บทที่ 211 ลายมือขี้เหร่ไปหน่อย

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 211 ลายมือขี้เหร่ไปหน่อย

แม้นางจะรู้สึกว่าหนิงอันเป็นคนไม่เลว แต่เขาก็ไม่ควรเข้ามายังห้องนอนของพวกนางสองพี่น้องก่อนได้รับอนุญาตแบบนี้

หลังจากจางชุนเถาเดินเข้ามาแล้ว นางก็พบว่าจางซิ่วเอ๋อนอนอยู่บนเตียง

นางจึงรู้ทันทีว่าตัวเองคงเข้าใจหนิงอันผิดไป จึงถามอย่างร้อนใจ “พี่สาวของข้าเป็นอะไรไป?”

“ไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแต่เมาน่ะ วันนี้ข้าไปล่าไก่ฟ้ากลับมาด้วย อีกเดี๋ยวจะตุ๋นแกงให้พี่สาวเจ้ากิน” เนี่ยหย่วนเฉียวเอ่ย

จางชุนเถารีบตอบรับ “ขอบคุณเจ้ามากนะ”

จางชุนเถากลับมาแล้ว เนี่ยหย่วนเฉียวก็ไม่อาจอยู่ในห้องต่อได้อีก

เนี่ยหย่วนเฉียวจึงออกไปทำความสะอาดไก่ฟ้าตัวนั้น

ไม่นานนักเถี่ยเสวียนก็กลับมา เขาพูดบางอย่างกับเนี่ยหย่วนเฉียงเสียงแผ่ว

เนี่ยหย่วนเฉียวขมวดคิ้วและเอ่ย “เข้าใจแล้ว”

เถี่ยเสวียนโอด “ไม่รู้ว่าชีวิตแบบนี้จะสิ้นสุดตอนไหนนะขอรับ”

เนี่ยหย่วนเฉียวเงยหน้ามองเถี่ยเสวียน น้ำเสียงแฝงแววอันตราย “ทำไม? ไม่พอใจกับชีวิตตอนนี้เหรอ”

“ไม่…..ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ ข้าชอบชีวิตตอนนี้มาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กินข้าวฝีมือซิ่วเอ๋อ” เถี่ยเสวียนรีบบอก

จางชุนเถาทำกับข้าวอร่อยเหมือนกัน แต่เทียบกับฝีมือของจางซิ่วเอ๋อแล้ว เถี่ยเสวียนยังรู้สึกว่าขาดอะไรไปอยู่

เนี่ยหย่วนเฉียวขมวดคิ้ว

เถี่ยเสวียนรู้ตัวทันที จึงเอ่ยขึ้น “คือ….แม่นางจาง”

อย่างไรเสียจางซิ่วเอ๋อก็เป็นภรรยาของเจ้านาย ตนเรียกชื่อนางตรง ๆ นั้นออกจะไม่เหมาะสมนิดหน่อย

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น จางซิ่วเอ๋อจึงเริ่มรู้สึกตัว

นางคลึงหน้าผากตัวเอง และเดินออกไปด้านนอก

ก็ได้เห็นเนี่ยหย่วนเฉียวกำลังผ่าฝืนอยู่ในลานพอดี

เถี่ยเสวียนยืนมองอย่างร้อนใจอยู่ข้าง ๆ เขามีใจอยากจะยื่นมือช่วย แต่กลับโดนเจ้านายตัวเองปฏิเสธ

เถี่ยเสวียนก็ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ที่คุณชายตัวเองรู้เรื่องที่จางซิ่วเอ๋อเป็นภรรยาแก้ชงแล้ว ก็ดึงดันจะทำหลาย ๆ ด้วยตัวเอง

เช่นเรื่องเล็กน้อยอย่างผ่าฟืน ซึ่งจริง ๆ แล้วเจ้านายสั่งให้เขาทำก็ได้

แต่เจ้านายก็ยังจะทำด้วยตัวเอง

เถี่ยเสวียนจะไปเข้าใจความรู้สึกของเนี่ยหย่วนเฉียวที่หากไม่ทำอะไรเพื่อจางซิ่วเอ๋อด้วยตัวเองบ้างแล้วจะไม่สบายใจได้อย่างไรเล่า!

จางซิ่วเอ๋อเห็นท่าทางช่ำชองของเนี่ยหย่วนเฉียวแล้วก็สงสัยภูมิหลังของเนี่ยหย่วนเฉียวขึ้นมาอีกครั้ง

คนแบบไหนกันนะถึงทั้งติดดินแล้วยังดูไม่ธรรมดาด้วย?

เนี่ยหย่วนเฉียวได้ยินเสียง จึงเงยหน้ามองจางซิ่วเอ๋อ

เขาขมวดคิ้ว “ยังปวดหัวอยู่หรือไม่?”

จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า “นิดหน่อย”

เนี่ยหย่วนเฉียวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “วันหลังอย่าดื่มสุรามากขนาดนี้อีกนะ มันไม่ดีต่อร่างกาย”

“รู้แล้ว” ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อก็นึกเสียใจทีหลังเหมือนกัน โชคดีที่นางกลับมาได้อย่างปลอดภัย ไม่อย่างนั้นนางคงไม่เหลือโอกาสแม้แต่จะสำนึก

“รู้ไหมว่าใครเป็นคนส่งข้ากลับมา?” จางซิ่วเอ๋อถาม

เนี่ยหย่วนเฉียวเม้มปาก ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คนตระกูลฉิน”

จางซิ่วเอ๋อได้ยินแล้วก็รู้ว่าเป็นคุณชายฉิน นางถามต่อ “แล้วเขาได้ฝากคำพูดอะไรไว้ให้ข้าไหม?”

เนี่ยหย่วนเฉียวมองสีหน้ากังวลของจางซิ่วเอ๋อแล้วนัยน์ตาหม่นลง ก่อนจะเอ่ยบอก “ไม่”

เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตอนที่คุณชายฉินผละจากไป เขาไม่ได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้ให้จางซิ่วเอ๋อเลย

จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า สายตาฉายแววคลางแคลงใจ คุณชายฉินวางแผนอะไรอยู่ หากเขาขอสูตรเครื่องเทศผสมไปตรง ๆ นางยังจะสบายใจกว่านี้

แต่คุณชายฉินไม่พูดอะไรเลย และไม่บอกเจตนาของเขาด้วย นางหวั่นใจกับตัวเองจริง ๆ

“พี่ ตื่นแล้วเหรอ ตื่นแล้วก็มากินข้าวเถอะ พี่หนิงอันตั้งใจล่าไก่ฟ้ามาให้พี่ บอกว่าเอาไว้บำรุงร่างกายพี่น่ะ” จางชุนเถายกแกงไก่เข้ามาด้วยรอยยิ้ม

จางซิ่วเอ๋อขมวดคิ้วและพูดเสียงเบา “หนิงอัน ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้หรอก ค่ากินค่าอยู่ของพวกเจ้าจ่ายครบมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกไปล่าสัตว์ทุกวัน ที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้ยังกินไม่หมดเลย”

จางซิ่วเอ๋อไม่ค่อยชินกับการที่มีคนอื่นมาทำดีกับตัวเองเท่าใดนัก

ถ้าเป็นจางชุนเถาที่สนิทชิดเชื้อกับนางยังว่าไปอย่าง

แต่กับคนที่เพิ่งเคยพบหน้ากันอย่างหนิงอัน จางซิ่วเอ๋อไม่ชินเลยจริง ๆ

เนี่ยหย่วนเฉียวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ของที่ล่ามาก่อนหน้านี้ไม่สดแล้ว ตอนนี้ร่างกายเจ้ากำลังอ่อนแอ ต้องกินของที่สด”

จางซิ่วเอ๋อขยับริมฝีปาก ตั้งแต่วันที่นางถูกทำร้ายเขาก็ดีกับนางเป็นพิเศษ จนนางรู้สึกไม่สบายใจและอึดอัด

หลังจากที่จางชุนเถายกกับข้าวมาวางบนโต๊ะแล้ว สองพ่อลูกตระกูลจ้าวก็มา

พวกเขาชินแล้วที่บ้านของจางซิ่วเอ๋อมีคนแปลกหน้าเพิ่มมาสองคน

จางซิ่วเอ๋อจึงพูดตามความจริง บอกว่าเป็นเพียงคนที่มาขอเช่าอยู่ชั่วคราว

ตอนนี้สองพ่อลูกตระกูลจ้าวเป็นคนที่จางซิ่วเอ๋อเชื่อใจได้ และเนื่องจากต้องดูแลเรื่องอาหารการกินของพวกเขาด้วย จางซิ่วเอ๋อจึงไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้กับพวกเขา

แม้คนอย่างบัณฑิตจ้าวเป็นคนหัวโบราณมาก แต่หลังจากสมาคมกันมานาน เขาก็เชื่อในนิสัยของจางซิ่วเอ๋อมาก เวลานี้จึงไม่มีความคิดเหมือนพวกหญิงขี้นินทาในหมู่บ้าน

และไม่มีทางเล่าเรื่องในบ้านของจางซิ่วเอ๋อให้คนอื่นฟัง

ตอนแรกที่บัณฑิตจ้าวเห็นเนี่ยหย่วนเฉียว เรื่องเดียวที่เขาเป็นห่วงคือเนี่ยหย่วนเฉียวคนนี้จะทำร้ายจางซิ่วเอ๋อหรือไม่

แต่หลังจากได้รู้จักกัน เขาก็พบว่าเนี่ยหย่วนเฉียวเป็นคนกิริยาไม่ธรรมดา บุคลิกโดดเด่น ดูก็รู้ว่าไม่ใช่พวกไก่กา

จึงค่อย ๆ สบายใจขึ้น

หลังจากกินข้าวมื้อเย็นกันเสร็จแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็เรียนเขียนตัวอักษรกับบัณฑิตจ้าวอยู่ครู่หนึ่งตามปกติ

หลังจากบัณฑิตจ้าวไปแล้ว จางซิ่วเอ๋อก็ฝึกเขียนตัวอักษรในจานทราย

นางเขียนอักษรจีนตัวย่อได้สวยมาก แต่เขียนตัวอักษรโบราณเช่นนี้เหมือนกับไก่เขี่ยดี ๆ นี่เอง

เนี่ยหย่วนเฉียวเดินเข้ามา ยืนมองเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง

สตรีที่อ่านหนังสือออกในตระกูลใหญ่ ๆ นั้นมีไม่น้อย แต่เขาไม่เคยเห็นใครใฝ่เรียนเท่าจางซิ่วเอ๋อเลย

เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่จดจ้องอยู่ จางซิ่วเอ๋อก็เลิกคิ้วและเงยหน้า

“หนิงอัน เจ้ามองข้าทำไม มีดอกไม้ติดหน้าข้าหรือไง?” จางซิ่วเอ๋อถามอย่างไม่คิดอะไร

แม้ว่าภาพพจน์ของหนิงอันในใจนางนั้นจะใช้ได้ แต่อย่างไรเสียหนิงอันก็ยังเป็นคนนอกอยู่ดี ในเวลาส่วนใหญ่แล้ว จางซิ่วเอ๋อก็ยังเหินห่างจากหนิงอันอยู่

ถึงอย่างไรนางก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของหนิงอัน แม้ว่าตอนนี้จะยังอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ แต่จางซิ่วเอ๋อก็ไม่ได้โง่จนเชื่อใจหนิงอันสนิท

เนี่ยหย่วนเฉียวเบนสายตาตัวเองออกไป ครู่ใหญ่ถึงพูดออกมาช้า ๆ “ลายมือเจ้าขี้เหร่ไปหน่อย”

จางซิ่วเอ๋อได้ยินแล้วสีหน้าแข็งทื่อไป

น่าโมโหนัก ตัวอักษรของนางไม่สวยจริง ใคร ๆ ก็ดูออก แต่เขาจำเป็นต้องออกความเห็นด้วยท่าทางจริงจังขนาดนี้เลยเหรอ

แม้แต่บัณฑิตจ้าวที่สอนนางอ่านหนังสือยังไว้หน้านาง ไม่เคยพูดว่าตัวอักษรของนางขี้เหร่ต่อหน้านางเลยนะ

จะอยู่ร่วมบ้านกันอย่างมีความสุขได้ต่อไปไหมนะ?