“ท่านลุง นางเป็นสหายของข้า เนื่องจากเกิดเรื่องบางอย่าง ตอนนี้นางจึงถูกเผ่ามนุษย์ไล่ล่า ดังนั้นข้าจึงพานางแวะมาเที่ยวที่นี่ ข้ากล้ารับประกันว่านางเป็นคนดีแน่นอน ไม่เคยทำเรื่องที่เป็นผลร้ายต่อเผ่ามารเรามาก่อน” ปู้จื้อโหยวครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยตอบ

ปู้จื้อโหยวหวังเพียงตอนนี้ท่านลุงจะจำเผ่ามนุษย์ที่เคยช่วยเหลือตนเองได้ เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน เรื่องสำคัญขนาดนี้อาศัยความทรงจำของผู้ฝึกบำเพ็ญขั้นแปลงจิต คิดจะลืมก็น่าจะลืมไม่ลง

จอมมารหลงกลับไม่เอ่ยวาจา มองดูเขาโดยไม่ส่งเสียง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยมองดูจินเฟยเหยาสักแวบ

ใต้เท้าไหวไม่ยินยอมให้บุตรชายของตนเองถูกตำหนิจึงแย้มยิ้มเอ่ยกับจอมมารหลง “พี่ใหญ่ ข้าเห็นว่าสาวน้อยเผ่ามนุษย์คนนี้เป็นคนหัวไว นางยังนำของขวัญมาให้ข้าโดยเฉพาะ มีแก่ใจเช่นนี้ ท่านคงไม่ทำให้นางลำบากหรอกนะ แค่เด็กน้อยขั้นสร้างฐานคนหนึ่งเท่านั้น จะสามารถทำอะไรได้”

“มอบของขวัญให้เจ้าด้วย? เอามาให้ข้าดูหน่อย” จอมมารหลงรู้สึกเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง ยายขี้งกนี่ยังมอบของขวัญให้ด้วย

มีสาวน้อยเผ่ามารไปนำกล่องที่จินเฟยเหยามอบให้อย่างหวาดกลัวทันที ส่วนทุกคนต่างนั่งเงียบกริบ มองดูฉากนี้อย่างเงียบงัน จอมมารหลงทำให้บรรยากาศวันเกิดที่ครึกครื้นเยียบเย็นลง

ในขณะที่รอบด้านรอคอยอย่างเงียบงัน กลางศาลาก็มีเสียงกร๊อบๆ ดังมาราวกับมีคนกำลังกินอาหาร ทั้งยังเป็นอาหารที่มีเปลือกด้วย

จินเฟยเหยากำลังสำนึกเสียใจ หากรู้แต่แรกว่าจอมมารหลงจะมา คงไม่ให้ของขวัญแล้วมอบให้เขาโดยตรง ตอนนี้ถ้าให้เขาเห็นของรักถูกมอบให้น้องสาวไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนมาแค้นตนเองหรือไม่ ในขณะที่นางกำลังหงุดหงิด เสียงกร๊อบๆ ก็ดังมาจากใต้โต๊ะของนาง

นางก้มหน้าลงมอง พั่งจื่อกำลังมุดอยู่ใต้โต๊ะใช้ทั้งมือและเท้าจับแล้วกัดเปลือกด้วงสีดำตัวหนึ่งออกแล้วกินเนื้อสีขาวนุ่มด้านใน

“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่! ตอนนี้ใช่เวลามากินอาหารหรือ?” จินเฟยเหยายื่นมือไปแย่งด้วงสีดำที่พั่งจื่อกอดไว้ รู้สึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เมื่อครู่เห็นจอมมารหลงปรากฏตัวพั่งจื่อยังแกล้งตายโดยอัตโนมัติ เหตุใดตอนนี้จึงใจกล้า เงียบขนาดนี้ยังกล้ากินอาหารอีก

ที่จริงพั่งจื่อคิดตกแล้ว กบเกิดมาในโลกนี้ มีชีวิตอยู่ได้วันหนึ่งก็คือวันหนึ่ง รู้ชัดๆ ว่าเจ้านายปัญญาอ่อนกำลังรนหาที่ตาย เหตุใดตนเองจึงไม่กินให้มากหน่อย อีกสักครู่พออิ่มท้องจะบุกภูเขาดาบลุยทะเลเพลิงก็ไม่เป็นไร เพียงแต่น่าเสียดายที่ตนเองอายุแค่นี้ยังไม่มีลูกกบตัวน้อยๆ สักตัว น่าเสียใจเพียงใด

ทันใดนั้น โฉมหน้าอวบอ้วนและอ่อนโยนน่าสนิทสนมของต้านิวพลันปรากฏขึ้นในสมองของมัน นี่มันเรื่องอะไรกัน ยังไม่ตาย ในสมองก็เริ่มปรากฏภาพความทรงจำราวกับโคมม้าวิ่ง

ยามนี้พั่งจื่อกำลังตาเหลือกเพราะถูกจินเฟยเหยาใช้เท้าเหยียบท้องของมันไว้ และใช้สองมือพยายามแย่งชิงด้วงสีดำ ทว่าพั่งจื่อในขณะที่จิตใจล่องลอยมือมีเรี่ยวแรงมหาศาลจึงแย่งด้วงสีดำไปไม่ได้ นางดึงขาหน้าของพั่งจื่ออีกนิด ในที่สุดก็แย่งด้วงสีดำมาได้

ขาของจินเฟยเหยาเพิ่งคลายออก พั่งจื่อก็ได้สติมุดวูบออกจากใต้โต๊ะคิดจะแย่งด้วงสีดำคืนมา จินเฟยเหยาโยนด้วงสีดำทิ้งอย่างรวดเร็วยิ่ง ใช้มือข้างหนึ่งจับพั่งจื่อที่ตัวหดเล็กลง แล้วยกจานอาหารใบหนึ่งบนโต๊ะขึ้นแล้วกดพั่งจื่อลงไปบนนั้น จากนั้นโยนจานที่มีกบลงไปใต้โต๊ะอีกครั้ง

พั่งจื่อได้อาหารก็ไม่อาละวาดอีก ส่วนอาหารที่ให้มันจินเฟยเหยาได้แต่เปลี่ยนเป็นสิ่งที่ไม่สร้างเสียงดัง

“ขอโทษที พวกเจ้าทำต่อเลย ไม่ต้องสนใจข้า” จินเฟยเหยาพยักหน้าเอ่ยอย่างยิ้มแย้มให้บรรดาชนชั้นสูงรอบด้านที่พร้อมใจกันหันมามองตนเอง

จากนั้นพอนางมองบนโต๊ะจึงพบว่าอาหารที่ตนเองสุ่มหยิบให้พั่งจื่อคือน้ำแกงตัวเดียวอันเดียว จินเฟยเหยาปิดปากแอบมองใต้โต๊ะ เงียบกริบ คิดว่าพั่งจื่อน่าจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังกินคืออะไร ต่อให้รู้ก็น่าจะไม่จู้จี้จุกจิก

โชคดี ยามนี้บรรดาบ่าวรับใช้สตรีเผ่ามารยกสิ่งของที่จินเฟยเหยามอบให้มาเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคน สายตาของทุกคนจึงไม่ได้รวมอยู่บนร่างของนางทั้งหมด

เมื่อส่งกล่องมาวางอยู่เบื้องหน้าจอมมารหลง เห็นกล่องที่คุ้นเคยจนไม่อาจคุ้นเคยไปกว่านี้ได้อีกและกุญแจวงเวทที่ถูกทำลายไปนานแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วนิดๆ ใช้นิ้วแตะเบาๆ กล่องก็เปิดออกเองทันทีเผยให้เห็นหมอนอิงด้านใน

“เอ๋? ของสิ่งนี้บังเอิญจริง…” ใต้เท้าไหวมองหมอนอิงในกล่อง รู้สึกคุ้นตายิ่ง พลันนึกขึ้นได้ว่าเหมือนมีคนไปที่ใดก็ต้องเอนพิงสิ่งของนี้

นางเปลี่ยนน้ำเสียงทันที ลูบกล่องหยกแล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ หมอนอิงซึ่งทำจากผ้าไหมเทียนจี๋ล้ำค่าเกินไป มีเพียงพี่ใหญ่ที่ใช้ได้ ไหวขอยืมดอกไม้ถวายพระ[1] มอบให้แก่พี่ใหญ่เป็นอย่างไร”

“ไม่ต้องหรอก เจ้าเก็บไว้ใช้เถอะ” จอมมารหลงโบกไม้โบกมือ รั้งสายตากลับมาและปฏิเสธอย่างเหนือความคาดหมาย

ใต้เท้าไหวรู้จักนิสัยของพี่ชายตนเองดีจึงกวักมือเรียกสาวใช้ข้างกาย กล่องนี้จึงถูกนำลงไป

“เห็นแก่ที่สหายของเจ้าตั้งใจ วันนี้ข้าจะถือว่ามองไม่เห็น ปู้เจ้ากลับไปที่นั่งเถอะ” จอมมารหลงให้ปู้จื้อโหยวกลับไปนั่งที่อย่างใจกว้าง

ส่วนปู้จื้อโหยวหลังจากเอ่ยขอบคุณก็กลับที่นั่งแล้วถลึงตาใส่จินเฟยเหยาอย่างแรง จากนั้นถ่ายทอดเสียงไปด่าทออีก “เมื่อครู่เจ้ากำลังทำอะไร! ข้าเกือบจะถูกเจ้าขู่ขวัญตาย”

จินเฟยเหยาเอียงศีรษะ ถ่ายทอดเสียงเอ่ยพึมพำ “ข้าไม่มีทางเลือก พั่งจื่อกินอาหารเหมือนเห็นการตายดุจการกลับคืนสู่มาตุภูมิทำให้ทุกคนมองมาที่ข้า แต่ว่า เจ้าถ่ายทอดเสียงมาหาข้าต่อหน้าผู้ฝึกบำเพ็ญขั้นแปลงจิต ก็เหมือนการพูดข้างหูเขาโดยตรงมิใช่หรือ?”

ปู้จื้อโหยวนิ่งงันแล้วรีบมองไปทางจอมมารหลง พบว่าท่านลุงไม่ได้มองมาทางเขา เขาเกือบเผลอตัวไป ถึงแม้การถ่ายทอดเสียงสามารถสนทนากันส่วนตัวได้ ทว่าพลังการบำเพ็ญเพียรแตกต่างกันขนาดนี้ ไม่ต้องแอบฟัง ก็เหมือนไม่ได้ใช้การถ่ายทอดเสียง คนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นกำเนิดใหม่ยังต้องตั้งใจแอบฟังเป็นพิเศษจึงได้ยิน ส่วนขั้นแปลงจิตไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลยสักนิด

ทุกคนดูเหมือนจะเกรงกลัวจอมมารหลงอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตำแหน่งอันสูงส่งท่ามกลางชนชั้นสูงของเขาหรือเนื่องจากพลังการบำเพ็ญเพียรของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น เห็นเขาไม่อยากยุ่งเรื่องของเผ่ามนุษย์คนนั้น บรรดาชนชั้นสูงจึงไม่เอ่ยถึงจินเฟยเหยาอีก ทว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้ ภายในศาลาดอกไม้ทั้งหมดเย็นเยียบราวกันสถานที่ซึ่งเหน็บหนาวสุดขีด ทุกคนนั่งโง่งมอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครแตะต้องอาหารเลิศรสเบื้องหน้า

จินเฟยเหยาเห็นกระถางดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะจอมมารหลงถูกพลังของเขากดดันจนหดลงกับตา

เป็นไปได้ว่าใต้เท้าไหวพบว่าบรรยากาศ ณ ที่นั้นย่ำแย่เกินไป จึงปรบมือให้นางรำออกมาร่ายรำทำให้บรรยากาศดีขึ้น พอนางรำซึ่งสวมชุดเบาบางออกมาก็เห็นพวกนางขนลุกไปทั่วร่าง

ไหนบอกว่าไม่มีโทสะ? เหตุใดจึงจงใจแผ่พลังกดดันออกมา ทำให้ทั่วงานกระอักกระอ่วนเช่นนี้ ใต้เท้าไหวอดตำหนิไม่ได้ ผู้อื่นไม่รู้ นางยังไม่รู้หรือว่าตอนนี้พี่ชายของนางอารมณ์ไม่ดี

“ทุกท่านค่อยๆ ทาน ข้าจะไปเดินเล่นในสวนดอกไม้” ยามนี้ จอมมารหลงพลันลุกขึ้น ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่งแล้วเดินออกไปทางด้านข้าง ขณะที่เขาผ่านร่างจินเฟยเหยาไปดั่งสายลมเย็นยะเยือก ระดับความหนาวเย็นทำให้นางอดสั่นสะท้านไม่ได้

พอจอมมารหลงไป อุณหภูมิภายในศาลาดอกไม้ก็อบอุ่นขึ้น ทุกคนเริ่มสรวลเสเฮฮาราวกับยกภูเขาออกจากอก มีเสียงจานชามตะเกียบกระทบกัน เสียงดนตรี และการร่ายรำอันงดงามครึกครื้นอย่างยิ่ง

ทว่าจินเฟยเหยากลับผิดปกติ นั่งบิดไปบิดมาเหลียวซ้ายแลขวาอย่างอดไม่อยู่

ปู้จื้อโหยวทนไม่ไหว ถ่ายทอดเสียงมาถามอย่างสงสัย “”เจ้าจะถ่ายเบา?”

“เจ้าสิจะถ่ายเบา! ข้าสร้างฐานแล้ว จะรีบถ่ายเบาได้อย่างไร!” จินเฟยเหยากลอกตาใส่ปู้จื้อโหยวอย่างดุร้าย

ทว่าปู้จื้อโหยวก็กลอกตาใส่นางเช่นเดียวกัน เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ไม่ถ่ายเบา แล้วเจ้าจะนั่งอยู่ไม่สุขตรงนี้ทำไม?”

จินเฟยเหยามองไปรอบๆ จากนั้นแอบถ่ายทอดเสียงอย่างลับๆ ล่อๆ “ตอนนี้จอมมารหลงอยู่คนเดียว ข้าคิดจะฉวยโอกาสนี้ไปหาเขา”

“เจ้านี่ไม่รักชีวิตจริงๆ เมื่อครู่เขาเพิ่งผ่านหน้าเจ้าไปราวกับสายลมเย็นเยือก เจ้ายังจะหิ้วศีรษะไปหาเขาอีก วันๆ คิดอะไรอยู่!” ปู้จื้อโหยวหุนหันขึ้นมาในพริบตา คิดจะยกเท้าขึ้นเตะสมองนางหลายๆ ที ดูสิว่าด้านในบรรจุอะไรอยู่กันแน่

“เจ้าเอามุกเทียนจี้มาให้ข้าสิ ข้าจะไม่ไปหาเขา” จินเฟยเหยาเหล่มองเขา เอ่ยอย่างไร้ยางอาย

ปู้จื้อโหยววางตะเกียบกระดูกหยกในมือ พลันถ่ายทอดเสียงมาด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “ข้าเดาว่าตอนท่านลุงออกไป จงใจเดินผ่านร่างเจ้าต้องคิดจะเรียกเจ้าไปหาแน่ นี่เป็นโอกาสอันดีเจ้าอย่าปล่อยไปเด็ดขาด ข้าจะช่วยดูแลที่นี่ให้ ถ้ามีคนถามถึงเจ้า ข้าจะบอกว่าเจ้าไปเข้าห้องน้ำ”

“เจ้า…เจ้าสหายชั่ว” จินเฟยเหยากัดฟัน คบสหายไม่ระวังจริงๆ

ปู้จื้อโหยวยักไหล่แล้วเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “เอาเถอะ ข้าจะช่วยนำทางให้เจ้า คงเป็นสหายที่ดีพอแล้วกระมัง”

“เจ้ารู้ชัดๆ ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ไม่ต้องให้เจ้านำทางหรอก ถ้าผู้เยาว์อย่างเจ้าไป ไม่แน่ว่าจะทำให้เขารู้สึกขายหน้า” จินเฟยเหยาพึมพำ ปฏิเสธความหวังดีของปู้จื้อโหยว

“ผู้เยาว์!” ปู้จื้อโหยวมุมปากกระตุก ได้แต่เอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าคิดจะไปหาที่ตายก็ไปเถอะ ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว”

“วางใจได้ มีพั่งจื่ออยู่ ถ้าจอมมารหลงลงมือข้าจะโยนพั่งจื่อออกไปต้านทานหนึ่งกระบวนท่า จากนั้นวิ่งกลับมาที่นี่อย่างสุดชีวิต เจ้าจำไว้ ถ้าได้ยินความเคลื่อนไหวใดเจ้าก็รีบออกมา อย่าชักช้าล่ะ” จินเฟยเหยาสั่งความอย่างจริงจัง จากนั้นหิ้วพั่งจื่อออกมาจากใต้โต๊ะ แล้วมองดูในชามน้ำแกงด้านล่าง น้ำแกงตัวเดียวอันเดียวยังวางอยู่ตรงนั้นอย่างดี

จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ กินก็ไม่กิน นั่งยองๆ อยู่ด้านล่างเป็นเพื่อนกับน้ำแกงชามนั้นโดยไม่ส่งเสียงสักแอะทำไม?

นางพยักหน้าให้ปู้จื้อโหยวแล้วกอดพั่งจื่อแอบออกจากศาลาดอกไม้เดินเข้าไปในสวน สามารถมองเห็นเงาร่างของจอมมารหลงไกลๆ เขากำลังยืนอยู่ริมสระบัวทอง

หลังจินเฟยเหยาไปแล้ว ปู้จื้อโหยวไม่วางใจ จึงแอบออกจากศาลาดอกไม้คิดจะตามไปดูสักหน่อย ถ้าพูดไม่เข้าหู หวังว่าจอมมารหลงจะเห็นแก่ที่ตนเองเป็นหลานชาย ลงมือไม่อำมหิตนัก

“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส…” จอมมารหลงยืนอยู่ข้างสระบัวทอง ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ดังมาจากด้านหลัง อดคิดไม่ได้ ยายนี่ตามมาจริงๆ ใจกล้าอย่างไร้ขอบเขต

จอมมารหลงเอียงศีรษะไปนิดๆ เห็นจินเฟยเหยาหลบอยู่ด้านหลังเสาสีแดงต้นหนึ่ง โผล่ศีรษะออกมาครึ่งหนึ่งมองเขาอย่างระแวดระวัง

“แสร้งทำท่าทางอ่อนแอน่าสงสารไม่คุ้มค่าที่จะสังหารให้น้อยๆ หน่อย มานี่” จอมมารหลงหมุนตัวมาเอ่ยอย่างเย็นชาใส่นาง

“เชอะ!” จินเฟยเหยาหดศีรษะกลับไปหลังเสา แยกเขี้ยวส่งเสียงฮึอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มประจบประแจงเดินออกมา

…………………………………

[1] ขอยืมดอกไม้ถวายพระ หมายถึง ใช้สิ่งของที่ผู้อื่นมอบให้มอบให้แก่ผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง