จินเฟยเหยาเดินหน้าเป็นเข้ามาพลางถูมือและเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ไม่ได้พบผู้อาวุโสเสียนาน ราศียิ่งจับมากขึ้น”

“ท่าทางเจ้าจะอยู่ดีมีสุขไม่เลว เผ่ามนุษย์ที่โง่เง่าเหล่านั้นยังเหมือนเดิม ขนาดเจ้ายังจับตัวไม่ได้ เป็นกลุ่มเศษสวะจริงๆ” จอมมารหลงเอ่ยอย่างชั่วร้ายดังเดิม

“ผู้อาวุโส หรือว่าท่านเห็นข้าอยู่ดีมีสุขแล้วไม่พอใจ? เพื่อคำพูดประโยคเดียวของท่าน ข้าเดินทางไกลมาพันหลี่เลยนะ ดูสิว่าข้าจงรักภักดีเพียงใด” จินเฟยเหยาตบอกมีสีหน้าจริงใจ

จอมมารหลงหลุบตาลงมองการแสดงออกของนาง เอ่ยถามอย่างไปคนละเรื่อง “เจ้าลับๆ ล่อๆ ตามหลังข้ามาคิดจะทำอะไร?”

เอ๋? หรือว่าเจ้าหมอนี่คิดจะเบี้ยว จินเฟยเหยามีโทสะอยู่บ้าง รู้อยู่เต็มอกชัดๆ ยังแสร้งเป็นไม่รู้ จะเอ่ยปากอย่างไรดีจึงไม่ทำให้เขาเสียหน้า ทั้งยังสามารถบอกเรื่องราวได้กระจ่าง

ในขณะที่จินเฟยเหยากำลังพึมพำอยู่นั้น ปู้จื้อโหยวก็ตามมา ทว่าเขาไม่กล้าเข้าไป เพียงแต่มองอยู่ไกลๆ หวังว่าจินเฟยเหยาจะรู้จักดูทิศทางลม อย่าทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมเกินไป

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดจินเฟยเหยาก็เอ่ยพึมพำ “ผู้อาวุโส ท่านยังจำทะเลผืนนั้น แถบปะการัง และมังกรตายตัวหนึ่งได้หรือไม่?”

“ไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ ทะเลมีอยู่มากมาย ทุกแห่งหนล้วนมีมังกร” จอมมารหลงมองท่าทางมีคำพูดแต่กล่าวออกมาไม่ได้ของนางตาไม่กระพริบ

“หา? ฟังไม่เข้าใจ? ภูเขาเห็ด สถานที่ซึ่งเหมือนกองเห็ดสุมกันขึ้นมาและยังมีสระสีแดงโลหิต ท่านคงจำได้นะ” เห็นจอมมารหลงแสร้งโง่ จินเฟยเหยาก็ตัดสินใจสะกิดตรงความเจ็บปวดของผู้อื่น

ทว่าจอมมารหลงมองนางด้วยสีหน้าราบเรียบและเอ่ยวาจาดังเดิม “ภูเขาเห็ด? โลกเผ่ามารมีเห็ดจำนวนมากงอกอยู่บนภูเขาเต็มไปหมด เพียงแต่ส่วนมากล้วนมีพิษ กินไม่ได้”

จินเฟยเหยาอดทนจนทนไม่ไหว ตะโกนเสียงดังขึ้นมา “ผู้อาวุโส ท่านบอกว่าขอเพียงข้ามาหาท่านที่ภูเขาวั่นซั่น ท่านจะให้พื้นที่มิติแก่ข้า”

ตะโกนออกมาแล้วสบายใจจริงๆ พูดวกไปวนมา เหน็ดเหนื่อยแทบตาย จินเฟยเหยาถอนหายใจโล่งอก รู้สึกสบายใจ

“เรื่องนี้เอง ทำไมเจ้าไม่พูดมาตรงๆ พูดจาเหลวไหลอยู่ตั้งนาน ข้าจึงฟังไม่เข้าใจ” ได้ยินน้ำเสียงของจอมมารหลง ราวกับตำหนินางที่ทำให้เสียเวลา

“ผู้อาวุโส ท่านจำได้ข้าก็วางใจ” จินเฟยเหยากลับคืนสู่ท่าทางยิ้มแฉ่ง มองเขาด้วยสีหน้าประจบ

จอมมารหลงไม่ได้ตอบนาง ทว่ายื่นมือมา แสงดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ หลังแสงสว่างผ่านพ้น ในมือของเขาก็มีชิ้นไม้สี่เหลี่ยมปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็โยนไม้ชิ้นนี้ให้จินเฟยเหยา

หรือว่านี่คือพื้นที่มิติ? จินเฟยเหยาโยนพั่งจื่อที่เตรียมใช้เป็นโล่กันธนูมาตลอดลงพื้น ใช้มือสองข้างรับไม้สี่เหลี่ยมเล็กๆ ชิ้นนี้เอาไว้ ดูไม่ออกว่าของสิ่งนี้คืออะไร มีขนาดกว้างเท่าส้มผลใหญ่ หกด้านสลักเป็นลวดลายประหลาด แต่ละด้านก็มีสีแตกต่างกัน วางไว้ในมือแล้วรู้สึกหนัก

“เจตจำนงหกเหลี่ยม ด้านในมีพื้นที่ว่าง พร้อมอากาศสี่ฤดู ลม ฝน ฟ้าร้อง ฟ้าผ่ารวมอยู่ในนั้น ใช้ปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินสร้างสัตว์ปิศาจขึ้นเองได้ วันเวลาที่ล่วงผ่านเหมือนเวลาในโลกภายนอก ข้าคิดอยู่นาน สิ่งของชิ้นนี้เหมาะสมกับเจ้าที่สุด” เสียงของจอมมารหลงที่ฟังอารมณ์ไม่ออกดังมา

จินเฟยเหยาตื่นเต้นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพื้นที่มิติที่เยี่ยมขนาดนี้ ทั้งยังมีอากาศสี่ฤดูด้วย ต้องรู้ว่าพื้นที่มิติธรรมดา ด้านในไร้ซึ่งกลางวันและกลางคืน ถึงผายลมออกมาก็ไม่มีลมพัดไป ลอยอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน อีกทั้งด้านในยังสามารถใช้ปราณแห่งฟ้าดินสร้างสัตว์ปิศาจขึ้นเองได้ สัตว์ปิศาจก็คือศิลาวิญญาณ ร่ำรวยแล้ว

“ขอบคุณผู้อาวุโส ข้าจะจดจำพระคุณของท่านไว้ในใจตลอดไป” จินเฟยเหยาใช้สองมือชูเจตจำนงหกเหลี่ยม เอ่ยขอบคุณจอมมารหลงอย่างจริงใจ

ได้ยินคำพูดของนาง บนสีหน้าหมื่นปีไม่แปรเปลี่ยนของจอมมารหลงพลันมีรอยยิ้มน้อยๆ

จินเฟยเหยารู้สึกตลอดร่างหนาวเยือกในพริบตา ความหวาดกลัวในใจทะลักออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ไม่รอให้นางมีปฏิกิริยา ก็เห็นจอมมารหลงแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องให้เจ้าจดจำบุญคุณของข้าหรอก ขอเพียงเจ้าไม่แค้นข้าก็พอแล้ว”

“หมายความว่าอย่างไร…” จินเฟยเหยายืนอยู่ที่เดิม เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ามีคนยิ้มแล้วน่ากลัวกว่าสีหน้าเย็นชา นางคิดจะล่าถอย สองขากลับสั่งการไม่ได้ ขยับไม่ได้เลยสักนิด

“ท่านลุง!” พอปู้จื้อโหยวเห็นก็รู้สึกไม่ถูกต้อง กระโดดออกจากที่ซ่อนกายอย่างรวดเร็ว พุ่งปราดเข้าหาจินเฟยเหยา

“เก็บ” จอมมารหลงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เดิมทีระหว่างคนทั้งสองอยู่ห่างกันห้าหกก้าว เขาย่างเท้าเพียงก้าวเดียวก็มายืนอยู่เบื้องหน้าจินเฟยเหยา ยื่นมือวาดผ่านใบหน้าของจินเฟยเหยาเบาๆ

จินเฟยเหยาหายวูบไปอย่างกะทันหัน ส่วนเจตจำนงหกเหลี่ยมชิ้นนั้นก็ร่วงลงในมือจอมมารหลง พั่งจื่อระเบิดพลังหันกายเหินร่างหลบหนีในพริบตา จอมมารหลงวาดหลังมืออีกครั้ง พั่งจื่อที่กระโดดอยู่กลางอากาศก็หายไปทันที

ปู้จื้อโหยวคว้าน้ำเหลวก็พุ่งปราดตามมาเบื้องหน้าจอมมารหลง คุกเข่าลงขอร้องทันที “ท่านลุง โปรดไว้ชีวิตนางด้วย สหายของข้าไม่มีเจตนาร้ายจริงๆ ถ้าท่านจะลงโทษก็ลงโทษข้าเถอะ”

“ข้าเคยบอกหรือว่าจะเอาชีวิตนาง? เจ้าลุกขึ้นเถอะ ถ้าไหวเห็นเข้าจะนึกว่าข้ารังแกบุตรชายสุดที่รักของนาง” จอมมารหลงมองหลานชายที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อครู่หายไปราวกับภาพมายา

“แต่…ไม่ทราบท่านลุงเก็บนางไว้ที่ใด?” ปู้จื้อโหยวได้แต่ลุกขึ้น ทว่ายังร้อนใจดังเดิม

จอมมารหลงชูเจตจำนงหกเหลี่ยมในมือขึ้น เอ่ยอย่างเบาสบาย “ในนี้ ยายนี่ทำให้ข้าไม่พอใจ ดังนั้นคิดจะให้นางทนทุกข์สักหน่อย”

“ท่านลุง นางเพิ่งขั้นสร้างฐานช่วงกลาง รับความทุกข์ทรมานไม่ไหวหรอก!” เจตจำนงหกเหลี่ยมอะไรกัน ผู้ใดจะรู้ว่านั่นเป็นของเล่นอะไร ท่านลุงก็เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้ แค่ไม่พอใจก็เก็บคนไว้ในนี้ ปู้จื้อโหยวพยายามพูดให้จินเฟยเหยาน่าสงสารและไร้ประโยชน์ ทำให้เขารู้สึกไร้ความหมายและปล่อยนางออกมา

ทว่าในมือของจอมมารหลงมีแสงวาบขึ้น เก็บเจตจำนงหกเหลี่ยมกลับคืนจากนั้นเอ่ยอย่างชืดชา “พลังการบำเพ็ญเพียรเพียงเท่านี้ยังกล้าก่อเรื่อง จะได้ขัดเกลาในเจตจำนงหกเหลี่ยมพอดี เจ้าไม่ต้องพัวพันอยู่ที่นี่แล้ว นางยังไม่ตายชั่วคราว บอกท่านแม่ของเจ้าหน่อยว่าข้ากลับไปก่อน ไม่ต้องให้เทพอายุยืนอย่างนางมาส่ง”

จากนั้นจอมมารหลงก็หมุนตัวจากไปอย่างสง่างามและทิ้งปู้จื้อโหยวที่มีสีหน้าร้อนใจเอาไว้

ปู้จื้อโหยวร้อนใจจนเดินวนไปวนมา รู้แต่แรกต่อให้ต้องฉุดดึงก็ต้องดึงจินเฟยเหยาไว้ แต่เขาก็รู้สึกอีกว่าต่อให้จินเฟยเหยาไม่เป็นฝ่ายไปหาท่านลุง ท่านลุงก็ต้องมาหานาง ดูท่าท่านลุงจะเห็นสหายของตนเองขัดตาอย่างยิ่ง

คิดไปคิดมา ปู้จื้อโหยวตัดสินใจไปหาท่านแม่ของตนเอง ให้นางช่วยโน้มน้าวท่านลุงให้เขาปล่อยคน

ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปในศาลาดอกไม้ เร็วขึ้นหน่อยก็ทำให้จินเฟยเหยามีโอกาสอยู่ได้นานขึ้นอีกนิด

ทว่าใต้เท้าไหวหรี่ตาฟังคำพูดของเขาจนจบ หลังจากได้ยินว่าถูกเก็บเข้าเจตจำนงหกเหลี่ยม ก็เอ่ยอย่างเบาสบายเช่นเดียวกัน “เจตจำนงหกเหลี่ยม? ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เขาเพียงเก็บมนุษย์คนนั้นไปเล่นเท่านั้น รอจนเล่นเบื่อแล้วก็จะโยนออกมา”

“ท่านแม่ ท่านรู้จักเจตจำนงหกเหลี่ยม?” พอปู้จื้อโหยวได้ยิน หรือว่าสิ่งของชิ้นนี้ไม่มีอันตรายสักนิดจริงๆ?

ใต้เท้าไหวเอ่ยอย่างคะนึงหา “รู้จักแน่นอน เป็นเพียงพื้นที่มิติชิ้นหนึ่งเท่านั้น ข้ายังเคยไปเล่นด้านในตอนฤดูหนาวเลย ทิวทัศน์งดงามอย่างยิ่ง สหายของเจ้าไม่เป็นไรหรอก เพียงถูกกักขังหลายวันเท่านั้น ถ้าเจ้าไม่วางใจ ข้าจะช่วยไปพูดให้นางอยู่กับท่านลุงอย่างกินอิ่มนอนหลับ”

“ไม่มีอันตรายเลยสักนิดจริงๆ หรือ? ถ้าท่านหลอกข้า ข้าจะไปเผ่ามนุษย์แล้วไม่กลับมาอีกเลย” ปู้จื้อโหยวไม่เชื่อถืออยู่บ้าง แค่กักขังไว้เล่นจริงๆ หรือ

ใต้เท้าไหวตบบ่าของเขาพลางเอ่ย “เจ้าเอาเรื่องออกจากบ้านมาขู่ข้า ข้าไหนเลยจะกล้าหลอกเจ้า ถ้าเจ้ากลัวท่านลุงกักขังนางไว้นานก็ส่งสิ่งของฝึกบำเพ็ญเข้าไป ให้นางอยู่ว่างๆ ก็หลอมยาและฝึกบำเพ็ญฆ่าเวลาไป ถ้าไม่ไหวจริงๆ ตอนเจี๋ยตันก็สามารถหยิบยืมปรากฏการณ์ประหลาดแห่งฟ้าดินทะลวงเจตจำนงหกเหลี่ยมออกมาเองได้”

ได้ยินใต้เท้าไหวเอ่ยอย่างปลอดโปร่ง เจตจำนงหกเหลี่ยมอาจจะเป็นพื้นที่มิติธรรมดา เห็นว่าจินเฟยเหยาคิดจะหาหญ้าหนาวเหมันต์และเขาผลึกมาหลอมสร้างยาปราณฟ้าดินห้าธาตุ ปู้จื้อโหยวจึงวางแผนจะไปเก็บให้นางหลายชุด จากนั้นค่อยส่งเข้าไปในเจตจำนงหกเหลี่ยม ถ้าผนึกจินตันด้านในได้จริงๆ ก็เป็นเรื่องดี

นี่เป็นความคิดมองโลกในแง่ดีที่สุดของเขา ต่อให้เขาคิดจะใช้กำลังแย่งชิงจินเฟยเหยาก็ไม่มีความสามารถนั้น เพราะเหตุใดเรื่องจึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ปู้จื้อโหยวรู้สึกงุนงง ไม่ฆ่าแต่จับตัวไปกักขัง นี่คือเลี้ยงสัตว์เลี้ยงหรือ?

ปู้จื้อโหยวรู้สึกว่าจินเฟยเหยาเพียงสูญเสียอิสระ ทว่าภายในเจตจำนงหกเหลี่ยมไม่มีอันตรายใดๆ จึงไม่ร้อนใจนัก

ส่วนภายในเจตจำนงหกเหลี่ยม จินเฟยเหยายืนอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้รอยขีดข่วนจริงๆ มือหิ้วพั่งจื่อ กำลังตะโกนขอร้องเสียงดัง “ผู้อาวุโส! ใต้เท้าหลง! ข้าผิดไปแล้ว ท่านปล่อยข้าออกไปเถอะ ข้าไม่ต้องการพื้นที่มิติของท่านแล้ว ท่านเอาไว้ใช้ตอนแก่เถอะ”

จินเฟยเหยารู้สึกจนใจอย่างยิ่ง ตอนนั้นนางตาพร่าพราย จากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นบนผืนน้ำอันไร้ขอบเขตแห่งนี้แล้ว โชคดีที่พลังวิญญาณไม่ติดขัด นางรีบยืนอยู่บนผิวน้ำ ไม่รอให้นางมองเห็นรอบด้านอย่างชัดเจนพั่งจื่อก็ร่วงลงมาจากฟ้ากระแทกใส่ศีรษะนางพอดี

ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ ย่อมรู้ทันทีว่าตนเองถูกกักขังไว้ในของวิเศษบางอย่าง ดังนั้นนางจึงไม่พูดมากหิ้วพั่งจื่อตะโกนใส่ท้องฟ้าเสียงดัง

เมฆสีขาวและท้องฟ้าสีครามบนท้องนภา บางครั้งยังมีสายลมแผ่วเบาพัดพา ดวงอาทิตย์ลอยสูงสาดส่องลงบนร่างนางอย่างอบอุ่น

“ผู้อาวุโส…ท่านพูดอะไรหน่อยสิ ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าไม่สมควรมอบหมอนอิงของท่านให้ผู้อื่น ไม่ถูกสิ ข้าพูดผิดไป ข้าไม่รู้ว่าหมอนอิงใบนั้นเป็นของท่าน ข้าแย่งมันมาจากมือของเศษเดนเผ่ามนุษย์ ข้าไม่รู้ว่าเป็นของท่านจริงๆ เมื่อครู่ข้าพูดผิด ท่านอย่าเชื่อนะ”

จินเฟยเหยาตะเบ็งเสียงตะโกนอยู่เนิ่นนาน ตะโกนจนดวงอาทิตย์ใกล้จะลับเหลี่ยมภูเขา จอมมารหลงก็ไม่เอ่ยตอบเลยสักนิด

สุดท้ายนางหยุดลง และในไม่ช้าก็ด่าทออย่างมีโทสะ “จอมมารหลง! เจ้าคนสารเลว! ข้าจงใจทำ ข้าจงใจมอบหมอนอิงของเจ้าให้คนอื่น คนที่ช่วยไปเอาสิ่งของให้เจ้าถูกฆ่าตายหมดแล้ว ข้าจะทำให้เจ้ามีโทสะตาย ไม่ยินยอมก็มากัดข้าสิ”

“ในที่สุดก็พูดจากใจจริง ท่าทางเจ้าจะแค้นข้ามาก” เสียงของจินเฟยเหยายังไม่หายไป กลางท้องนภาก็มีเสียงราบเรียบราวกับน้ำนิ่งของจอมมารหลงดังมา

ชั่วร้ายเกินไปแล้ว! คิดไม่ถึงว่าเขาจะฟังอยู่ตลอด เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่อยู่เท่านั้น! จินเฟยเหยาเงียบเสียงทันที หลังตกตะลึงอยู่นานจึงเอ่ยอย่างลังเล “ใต้เท้าหลง ท่านกินอาหารหรือยัง?”

“ยังไม่ได้กิน จะกินเจ้าอยู่พอดี!”

…………………………