บทที่ 186 กินและไม่กิน

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนในศาลาดอกไม้มากันพอสมควรแล้ว ต้องขอบคุณเครื่องประดับศีรษะที่ปู้จื้อโหยวจัดเตรียมให้ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นจินเฟยเหยาที่อยู่ตรงมุม เครื่องประดับศีรษะบนผมสองด้านราวกับเขาสองข้างทำให้คนไม่สังเกตว่านางมีเขาหรือไม่

ที่นั่งด้านข้างใต้เท้าไหวยังไม่มีคนมา แต่ตำแหน่งอื่นๆ มีคนนั่งเต็มนานแล้ว ยามนี้มีสาวน้อยเผ่ามารน่ารักยกขวดแก้วที่บรรจุของเหลวสีแดงโลหิตมารินใส่ถ้วยแก้วบนโต๊ะจนเต็ม

จินเฟยเหยาเข้าไปดมใกล้ๆ แก้ว มีกลิ่นคาวโลหิตจางๆ เหมือนโลหิตและไม่เหมือนโลหิต พั่งจื่อทนไม่ไหว กระโดดขึ้นตักนางใช้คางเกยขอบโต๊ะ ท่าทางหิวโหยอย่างน่าสงสาร

“อย่าทำให้ข้าขายหน้า เจ้าคงไม่อยากเป็นอาหารขึ้นโต๊ะหรอกนะ” จินเฟยเหยากระซิบเตือนเสียงเบาราวกับยุง

ผู้มาร่วมงานเลี้ยงที่นั่งอยู่ตรงประตูซึ่งมีพลังการบำเพ็ญเพียรย่ำแย่ที่สุดล้วนเป็นเผ่ามารขั้นหลอมรวมช่วงปลาย คนที่อยู่ห่างจากจินเฟยเหยาไม่ไกลซึ่งมีปู้จื้อโหยวนั่งคั่นอยู่คือชายชราขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายคนหนึ่ง สุ่มมาคนหนึ่งล้วนสามารถฟาดนางให้ตายได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังไม่เหลือซากศพครบส่วน

นางสะกดเสียงให้เบาสุดๆ แล้วชายชรายังได้ยิน ภาษามนุษย์ที่ส่งมาจากตรงนี้แปลกเป็นพิเศษเขาจึงมองมา จินเฟยเหยารีบหลบด้านหลังปู้จื้อโหยวทันที ให้ปู้จื้อโหยวต้านรับสายตาค้นหาของเขาแทนตนเอง

ไม่เสียทีที่เป็นใต้เท้าอาปู้ พอสบสายตาของมารเฒ่าที่มองมาก็พูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ

น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ จินเฟยเหยาถอนหายใจยาวอย่างหวาดกลัวไม่หาย เห็นใต้เท้าไหวหยิบถ้วยแก้วแล้วลุกขึ้น วันนี้นางแต่งกายได้งดงามอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ยังคงแดงสดไปทั้งตัว และของวิเศษบนร่างนางก็ยั่วจินเฟยเหยาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม

ใต้เท้าไหวยกถ้วยแก้วขึ้นเอ่ยภาษามารกับชนชั้นสูงสองแถวด้านล่าง ทุกคนก็หยิบถ้วยแก้วแล้วลุกขึ้น จินเฟยเหยาชูถ้วยแก้วยืนขึ้นตามทุกคน ถึงอย่างไรก็ฟังไม่เข้าใจได้แต่มองปากของใต้เท้าไหวขยับเขยื้อนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ยืนอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดใต้เท้าไหวก็เอ่ยจบ ชูถ้วยแก้วขึ้นแล้วกระดกหมด ชนชั้นสูงทุกคนก็ดื่มน้ำสีแดงโลหิตในถ้วยแก้ว จินเฟยเหยาไม่กล้าไม่ดื่ม จึงชูแก้วขึ้นแล้วกลั้นหายใจดื่มลงไปจนหมด หวังเพียงของสิ่งนี้จะไม่ใช่เลือดมนุษย์ก็พอ

“หืม?” นางส่งเสียงจุปากเบาๆ รสชาตินี้ หวานนิดๆ มีกลิ่นสุราหน่อยๆ ทั้งยังมีรสเค็มจางๆ บรรยายไม่ถูกจริงๆ ไม่ได้ดื่มยากอย่างที่คิดไว้ แต่ก็ไม่ได้อร่อยอะไร

ดื่มสิ่งของในถ้วยแก้วหมดทุกคนก็นั่งลงอีกครั้ง บรรดาสตรีเผ่ามารที่งดงามพากันมาเปิดฝาสีทอง

จินเฟยเหยาหยิบตะเกียบกระดูกหยกขึ้น มองจานบนโต๊ะอย่างเปี่ยมความคาดหวัง ฝาของอาหารแต่ละจานถูกเปิดออกและนำไป ในที่สุดอาหารเลิศรสเหล่านี้ก็เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ด้วงสีดำสนิทขนาดครึ่งฝ่ามือ น้ำแกงประหลาดสีเขียวมันเยิ้มเหมือนมีวัตถุที่ไม่ทราบชื่อลอยอยู่ในนั้น ภายในจานขาสูงซึ่งวางอยู่ตรงกลางที่ทำให้จินเฟยเหยาคาดเดามาตลอดว่าเป็นอาหารเลิศหรูอะไรคือหัวสุกรที่สองตาเบิกกว้าง ยามนี้ยังมีสาวน้อยเผ่ามารยกตะขาบร่างยักษ์ที่ขดเป็นวงเหมือนหอสูงมา เปลือกภายนอกถูกต้มจนเป็นสีขาวอมชมพู ทว่ากลับไม่ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด

น้ำแกง…น้ำแกงคงไม่ใช่ลูกนัยน์ตาอะไรต้มหรอกนะ จินเฟยเหยาวางตะเกียบลง หยิบช้อนขึ้นตักน้ำแกงข้นสีขาวน้ำนมบนโต๊ะ ในน้ำแกงไม่มีลูกนัยน์ตา ทว่าเป็นสิ่งของที่เป็นเส้นยาวๆ นุ่มๆ ด้านบนยาว ด้านท้ายยังห้อยไข่สองใบ เหตุใดจึงคุ้นตานิดๆ เหมือนอะไรบางอย่าง เพียงแต่ปริมาณดูเหมือนจะใหญ่กว่าหลายเท่า

ทันใดนั้น นางก็รู้ทันที มือที่ถือช้อนชะงักงัน

น้ำแกงตัวเดียวอันเดียว! นี่ต้องไม่ใช่ตัวเดียวอันเดียวของคนแน่ ของคนไม่น่าจะใหญ่ขนาดนี้ หรือว่าเป็นของคนเผ่ามาร? ไม่น่าจะใช่นะ ใหญ่ขนาดนี้ยังพอว่า เพียงแต่น้ำแกงตัวเดียวอันเดียวไม่สมควรจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หรือ? มีที่ไหนเอาลงไปต้มทั้งดุ้นบ้าง แล้วจะให้คนกินอย่างไร…อยากจะเห็นพ่อครัวฉลาดน้อยคนนี้จริงๆ ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร จินเฟยเหยายกช้อน ด่าทอพ่อครัวอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง

“นิ่งอึ้งทำไม? พวกนี้ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น รีบกินเถอะ” ในยามนี้ ปู้จื้อโหยวถือด้วงสีดำตัวหนึ่ง ใช้ศอกถองนางพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย

จินเฟยเหยาได้สติคืนมาจึงยื่นศีรษะไปมองบนโต๊ะของคนอื่นๆ และปู้จื้อโหยว อาหารเหมือนบนโต๊ะของตนเองอย่างไรอย่างนั้น ไม่ได้จงใจแกล้งตนเอง สุดท้ายนางก็เลื่อนสายตาไปมองใต้เท้าไหว ใต้เท้าไหวกำลังมองนางด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ทั้งสองคนสบสายตากัน ก็เห็นใต้เท้าไหวพยักหน้าให้นางราวกับให้นางลองชิมดู

กินหรือไม่กินดี นี่เป็นปัญหาใหญ่ อีกทั้งดูสายตาของใต้เท้าไหวราวกับจับจ้องน้ำแกงบนโต๊ะ คงไม่ได้คิดจะให้ข้าดื่มน้ำแกงนี่หรอกนะ จินเฟยเหยาหยิบซ้อนขึ้นรู้สึกตัดสินใจไม่ได้อยู่บ้างว่าจะกินหรือไม่กินดี

ใต้เท้าไหวเห็นนางลังเลไม่ยอมลงมือเสียทีก็ขมวดคิ้วนิดๆ

แลเห็นใต้เท้าไหวขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลายกำลังจะมีโทสะ จินเฟยเหยาก็ตัดสินใจเดินออกมา สะบัดมือคราหนึ่งสองมือก็ประคองกล่องขนาดไม่เล็กนัก พอดีเป็นหมอนอิงของจอมมารหลง นางคุกเข่าเบื้องหน้าใต้เท้าไหว เอ่ยอย่างเคารพ “นี่คือของขวัญวันเกิดที่ข้าน้อยเตรียมมามอบให้ใต้เท้าไหว ขอให้ใต้เท้ามีอายุยืนยาวเสมอฟ้า กลายเป็นเทพขึ้นสู่สวรรค์”

“เด็กคนนี้ ในเมื่อเป็นสหายของปู้ มาเที่ยวเล่นก็พอแล้ว ไยต้องนำของขวัญมาด้วย” คำพูดมงคลของจินเฟยเหยาทำให้นางพอใจยิ่ง คิ้วของใต้เท้าไหวแผ่ออกและแย้มยิ้มขึ้น

ข้างกายนางมีสตรีเผ่ามารก้าวออกมารับกล่องในมือจินเฟยเหยาและนำสิ่งของลงไป

จินเฟยเหยายังคิดจะเปิดกล่องต่อหน้าทุกคน สิ่งของที่ขนาดจอมมารหลงยังชมชอบ พวกเขาต้องชื่นชอบแน่นอน ถึงตอนนั้นก็ฉวยโอกาสประจบจะได้กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นไปอีกขั้น ทว่าผู้อื่นขนาดเปิดยังไม่เปิดก็เก็บสิ่งของไปทันที

“ช่างมีแก่ใจจริงๆ กลับที่นั่งเถอะ” ใต้เท้าไหวอารมณ์ดีจึงลืมเรื่องไม่พอใจเล็กน้อยก่อนหน้านี้ไป

หลังจินเฟยเหยาเอ่ยขอบคุณก็ถูกไล่กลับที่นั่ง นางยังไม่ทันยินดีที่ไม่ต้องกินน้ำแกงตัวเดียวอันเดียวของสัตว์ไม่ทราบชนิด กลับพบว่ารอบด้านเงียบกริบ นางเหงื่อแตกขนลุกชันแอบเหลือบตาขึ้นมอง แม่เอ๊ย เผ่ามารทั้งหมดจ้องมองดูนางโดยไม่ส่งเสียงสักแอะ

“ใต้เท้าไหว นี่คือ…” หญิงชราเผ่ามารฝั่งตรงข้ามที่ดูเจ้าเนื้อและใจดีนิดหน่อยมองจินเฟยเหยาอย่างสงสัยแล้วเอ่ยถามใต้เท้าไหว

จินเฟยเหยารีบยิ้มหวานให้นาง ว่ากันว่าคนแก่ล้วนชมชอบเด็กหญิงน่ารักไร้พิษภัย

จากนั้นก็ได้ยินหญิงชราเอ่ยว่า “นี่เป็นอาหารว่างพิเศษของงานเลี้ยงหรือ? เนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของสาวน้อยเผ่ามนุษย์?”

ถุย ยายแก่ที่น่าตาย หน้าตาภายนอกดูใจดีแต่จิตใจชั่วร้ายชะมัด! จินเฟยเหยาเก็บความคิดของตนเองก่อนหน้านี้กลับมา ยิ่งแก่ก็ยิ่งประหลาดจริงๆ

ใต้เท้าไหวแย้มยิ้ม “ไม่ใช่ นี่เป็นสหายที่ปู้พากลับมาจากโลกมนุษย์ กำชับแล้วกำชับอีกว่าห้ามกินนาง อีกอย่างหนึ่งนางเพิ่งขั้นสร้างฐานช่วงกลาง ถ้าจะกินกัดหัวทีเดียวก็หมดแล้ว ไยต้องกินด้วย”

“เผ่ามนุษย์?”

ในยามนี้เอง นอกศาลาดอกไม้พลันมีเสียงเย็นชาที่ทำให้คนขนหัวลุกดังมา

จินเฟยเหยาเบิกตากว้าง เห็นจอมมารหลงปรากฏตัวขึ้นตรงประตูศาลาดอกไม้ ยังเป็นใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาและน่ามองดังเดิม เส้นผมยาวสีดำปล่อยตามสบาย เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เปลือยกายทว่าสวมชุดยาวสีขาวมีลวดลายมังกรสีดำตลอดร่าง ลวดลายมังกรบนชุดยาวสีขาวเคลื่อนไหวไปมาได้เองอย่างช้าๆ

นี่…นี่คือของวิเศษชั้นยอด!

จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าในชั่วชีวิตของตนเองจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของของวิเศษชั้นยอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าฉากนี้สมควรยินดีหรือสมควรเสียใจดี

เผ่ามารทุกคน ณ ที่นั้นก้มศีรษะคารวะจอมมารหลง ขั้นกำเนิดใหม่ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ส่วนใต้เท้าไหวกลับลุกจากที่นั่งเดินเข้ามารับหน้าอย่างยินดี “พี่ใหญ่ ข้านึกว่าท่านจะไม่มาเสียอีก”

“ถ้าไม่มาข้าก็ยังไม่รู้ว่าที่บ้านเจ้ามีเผ่ามนุษย์” หลงมีสีหน้าเย็นชา ท่าทางไม่พอใจ

เผ่ามารในที่นั้นล้วนรู้ดีว่าใต้เท้าหลงเสียเปรียบเผ่ามนุษย์มาไม่น้อย ถ้าครั้งนี้มิใช่เพราะโชคดีตอนนี้อาจจะกำลังถูกกักขังอยู่ ถ้าถามคนในที่นั้นว่าผู้ใดเกลียดชังเผ่ามนุษย์ที่สุดย่อมต้องเป็นใต้เท้าหลง

ต่อให้เป็นสหายที่บุตรชายของใต้เท้าไหวพามา ขอเพียงใต้เท้าหลงเอ่ยปากก็ต้องมอบเผ่ามนุษย์คนนี้ให้มารับความตายแต่โดยดี

ทว่าจินเฟยเหยาในยามนี้กำลังถ่ายทอดเสียงถึงปู้จื้อโหยวอย่างเดือดดาล “ท่านแม่ของเจ้าเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ เขาเป็นท่านลุงของเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่บอกข้าแต่แรก!”

“ข้าไม่เคยพบเขามาก่อน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินท่านแม่เอ่ยถึง อีกทั้งเขาเพิ่งถูกเจ้าปล่อยออกมาได้ไม่นาน ข้าไม่ได้กลับบ้านมาหลายสิบปีแล้ว ไม่รู้สักนิดว่าเขาคือท่านลุงของข้า!” ปู้จื้อโหยวก็งุนงงไปหมด เหตุใดเวลาเพียงพริบตาเดียวจอมมารหลงคนนี้จึงกลายเป็นลุงของตนเองไปได้

“ถ้ารู้แต่แรกว่าเขาเป็นท่านลุงของเจ้า ข้าคงไปซ่อนแล้วรอพบเขาเป็นการส่วนตัว มีเผ่ามารมากมายขนาดนี้อยู่ ต่อให้เขาติดหนี้น้ำใจข้าก็ยังรู้สึกอับอายขายหน้า” จินเฟยเหยาเอ่ยกับปู้จื้อโหยวต่อไป ส่วนจอมมารหลงเดินมายังที่นั่งของนางแล้ว

“รู้แล้ว ทางที่ดีเจ้าพูดน้อยๆ หน่อย ทำไปตามสถานการณ์!” ปู้จื้อโหยวแอบกำชับนาง

ยามนี้จอมมารหลงเดินมาด้วยสีหน้าเย็นชา หลังจากเห็นจินเฟยเหยาที่แอบโผล่ศีรษะออกมาราวกับลูกไก่หดตัวอยู่ตรงนั้น ม่านตาเขาพลันหดเล็กทันที เขาไม่ได้หยุดลงทว่าเดินตรงไปยังที่นั่งว่างด้านซ้ายของใต้เท้าไหว

คิดไม่ถึงว่าจะเดินผ่านไปแบบนี้ ทุกคนรู้สึกเหนือความคาดหมาย ทว่าไม่มีใครกล้าไปยั่วโทสะเขา เรื่องของยุงตัวเล็กๆ อย่างจินเฟยเหยาก็ไม่มีใครเอ่ยถึงอีก

ปู้จื้อโหยวประหลาดใจอยู่บ้าง แอบถ่ายทอดเสียงคุยกับจินเฟยเหยา “เจ้าดวงดีจริงๆ เขาไม่อยากฆ่าเจ้า”

“อะไรนะ เขาจำข้าได้ ดังนั้นจึงจงใจไม่สนใจข้า รออีกสักพักตอนไม่มีคนนอกต้องให้พื้นที่มิติแก่ข้าแน่” ยามนี้จินเฟยเหยามีความกล้าขึ้นมา นั่งตัวตรงกระพริบตาให้ปู้จื้อโหยว

ส่วนพั่งจื่อที่นั่งอยู่บนตักจินเฟยเหยาก็นอนหงายท้องอยู่ในสภาพแกล้งตาย

“ปู้ รีบมาพบท่านลุงของเจ้า” ยามนี้ ใต้เท้าไหวกวักมือเรียกปู้จื้อโหยวอย่างยินดี

ปู้จื้อโหยวเดินไปเบื้องหน้า คารวะท่านลุงที่เพิ่งพบหน้าเป็นครั้งแรก หลงเพียงแต่พยักหน้าให้นิดๆ จากนั้นพลิกมือ ไข่มุกขนาดเท่านัยน์ตามังกรเม็ดหนึ่งร่วงลงในมือของปู้จื้อโหยว จากนั้นได้ยินเขาเอ่ยอย่างชืดชา “สิ่งของเล็กน้อยนี้ถือเป็นของขวัญแรกพบหน้า”

“พี่ใหญ่ ท่านใจกว้างจริงๆ พอมอบสิ่งของก็ให้มุกเทียนจี้เลย ปู้เอ๋อร์ ยังไม่รีบของคุณท่านลุงอีก นี่เป็นของดี ตอนนั้นข้าประจบอยู่นาน ท่านลุงของเจ้ายังไม่ตัดใจมอบให้ข้าเลย ด้านในมีพื้นที่มิติ ถึงจะไม่มีลักษณะพิเศษอื่นๆ ทว่ามันสามารถวางไว้ในห้องการรับรู้ได้ ตอนเจ้าเข้าไปในนั้น มุกเทียนจี้จะไม่รั้งอยู่ภายนอก เป็นของชั้นเยี่ยมที่ใช้ซ่อนกาย เหมาะสมกับเจ้าอย่างยิ่ง” เห็นมุกในมือของปู้จื้อโหยว ใบหน้าของใต้เท้าไหวก็มีรอยยิ้ม

พื้นที่มิติ!

จินเฟยเหยามองมุกเทียนจี้ในมือของปู้จื้อโหยวอย่างอิจฉาตาร้อน ถ้าวางสิ่งนี้ไว้ในห้วงการรับรู้ ไม่ว่าจะพบอันตรายใดเพียงหดตัวอยู่ในนั้นก็พอ อีกทั้งด้านในยังมีพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งอยู่หลายปีคงไม่เบื่อหน่าย เหนือกว่ายันต์คุ้มกันตัวลิบลับ นางเลียริมฝีปากไม่รู้ว่าตนเองจะได้พื้นที่มิติเช่นไรจากจอมมารหลง

ทันใดนั้น จอมมารหลงที่นั่งอยู่เบื้องบนพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถามเสียงเย็นชา “ปู้ เหตุใดเจ้าจึงพาเผ่ามนุษย์มาที่ภูเขาวั่นซั่น?”

“เอ๋?” จินเฟยเหยาตกใจสุดขีด ครู่หนึ่งก็นั่งตัวตรงแน่ว