแรกเขาก็มีความคิดอยากให้หลินฉีผูกมิตรกับฉินหร่านเช่นกัน

 

 

เนื่องด้วยเรื่องของเมิ่งซินหรานทำให้พวกเขาจำใจต้องเลือกฉินอวี่แทนอย่างไม่มีทางเลือก

 

 

ดูจากตอนนี้แล้ว ต้องขอบคุณเรื่องนั้น ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนก็เอาแต่ลังเลก่อนที่จะรู้ผลเรื่องของฉินอวี่ แบบนี้จะได้ไม่รู้สึกแย่กันทั้งสองฝ่าย

 

 

หลินฉีถอนหายใจ ไม่คิดเรื่องนี้อีก

 

 

…ห้องพยาบาลโรงเรียน

 

 

บนโต๊ะทำงานของเฉิงเจวี้ยนมีของประหลาดอย่างพวกบีกเกอร์ขวดปริมาตรเพิ่มมา

 

 

ข้างมือมีหลอดทดลองวางอยู่

 

 

ฉินหร่านกำลังคัดลายมืออยู่อีกทาง เธอไม่ได้เข้าเรียนคาบบ่าย

 

 

ช่วงนี้อาจารย์เกาค่อนข้างเข้าอกเข้าใจเธอ

 

 

แน่นอนว่า นอกจากอาจารย์ฟิสิกส์แล้ว อาจารย์คนอื่นก็ใจกว้างกับเธอมากเช่นกัน

 

 

แม้เธอจะหงุดหงิดอยู่บ้าง เธอก็เม้มปากเขียนตัวอักษรทีละตัวอย่างเชื่องช้า

 

 

เจียงตงเย่นอนอยู่บนเก้าอี้ราวกับศพ

 

 

ลู่จ้าวอิ่งพิงอยู่บนโซฟา เลิกคิ้วใส่เฉิงมู่ที่เดินเข้ามา ถามเขาว่าเจียงตงเย่เป็นอะไรไป

 

 

“รู้สึกว่ารูปของกู้ซีฉือในมือถือจะถูกคนลบทิ้ง” เฉิงมู่มองเจียงตงเย่อย่างเห็นใจ

 

 

ภาพนำจับของกู้ซีฉือมีอยู่แค่รูปเดียว แถมยังถูกคนลบทิ้งเพราะการรนหาที่ตายชั่ววูบของตัวเอง

 

 

ตอนนี้เป็นยุคบิ๊กดาต้า แทบจะไม่มีใครปรินท์รูปภาพกันแล้ว

 

 

หากรู้แต่แรกว่ามีบิ๊กบอสแฮกเกอร์อยู่เบื้องหลังกู้ซีฉือ เขาจะไม่รนหาที่ตายแบบนี้ ต้องปรินท์รูปของกู้ซีฉือหลายพันใบแน่นอน

 

 

“วันนี้อาเล็กของฉันยุ่งอีกแล้ว” เจียงตงเย่ใช้หมอนหมุนปิดหัวตัวเอง ขาพาดอยู่บนโต๊ะ ยอมจำนนกับชะตาของตัวเองแล้วอย่างสิ้นเชิง “เขาช่วยติดต่อผู้บัญชาการเฉียนให้ฉัน ฉันไปหาที่ทำงานของผู้บัญชาการเฉียนหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เจอ…”

 

 

หากเจียงตงเย่ไม่พูดยังดี แต่เมื่อพูดขึ้นมา สายตาของเฉิงมู่กับลู่จ้าวอิ่งที่มองเจียงตงเย่ก็พิลึกยิ่งกว่าเดิม

 

 

ทั้งคู่ไม่ได้บอกเจียงตงเย่ว่า เมื่อคืนพวกเขาไม่ได้เจอแค่เจียงหุยเท่านั้น แต่ยังเจอผู้บัญชาการเฉียนอีกด้วย…

 

 

“ฉันจะลองไปหาผู้บัญชาการเฉียนดูอีกครั้ง” เจียงตงเย่ดูเวลาในมือถือ จากนั้นลุกขึ้น กวาดสายตามอง เห็นฉินหร่านที่ยังฟุบหน้ากับโต๊ะ นิ่งไปเล็กน้อย “เธอ…ไม่ต้องเข้าเรียนเหรอ”

 

 

ตอนนี้จวนจะบ่ายสามแล้ว ตามเวลาพักของนักเรียนมัธยมปลายแล้ว ใกล้จะเลิกคาบแรกแล้วสินะ

 

 

เฉิงมู่พูดเสียงเรียบว่า “ครูของเธอไม่สนใจเธอหรอก”

 

 

เจียงตงเย่ชะงัก นึกขึ้นได้ว่านอกจากฟิสิกส์แล้ว คะแนนรวมวิชาอื่นคือ 646 คะแนน ก็กระแอมไอ จากนั้นหยิบเสื้อนอกแล้วออกไป

 

 

ฉินหร่านคัดไปได้อีกหน้าแล้ว

 

 

มือถือในกระเป๋าสั่นทีหนึ่ง

 

 

เธอล้วงออกมาดูอย่างไม่ยี่หระ

 

 

เป็นข้อความจากฉินฮั่นชิว

 

 

โยนปากกาลงบนโต๊ะ

 

 

ฉินหร่านเอนตัวพิงพนัก ต่อสายหาเขาทันที กดเสียงให้เบาลงเล็กน้อย “พ่อ”

 

 

ฝั่งฉินฮั่นชิวดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด เสียงดังทีเดียว “หรานหร่าน วันนี้พ่อมาเมืองอวิ๋นเฉิง คืนนี้เลิกเรียนแล้วลูกออกมาสิ พ่อจะพาไปกินของดีๆ”

 

 

ฉินหร่านยื่นมือออกไปพลิกสมุดคัด เลิกคิ้ว “ทำไมจู่ๆ ถึงมาที่นี่ล่ะ”

 

 

“สกุลหลินเชิญพวกเรามาน่ะ พ่อมากับพวกคุณย่าน่ะ” ฉินฮั่นชิวนิ่งไป พูดอย่างระมัดระวังว่า “แล้วก็น้องชายลูก ถ้าลูกไม่ชอบ คืนนี้จะไม่พาเขาไป…”

 

 

ฉินหร่านปิดสมุดคัด เธอนวดขมับ ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหน”

 

 

“เพิ่งลงจากรถ อยู่ที่ท่ารถ” ฉินฮั่นชิวตอบเธอเสียงดัง “รถของสกุลหลินจะมารับพวกเราไปโรงแรมแล้ว”

 

 

ลงจากรถก็ทนไม่ไหวส่งข้อความหาเธอทันที

 

 

ฉินหร่านมองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง อีกฝ่ายกำลังใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องอะไรบางอย่างอยู่ เธอลุกขึ้น เดินไปข้างๆ สองแก้ว พูดเสียงเบาว่า “โรงแรมไหน”

 

 

ฉินฮั่นชิวบอกชื่อโรงแรมหนึ่งมา

 

 

บังเอิญนัก เป็นโรงแรมที่อาจารย์เว่ยกับกู้ซีฉือพักอยู่พอดี

 

 

ฉินหร่านยังมีคำถามอยากถามกู้ซีฉือต่อหน้า “ได้ พ่อรอนั่นแหละ เดี๋ยวหนูจะไปเอง”

 

 

 

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ณ โรงแรมอวิ๋นติ่ง โรงแรมห้าดาวระดับนานาชาติหนึ่งเดียวในเมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

เป็นโรงแรมภายใต้สังกัดของอวิ๋นกวงกรุ๊ป

 

 

เมื่อใดก็ตามที่ต้องการรักษาความลับ มันเป็นสถานที่ชั้นหนึ่งเสมอ

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาถึง ฉินฮั่นชิวกับญาติโขยงใหญ่ของสกุลหนิงต่างก็ออกันอยู่ในโถงใหญ่

 

 

ฉินฮั่นชิวสวมเสื้อโค้ตดูใหม่เอี่ยม ใบหน้าของเขากร้านแดด ตอนนี้กำลังคุยอะไรบางอย่างด้วยสีหน้ากังวลกับผู้หญิงผมสั้นอยู่ อ่อนน้อมถ่อมตัว ใบหน้าดำแดดแดงขึ้นเล็กน้อย

 

 

ข้างๆ มีเด็กน้อยอายุต่ำกว่าสิบขวบ

 

 

ข้างผู้หญิงผมสั้นมีผู้ชายที่สวมชุดดำสองคนไม่รู้ว่าเป็นผู้ช่วยหรือเป็นบอดี้การ์ด

 

 

ญาติคนอื่นๆ ของสกุลหนิงยืนอยู่ไกลพอสมควร ราวกับไม่รู้จักฉินฮั่นชิวอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“เกิดอะไรขึ้น” ฉินหร่านขมวดคิ้วเดินเข้าไปใกล้

 

 

ผู้หญิงผมสั้นมองฉินหร่าน หยุดอยู่ที่ยูนิฟอร์มโรงเรียนของเธอครู่หนึ่ง สายตาดุดัน ไม่พูดอะไรกับเธอ เพียงแค่มองฉินฮั่นชิวนิ่งๆ “รอตำรวจมาค่อยว่ากันดีกว่า”

 

 

ฉินหร่านมองข้างๆ เธอ ก็เห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่หลังบอดี้การ์ดชุดดำกับผู้หญิงผมสั้น

 

 

อากาศเย็นมากทีเดียว แต่เธอสวมชุดราตรี ด้านนอกมีเสื้อนอกคลุมอยู่เท่านั้น

 

 

ผมเป็นลอน แลดูสะสวย

 

 

สวมแว่นกันแดดสีดำ มองเห็นหน้าเธอไม่ชัด แต่มีคนกำลังถ่ายรูปอยู่ไม่ไกล น่าจะเป็นดารา

 

 

ป้าจางรับผิดชอบดูแลที่พักให้กลุ่มคนสกุลหนิง ตอนนี้เธอกำลังโทรศัพท์หาหลินฉี ไม่สนใจฉินหร่าน วันนี้เรื่องนี้บานปลายใหญ่โต ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือสกุลหลิน

 

 

สีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนัก บนใบหน้ามีความเอือมระอา

 

 

“เมื่อกี้เสี่ยวหลิงชนคุณหนูหลี่ท่านนั้น สร้อยคอของคุณหนูหลี่หาย ป้าสะใภ้ของลูกพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเสี่ยวหลิงเอาไป ถึงเสี่ยวหลิงจะดื้อ แต่เรื่องนี้เขาไม่ทำแน่…” ฉินฮั่นชิวเม้มปาก “หรานหร่าน อย่าเข้ามา เดี๋ยวตำรวจก็มาแล้ว”

 

 

เมื่อมีเรื่องแบบนี้ ญาติฝั่งสกุลหนิงหลีกไปอีกทางนานแล้ว ป้าจางก็ไม่อยากคุยกับพวกเขา

 

 

ฉินฮั่นชิวไม่อยากให้ฉินหร่านมีส่วนเอี่ยว

 

 

เมื่อฟังถึงตรงนี้ ฉินหร่านก็พอเข้าใจแล้ว เธอมองฉินหลิงแวบหนึ่ง พูดเสียงเรียบว่า “แค่ดูกล้องวงจรปิดก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหมือนคนบ้านนอกของเธอ ป้าจางที่กำลังต่อสายหาหลินฉีก็เหลือบมองฉินหร่าน ขมวดคิ้วเหยียดปาก

 

 

ผู้หญิงผมสั้นมองฉินหร่านด้วยสายตาดุดัน จู่ๆ ก็หัวเราะ “เธอคิดว่าโรงแรมอวิ๋นติ่งเป็นของบ้านเธอหรือไง อยากดูกล้องวงจรปิดก็ดูได้ตามใจชอบเหรอ”

 

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฉินหร่านก็เลิกคิ้ว