ตอนที่ 174 ไม่มีใครจับคนผ่านทางฉินหร่านได้

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

อวิ๋นกวงกรุ๊ปค่อนข้างสงวนชื่อเสียง

 

 

บริษัทในเครือภายใต้สังกัด ล้วนไม่แขวนชื่อของอวิ๋นกวงกรุ๊ป

 

 

โรงแรมอวิ๋นติ่งก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

 

 

คนในแวดวงต่างก็รู้ดีว่าเป็นกฎของอวิ๋นกวงกรุ๊ป ไม่ว่าคุณเป็นใคร ไม่ว่าสมาคมใดก็ตามที่เข้าร่วมสังกัดอวิ๋นกวงกรุ๊ปแล้ว ทุกคนล้วนอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย ข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บเป็นความลับ

 

 

นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่อวิ๋นกวงกรุ๊ปกลายเป็นห้าผู้มีอิทธิพลใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง

 

 

ฉะนั้นการขอภาพกล้องวงจรปิดของโรงแรมอวิ๋นติ่งยากเย็นเหลือเกิน ต้องรอให้ฝั่งตำรวจทำคดีก่อน

 

 

เรื่องเหล่านี้เป็นกฎที่ไม่ได้ตั้งเป็นลายลักษณ์อักษร

 

 

ฉะนั้นตอนที่ได้ยินฉินหร่านบอกว่าจะดูกล้องวงจรปิด หญิงผมสั้นถึงได้พูดจาเหน็บแนม

 

 

ป้าจางต่อสายหาหลินฉีติดแล้ว เธอเล่าสถานการณ์ที่นี่ให้หลินฉีฟังอย่างกระชับได้ใจความ

 

 

ผู้หญิงที่สวมแว่นกันแดดคนนั้นเห็นได้ชัดว่าดูไม่ธรรมดา เรียกหนิงฉิงมาคงไม่มีประโยชน์แน่นอน

 

 

เมื่อวางสาย ป้าจางถึงได้มองพวกฉินฮั่นชิวอย่างเหลืออด “อย่าคิดว่าที่นี่จะเหมือนที่อื่น กล้องวงจรปิดใช่สิ่งที่พวกเธออยากดูก็ดูได้เหรอ ตำรวจก็จวนจะถึงแล้ว ทุกคนช่วยรอกันก่อนเถอะ”

 

 

ขณะที่พูดเธอก็เดินไปหารือกับหญิงผมสั้นคนนั้น

 

 

ฉินฮั่นชิวก้มหน้า เขาไม่รู้ว่าทำไมกล้องวงจรปิดที่นี่ถึงดูไม่ได้ แต่สายตาและน้ำเสียงของป้าจางกับหญิงผมสั้นคนนั้นทำให้รู้สึกอึดอัดมาก

 

 

“หรานหร่าน เรื่องนี้ลูกไม่ต้องสนใจหรอก เสี่ยวหลิงไม่ได้เอาไปแน่นอน” ฉินฮั่นชิวก้มหน้า พูดเสียงเบาว่า “เขาไม่ใช่เด็กแบบนั้น”

 

 

“อืม” ฉินหร่านถือมือถือ กำลังส่งข้อความ รับปากส่งๆ ไม่พูดอะไร

 

 

“หนูขอขึ้นไปหาเพื่อนก่อน” ฉินหร่านยัดมือถือลงในกระเป๋า เตรียมจะขึ้นตึกไปหากู้ซีฉือ

 

 

ฉินฮั่นชิวอยากให้เธอรีบไปให้ไว จึงพยักหน้าเป็นพัลวัน

 

 

ฉินหร่านหันหลังจะเดินขึ้นตึก

 

 

ฉินหลิงเงยหน้ามองเธออย่างระแวง เมื่อฉินหร่านหันหน้ามา เขาก็จะรีบหันกลับไปทันที

 

 

“พ่อรออยู่ข้างล่าง” ฉินหร่านเดินไปได้สองก้าว ก็ย้อนกลับมาอีก ยกมือชี้ไปทางฉินหลิง “ข้างล่างคนเยอะ หนูพาเขาขึ้นไปด้วยดีกว่า”

 

 

หญิงผมสั้นมองฉินฮั่นชิว เมื่อเห็นฉินหร่านพาฉินหลิงขึ้นไป ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร

 

 

อย่างไรเสียก็อยู่ในโรงแรม มีประตูใหญ่แค่ทางเดียว หนีไม่พ้นหรอก

 

 

 

 

ในห้องของกู้ซีฉือ

 

 

เขาแขวนป้าย ‘ห้ามรบกวน’ ไว้หน้าประตู ฉินหร่านมองข้ามไม่สนใจ

 

 

เสียงปังดังติดต่อกันสามครั้ง เป็นเสียงที่รีบร้อนและหงุดหงิด

 

 

กู้ซีฉือลุกออกจากกองกระดาษแล้วไปเปิดประตู ไม่แปลกใจเลยที่เห็นฉินหร่าน จากนั้นมองเด็กน้อยข้างๆ เธอ เลิกคิ้ว “ใครน่ะ”

 

 

“ลูกชายของพ่อฉัน” ฉินหร่านเดินเข้าไป นั่งลงบนกองเอกสาร ยื่นมือออกไปพลิกดู ยังคงเป็นเนื้อหาทางการแพทย์เหมือนเดิม

 

 

กู้ซีฉือพยักหน้า ไม่ถามอะไรมาก ฉินหร่านไม่ใช่คนที่ไม่มีบันยะบันยัง ในเมื่อเป็นคนที่เธอพามา ก็เชื่อถือได้

 

 

“รู้ผลวิจัยหรือยัง” ฉินหร่านให้ฉินหลิงนั่งบนโซฟา ยกโน้ตบุ๊กของกู้ซีฉือขึ้นมาดู

 

 

ห้องที่กู้ซีฉือพักเป็นห้องสวีท มีห้องรับแขก ตกแต่งประณีตงดงาม ข้างๆ เป็นบานหน้าต่าง เป็นสไตล์ห้องยุโรป

 

 

กู้ซีฉือคุ้ยหาในลิ้นชัก เจอก้อนหินขนาดเท่านิ้วโป้งก้อนหนึ่งในซอกของลิ้นชักแล้วยื่นให้ฉินหลิง “น้องชาย ให้นายเล่น”

 

 

ฉินหลิงรับมา จากนั้นเล่นมันภายใต้แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ก้มหน้าก้มตา ไม่พูดไม่จา ดูรักสันโดษทีเดียว

 

 

“นิดหน่อย” กู้ซีฉือเปิดน้ำขวดหนึ่ง ยืนพิงข้างโต๊ะคอมพิวเตอร์ พูดคุยกับฉินหร่าน “มีหลายจุดที่ไม่เข้าใจ เธอน่าจะรู้ใช่ไหมว่ายายของเธอโดนรังสี แต่ประเด็นคือมันเป็นรังสีอะไร ฉันหาไม่เจอ”

 

 

กู้ซีฉือชี้ตัวเลขแถวหนึ่งในโน้ตบุ๊ก “ฉันคิดๆ ดูแล้ว เตรียมตัวจะพูดขอโทษเธอ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนซ่อมคอมข้างบ้านเธอจริงๆ ด้วย”

 

 

เข้าใจเขาผิดไปแล้ว

 

 

ฉินหร่านพิงพนักเก้าอี้ คร้านจะสนใจเขา

 

 

เธอค้นดูในมือถือ เฉิงเจวี้ยนเพิ่งส่งใบรายงานผลมาให้เธอ

 

 

“นายลองดูนี่หน่อย” เธอยื่นใบรายงานให้กู้ซีฉือดู

 

 

มือข้างหนึ่งของกู้ซีฉือกำลังปิดไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ อีกมือรับมือถือมาจากฉินหร่าน

 

 

ตอนแรกยังมองอย่างสบายๆ แต่เมื่อเห็นไฟล์ที่แสดงบนหน้าจอ เขาได้ตื่นตัวขึ้นมาโดยพลัน

 

 

“ยูเรเนียม อะเมริเซียม…” กู้ซีฉือกำมือถือในมือแน่น “ใครให้เธอมา”

 

 

“เฉิงเจวี้ยน”

 

 

กู้ซีฉือพยักหน้า เขาก้าวออกไปสองก้าว คุ้ยเครื่องมือที่กองรวมกันวุ่นวายบนพื้น “ถ้าเป็นเขาน่าจะไม่มีปัญหา ฉันพอจะเข้าใจแล้ว”

 

 

เขาหยิบผลตรวจครั้งก่อนของเฉินซูหลานออกมาวิเคราะห์อีกครั้ง

 

 

สุดท้ายก็เงยหน้ามองฉินหร่าน “ที่นี่ไม่มีห้องทดลอง ฉันทำอะไรไม่สะดวก ต้องกลับเซี่ยงไฮ้”

 

 

กู้ซีฉือมีนิสัยขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้แหละ

 

 

ฉินหร่านลุกขึ้น “จะไปเมื่อไร”

 

 

“ตอนนี้ มีเที่ยวบินตอนทุ่มหนึ่ง” กู้ซีฉือมองมือถือแวบหนึ่ง ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้ว “จนตอนนี้เจ้าบ้านั่นยังตามหาฉันอยู่เลย แถมยังมีรูปฉันด้วย…”

 

 

“ตอนนี้เขาไม่มีรูปของนายแล้ว” ฉินหร่านพูดนิ่งๆ “กลับไปอย่างสบายใจเถอะ”

 

 

ขณะที่กำลังพูด มือถือในกระเป๋ากางเกงก็แผดเสียงอีกครั้ง เป็นสายจากฉินฮั่นชิว

 

 

เขาให้ฉินหลิงลงไป

 

 

ฉินหร่านคิดว่าตำรวจมาถึงแล้ว จึงส่งฉินหลิงให้ฉินฮั่นชิว “พ่อรอสักเดี๋ยว หนูยังมีธุระนิดหน่อย เสร็จแล้วจะลงไป”

 

 

เธอจะช่วยซ่อนข้อมูลให้กู้ซีฉือ

 

 

เพิ่งหันหลังจะไปห้องกู้ซีฉือ ก็มีสายมาจากผู้บัญชาการเฉียน

 

 

“พอดีเลย คุณเข้ามาหน่อย ช่วยส่งคนคนหนึ่งออกจากเมืองให้ฉันที” ฉินหร่านรับโทรศัพท์พลางปิดประตู มองกู้ซีฉือเก็บสัมภาระ

 

 

คิดจะจับคนผ่านมือเธองั้นเหรอ

 

 

แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

 

 

 

ณ ล็อบบี้ใต้ตึก

 

 

ต้องรออีกสักระยะกว่าตำรวจจะทำคดี

 

 

หลินฉีกับหนิงฉิงมาถึงก่อน

 

 

“พาคนอื่นเข้าห้องก่อนเถอะ ห้องรับรองก็ได้” หลินฉีนวดขมับ หันไปกำชับหนิงฉิง “ยืนออกันเต็มใต้ตึกใช้ได้ที่ไหน”

 

 

เขาไม่มองพวกญาติๆ ของฉินฮั่นชิว

 

 

แต่ยืนตกลงกับหญิงผมสั้นอยู่ที่เดิม

 

 

สกุลหลินจะจัดงานเลี้ยงเป็นที่รู้ดีกันในแวดวง หากตำรวจมา เช่นนั้นก็ถือว่าเกียรติของสกุลหลินสูญสิ้นวันนี้แล้ว

 

 

“ฉันชื่อหลี่ชิว เป็นผู้จัดการของคุณหลี่ซวงหนิง” เมื่อหญิงผมสั้นเห็นหลินฉี ก็เอ่ยปากแนะนำตัวเอง “สร้อยคอของคุณหลี่ซวงหนิงเป็นหัวใจแห่งความฝันที่สปอนเซอร์สนับสนุน เพราะมูลค่าสูงเกินไป พวกเราจำเป็นต้องกันตัวคนเหล่านี้ไว้ก่อน”

 

 

หัวใจแห่งความฝัน เป็นสร้อยเพชรคอลเล็คชันใหม่ของบริษัท I

 

 

หลี่ซวงหนิงเป็นพรีเซนเตอร์

 

 

สีหน้าของหลินฉีเคร่งขรึม “เรื่องนี้ผมจะจัดการให้คุณหลี่แน่นอน”

 

 

“หวังว่าจะเร็วที่สุด” หญิงผมสั้นเอ่ยเสียงเรียบ “สร้อยเส้นนี้ ซวงหนิงต้องใส่ไปถ่ายมิวสิควิดีโอตัวใหม่ของเหยียนซีพรุ่งนี้ ถ้าพวกคุณหาไม่เจอ ฉันก็ต้องแจ้งตำรวจ”

 

 

สีหน้าของหลินฉีขึงขังกว่าเดิม

 

 

หลายปีมานี้ชื่อเสียงของเหยียนซีโด่งดังมาก ตั้งแต่คนอายุแปดสิบไปจนถึงเด็กอนุบาลต่างก็รู้จัก

 

 

ตั้งแต่เดบิวต์ไม่เคยเข้าร่วมรายการใดเลย ไม่ปลุกปั่นประเด็นร้อน เพียงแค่ตั้งใจทำดนตรีของตัวเอง แต่ก็ยังโด่งดังจนเหนือคำบรรยาย

 

 

หลี่ซวงหนิงกับผู้จัดการของเธอรออยู่ในล็อบบี้โรงแรม

 

 

หลินฉีกลับไปหาญาติๆ ของหนิงฉิง

 

 

โรงแรมอวิ๋นติ่งเรียบหรู ญาติๆ เหล่านี้แทบจะไม่เคยมาสถานที่แบบนี้ แต่ละคนอึดอัดไม่เป็นตัวเอง

 

 

“คุณทำอะไรของคุณน่ะ” หนิงฉิงเดินหน้าโกรธขึ้งเข้าไปหาฉินฮั่นชิว หากฉินอวี่ไม่ได้เป็นคนเลือกรายชื่อแขกเอง หนิงฉิงไม่อยากเจอสามีเก่าคนนี้เลยสักนิด

 

 

ฉินฮั่นชิวโมโหจนใบหน้ากร้านแดดแดงก่ำ “ผมบอกแล้วไง ว่าไม่ใช่เสี่ยวหลิง!”

 

 

“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร” ป้าสะใภ้ยังคงใจร้ายใจดำเช่นเดิม พูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉินหลิงเหมือนลูกสาวคนโตของแกนั่นแหละ โดดเรียนทุกวัน เป็นโจรเป็นขโมย อายุน้อยก็กล้าก่อเรื่องทะเลาะวิวาทในโรงเรียนแล้ว ได้ยินจงจงบอกว่าครั้งนี้ครูสั่งให้เขากลับไปสำนึกผิดที่บ้านไม่ใช่เหรอ”

 

 

ใบหน้าของหนิงฉิงตึงเครียด

 

 

แต่ฉินหลิงกลับเงยหน้าขึ้นมองป้าสะใภ้ “ถ้ามีปัญญา ก็พูดประโยคนี้ต่อหน้าเธอสิ”

 

 

ป้าสะใภ้สะอึก หน้าแดงคอแดงขึ้นมาทันที

 

 

พูดประโยคนี้ต่อหน้าฉินหร่านงั้นเหรอ เธอกล้าพูดประโยคนี้ต่อหน้ายัยบ้าคนนั้นที่ไหนกัน

 

 

“ฉินฮั่วชิว แกดูลูกชายแกสิ ท่าทางแบบนี้” ป้าสะใภ้หันมาเล่นงานฉินฮั่นชิวทันที “แกยังกล้าบอกว่าเขาไม่ได้ทำอีกเหรอ”

 

 

 

 

ญาติๆ ฝั่งสกุลหนิงเอะอะโวยวาย ไม่รู้จักบันยะบันยัง

 

 

หลินฉีไม่เคยคลุกคลีกับคนประเภทนี้มาก่อน เขานวดขมับอย่างปวดหัว จากนั้นก็หันหลังเดินไปรอฉินอวี่กับผู้เฒ่าหลินนอกห้องรับรอง

 

 

เรื่องเกี่ยวข้องกับลูกชายของฉินฮั่นชิว เขาไม่ค่อยสะดวกออกหน้า

 

 

งานเลี้ยงในวันนี้จัดตามความต้องการของฉินอวี่

 

 

ธุระในเมืองหลวงของฉินอวี่เรียบร้อยหมดแล้ว

 

 

วันนี้เธอจะกลับไปทำเรื่องที่โรงเรียนอีจง

 

 

ฉะนั้นวันนี้สกุลหลินจึงจัดการให้ญาติฝั่งสกุลหนิงมาที่เมืองอวิ๋นเฉิง

 

 

ตอนนี้ผู้เฒ่าหลินให้ความสำคัญกับฉินอวี่เป็นอย่างยิ่ง ไปรับฉินอวี่ที่สนามบินด้วยตัวเอง

 

 

หลินฉีรอไม่นาน ฉินอวี่ก็มาถึง ผู้เฒ่าหลินรออยู่บนรถด้านนอก ไม่ได้เข้ามา

 

 

ทั้งคู่ทราบเรื่องนี้ระหว่างทางแล้ว

 

 

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบต่องานเลี้ยงของฉินอวี่เป็นอย่างมาก

 

 

“คุณหนู ฉันบอกแต่แรกแล้วว่า อย่าเชิญญาติไม่ได้เรื่องพวกนี้มา ป่าเถื่อนไร้มารยาท คุณหนูดูตอนนี้สิ” ป้าจางยืนอยู่ข้างนอก คร้านจะสนใจญาติๆ ฝั่งสกุลหนิงเช่นกัน

 

 

ดีไม่ดีจะกลายเป็นเรื่องอับอายขายหน้า

 

 

ฉินอวี่เม้มปาก เธอถูกหักหน้า งานเลี้ยงครั้งนี้ยังไม่ทันเริ่มก็วุ่นวายถึงขั้นนี้แล้ว

 

 

ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็กำลังสร้างเรื่องให้เธอชัดๆ

 

 

คนที่กลับมาพร้อมกับเธอ มีนักเรียนของไต้หรานด้วย สถานการณ์แบบนี้ ไม่รู้เลยว่านักเรียนพวกนั้นจะหัวเราะเยาะเธออย่างไร!

 

 

หน้าอกของฉินอวี่กระเพื่อม ไฟโทสะสุมทรวง

 

 

ญาติๆ พวกนี้ ไม่มีสักคนเลยที่วางใจได้!

 

 

“แม่ ฉินหลิงว่ายังไงบ้าง” ฉินอวี่หันไปหาหนิงฉิงที่เดินออกมาแล้ว

 

 

หนิงฉิงส่ายหน้า “เขาบอกว่าเขาไม่ได้เอาไป”

 

 

ป้าจางมองฉินอวี่แวบหนึ่ง จากนั้นก็โพล่งออกมาว่า “เมื่อกี้ฉันเห็นคุณหนูฉินหร่านด้วยค่ะ”

 

 

“เธอ? เธอไม่ได้เรียนอยู่หรือไง” ฉินอวี่หรี่ตาลง

 

 

หลินฉีก็ชะงักเช่นกัน เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับฉินหร่าน

 

 

อีกอย่าง นิสัยอย่างฉินหร่าน ต่อให้เขาบอกเธอก็ไม่มาแน่นอน

 

 

ป้าจางส่ายหน้า นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมา น้ำเสียงเจือความเหน็บแนม “เจอเธอในเวลาแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอก”

 

 

ในสกุลหลิน ใช่ว่าป้าจางจะไม่เคยได้ยินเรื่องที่ฉินหร่านโดดเรียน ก่อเหตุวิวาท ผลการเรียนไม่ดี

 

 

ฉินอวี่พยักหน้า ไม่พูดถึงฉินหร่านอีก ตอนนี้เธอไม่มีความจำเป็นต้องแยแสฉินหร่าน

 

 

หนิงฉิงทำหน้านิ่ง ตอนที่ได้ยินว่าฉินหร่านโดดเรียนออกมา ในใจเธอก็ว้าวุ่นอย่างมาก

 

 

ขณะนั้นเอง

 

 

ประตูห้องรับรองก็ถูกผลักออกมา

 

 

“ดูนี่สิ นี่มันเพชรที่ดาราคนนั้นทำหายใช่ไหม!” ป้าสะใภ้เดินออกมาพร้อมกับเพชรขนาดเท่านิ้วโป้ง ยื่นให้หนิงฉิงกับฉินอวี่ดู “แย่งมาจากมือของเจ้าโจรฉินหลิง เขาเกือบจะกัดมือฉันด้วย!”

 

 

เธอไม่มีความรู้อะไร แต่เพชรก้อนนี้สวยงามมากจริงๆ

 

 

ฉินอวี่กับหนิงฉิงอยู่ในตระกูลร่ำรวยมานานหลายปี พอจะดูเพชรออกอยู่บ้าง

 

 

มองออกภายในแวบเดียว

 

 

ฉินอวี่หน้านิ่ง ผลักประตูเข้าไปหาฉินหลิงทันที

 

 

หนิงฉิงกับหลินฉีก็ตามเข้าไปด้วย

 

 

“ทำไมแกต้องขโมยของคนอื่นในเวลาแบบนี้ด้วย แกรู้สึกว่าชีวิตของฉันดีเกินไปใช่ไหม” ฉินอวี่ถือเพชรไว้ อยากจะกระแทกใส่ดวงตาที่เย็นชาคล้ายฉินหร่านคู่นั้นเหลือเกิน

 

 

ฉินหลิงไม่พูดอะไร ตาของเขาแดงก่ำ จะพุ่งเข้าไปแย่งของในมือฉินอวี่ราวกับสัตว์ป่า

 

 

ฉินฮั่นชิวไม่คิดว่าจะมีเพชรในมือฉินหลิงจริง เขาชะงักไป จากนั้นก้มหน้ามองฉินหลิง “เสี่ยวหลิง! ลูกไปเอามาจากไหน”

 

 

ฉินอวี่ขี้เกียจจะพูดอะไรให้มากความ ยื่นเพชรในมือให้ป้าจาง “ส่งกลับไปให้หลี่ซวงหนิง เดี๋ยวฉันจะไปขอโทษด้วยตัวเอง”

 

 

“พี่ชายเป็นคนให้ผม!” ไม่รู้ว่าฉินหลิงไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน สะบัดฉินฮั่นชิวทิ้ง ผลักป้าจางแล้วแย่งเพชรในมือเธอกลับมา นัยน์ตาแดงก่ำ

 

 

ป้าสะใภ้หลุดขำ “พี่ชายอะไร ทำไมฉันไม่รู้ว่าแกมีพี่ชายด้วยล่ะ”

 

 

“พี่ชายเป็นเพื่อนของพี่สาว!” ฉินหลิงยัดเพชรลงในกระเป๋าแล้วกำไว้แน่น มองผู้คนรอบข้างอย่างหวาดระแวง ราวกับชีตาร์ตัวหนึ่ง

 

 

ฉินอวี่ชะงัก จากนั้นก็เม้มปาก “พี่สาวที่แกว่า ฉินหร่านเหรอ”

 

 

ฉินหลิงจ้องเธออย่างเฉยชา ไม่ตอบ

 

 

ฉินอวี่พยักหน้า

 

 

จากนั้นหันหลังมองหนิงฉิง พูดเสียดสีว่า “แม่ ได้ยินแล้วใช่ไหม ถึงขั้นโดดเรียนมาสั่งให้เด็กก่อเรื่องแบบนี้ ทำลายงานเลี้ยงของหนู เธอไม่ได้เกลียดหนูธรรมดา”

 

 

หนิงฉิงเผยอปาก

 

 

ฉินอวี่กลับไม่มองเธออีก แต่หันมองป้าจางที่อยู่เยื้องกัน พูดเชิงเย้ยหยันว่า “แจ้งตำรวจเถอะ”

 

 

สีหน้าของหนิงฉิงเปลี่ยนไปทันที “อวี่เอ๋อร์!”

 

 

หลินฉีก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า “หาเจอก็ดีแล้ว เราคุยกันส่วนตัวดีกว่า หรานหร่านไม่ทำแบบนี้หรอก…”

 

 

ฉินอวี่ไม่คิดว่าคนพวกนี้จะอยู่ข้างฉินหร่าน เธอแสยะยิ้ม “เธอไม่ทำงั้นเหรอ งั้นเพชรก้อนนี้ของหลี่ซวงหนิงมันยังไงกัน เป็นของฉินหร่านไม่ก็เพื่อนไม่เอาอ่าวของเธองั้นเหรอ!”