บทที่ 189 ละครโศกนาฏกรรมในโลกมนุษย์

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“ใต้เท้าหลง ท่านปล่อยข้าออกไปเถอะ ข้ายังมีเรื่องส่วนตัวบางอย่างที่ยังไม่ได้อธิบายกับหลานชายท่าน ข้าอาจจะได้เป็นหลานสะใภ้ของท่านก็ได้นะ ในโลกนี้ไหนเลยมีเหตุผลที่ลุงจับหลานสะใภ้มากักขังไว้ ท่านไม่กลัวผู้อื่นบอกว่าท่านเป็นคนประเภทนั้นหรือ? อย่างเช่นมีชู้ ไม่เคารพผู้อาวุโส” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างถูกต้องชอบธรรม หว่างคิ้วมีความแน่วแน่อย่างไม่ยอมก้มศีรษะให้

ครั้งนี้จอมมารหลงไม่ได้เงียบไปนานนัก ฟังคำพูดของนางจบจึงเอ่ยว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้าเพิ่งคิดจะปล่อยเจ้าออกไป ทว่าตอนนี้เพื่อชื่อเสียงของข้า เจ้าตายเงียบๆ อยู่ในนี้ดีกว่า”

“ใต้เท้าหลง ช้าก่อน! เมื่อครู่ข้ายังพูดไม่ชัดเจน ที่ข้าพูดคืออาจจะเป็น นี่ยังไม่ถึงขั้นนั้น ท่านปล่อยข้าออกไป ต้องไม่มีคนว่าท่านแน่” คิดไม่ถึงว่ายังมีไม้นี้ จินเฟยเหยารีบโยนคำพูดที่เอ่ยก่อนหน้านี้ทิ้งไป ปฏิเสธอย่างสุดกำลัง

“ในเมื่อเจ้ากับข้าไม่ใช่ญาติกัน ความเป็นความตายของเจ้าเกี่ยวอันใดกับข้าด้วย อยู่ต่อไปเถอะ” หลังจอมมารหลงทิ้งคำพูดประโยคนี้ไว้ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

จินเฟยเหยารออยู่นานก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ได้แต่ตะโกนดังลั่น ทว่าต่อให้ตะโกนอย่างไร จอมมารหลงก็ไม่ตอบ ภายในเจตจำนงหกเหลี่ยมมีเพียงเสียงของนาง

จินเฟยเหยาพลันเข้าใจขึ้นมา ตนเองถูกเย้าเล่น เจ้าหมอนี่ไม่คิดจะปล่อยตนเองออกไป เมื่อครู่แกล้งนางเล่นล้วนๆ นางชี้ท้องฟ้าด่าทออย่างเดือดดาล “จอมมาร…”

เพิ่งเอ่ยปาก ก็เห็นห่อสิ่งของปรากฏขึ้นกลางนภาอย่างกะทันหัน ขู่ขวัญนางจนหุบปากทันที อันตราย อีกนิดเดียวเขาจะได้ยินคำด่าแล้ว

ห่อสิ่งของร่วงลงในมือนาง จากนั้นภายในเจตจำนงหกเหลี่ยมก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง มีเพียงน้ำทะเลใต้เท้าที่มีระลอกคลื่นเล็กน้อย

“อะไรน่ะ?” อุ้มห่อของรออยู่ครู่หนึ่ง พบว่าจอมมารหลงไม่มีความเคลื่อนไหวใดอีก จินเฟยเหยาได้แต่เปิดห่อของในมือ

ภายในห่อมีเขาสัตว์เป็นผลึกสว่างใสสามข้าง และยังมีหญ้าวิญญาณวางอยู่ในกล่องหยกสามต้น นอกจากสิ่งเหล่านี้ยังมีกรงนกขนาดเท่าฝ่ามือ ขังนกเล็กๆ ขนหลากสีสันไว้ด้านในตัวหนึ่ง บนหัวนกเทินสิ่งที่เหมือนผลไม้สีแดง ดูแล้วน่ารักอย่างยิ่ง อีกทั้งบนกรงนกยังเสียบจดหมายฉบับหนึ่ง

ในสถานที่ซึ่งทุกคนล้วนใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงและป้ายหยก คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเขียนจดหมายมาหานาง จินเฟยเหยารู้สึกเกินคาด ไม่รู้ว่าเป็นผู้ว่างงานคนใดจึงมีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดนี้ นางเปิดจดหมายออกอ่าน สิ่งที่เห็นก่อนคืออักษรสองตัวว่ายายโง่ตอนเริ่มต้น

ยายโง่ ใครใช้ให้เจ้ารักเงินแต่ไม่รักชีวิต ตอนนี้ถูกกักขังแล้วทบทวนตนเองหน่อยก็ดี ข้าถามแล้ว ภายในเจตจำนงหกเหลี่ยมไม่มีอันตราย เจ้าจะได้ฝึกบำเพ็ญอยู่ด้านในแต่โดยดี นี่เป็นหญ้าหนาวเหมันต์และเขาผลึกสามชุด เจ้าหลอมเป็นยาปราณฟ้าดินห้าธาตุเอาเอง ถ้าท่านลุงไม่ปล่อยเจ้า เจ้าก็สามารถฉวยโอกาสตอนเจี๋ยตันทำให้เกิดปรากฏการณ์แห่งฟ้าดินหยิบยืมปราณแห่งฟ้าดินทลายเจตจำนงหกเหลี่ยมออกมาเอง และนกเล็กๆ ตัวนี้เป็นนกปีกสวรรค์ที่ส่งจดหมายให้ข้าโดยเฉพาะ ขอเพียงเจ้าไม่แล่นไปยังโลกระดับเทพหรือโลกระดับดิน มันก็สามารถตามหาข้าพบ แต่เจ้าอยู่ในเจตจำนงหกเหลี่ยมซึ่งเป็นพื้นที่มิติ หลังเจ้าออกมาค่อยส่งจดหมายมาหาข้า

“ที่แท้เป็นจดหมายของอาปู้ ทั้งยังมอบนกให้ข้าเล่น? หรือเขารู้สึกว่าข้าพักฟื้นอยู่ที่นี่?” จินเฟยเหยามองจดหมายฉบับนี้ รู้สึกว่าอาปู้ทึ่มเกินไปจริงๆ

ทว่าด้านล่างยังมีเนื้อหาอีก นางรีบอ่านต่อ นกปีกสวรรค์ราคาแพงและหยิ่งทะนงมาก เจ้าอย่าทำมันตายเสียล่ะ ข้าเตรียมยาปีกสวรรค์ให้เจ้าสามสิบเม็ดโดยเฉพาะ สูตรยาเขียนไว้ด้านล่าง เจ้าจำไว้ ต้องป้อนยาปีกสวรรค์วันละครั้ง ไม่เช่นนั้นมันจะไม่มีชีวิตชีวา ถ้าไม่กินสามวันจะตาย จดจำไว้!

“หมดแล้ว? แค่สั่งเรื่องนี้? เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกว่าจะช่วยข้า ทั้งยังมอบนกที่ยุ่งยากขนาดนี้มาให้ข้าอีก ใครจะเลี้ยง ถุย!” ในจดหมายเขียนสิ่งเหล่านี้ไว้ ทำให้จินเฟยเหยาเดือดดาลทันที

ในยามนี้เอง บนทะเลพลันมีลมพัด

นางรู้สึกได้ว่าไม่ถูกต้อง จึงเงยหน้ามองไปรอบด้าน ทะเลที่ทอดตามองไปไร้ขอบเขตผืนนี้มองไม่เห็นฝั่งเลยสักนิด ท้องนภาเริ่มมีเมฆดำหนาทึบปกคลุมตามลมที่พัดแรงขึ้น เดิมทีก็อยู่ในเจตจำนงหกเหลี่ยมตอนพลบค่ำ ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนเป็นความมืดมิด

จินเฟยเหยาเก็บสิ่งของลงในกำไลเฉียนคุน แล้วหยิบศิลาแสงราตรีออกมาแขวนไว้บนร่างตนเอง น้ำทะเลเกิดคลื่นขนาดยักษ์ตามลมที่พัดแรงขึ้น ต่อให้นางใช้พลังวิญญาณก็ไม่อาจยืนอยู่บนผิวทะเลได้อีก

หยิบพรมบินออกมา จินเฟยเหยาและพั่งจื่อขึ้นไปนั่ง จากนั้นท้องนภามีแสงสว่างวาบขึ้น เกิดฟ้าร้องฟ้าแลบดังมาจากท้องนภาสาดส่องผิวทะเลทั้งหมดให้สว่าง เสียงฟ้าร้องดังครืนครันราวกับได้ยินอยู่ข้างหู

“เกินไปแล้วนะ ต่อให้เป็นพื้นที่มิติที่มีสี่ฤดู เหตุใดจึงมีฟ้าแลบฟ้าร้องกะทันหัน ถ้าโดนฟ้าผ่าจะตายได้นะ!” จินเฟยเหยามองฟ้าร้องและฟ้าแลบที่ปรากฏในชั้นเมฆอย่างต่อเนื่อง เป็นกังวลอย่างยิ่งว่าตนเองจะถูกฟ้าผ่าหรือไม่

นางยังเป็นห่วงเรื่องฟ้าแลบฟ้าร้อง บนท้องนภาพลันมีฝนห่าใหญ่ตกลงมา

สายลมคลั่งพัดพา คลื่นทะเลรุนแรง กลางท้องนภามีฟ้าแลบฟ้าร้อง ฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วและสายลมรุนแรงกระแทกใส่ร่างจินเฟยเหยา จินเฟยเหยาเจอพายุฝนฟ้าคะนองภายในเจตจำนงหกเหลี่ยม อีกทั้งนางยังไม่มีที่หยั่งเท้า ภายในปรากฏการณ์ธรรมชาติอันรุนแรง พรมบินถูกลมแรงพัดจนเหมือนใบไม้ร่วงกลางอากาศ บินส่ายไปมากลางสายลม

“ไม่ไหว ต้องหาเกาะหรือแผ่นดิน ต่อให้เป็นก้อนหินก็ยังดี!” จินเฟยเหยาถูกพายุฝนสาดซัดจนลืมตาไม่ขึ้น นางได้แต่ใช้มือบังดวงตา หันหน้าไปเอ่ยกับพั่งจื่อทางด้านข้าง

พอเห็นก็ทำให้นางตกใจ พั่งจื่อตัวขนาดสองฝ่ามือกำลังใช้มือคว้าพรมบินไว้อย่างแน่นหนา ร่างถูกลมพัดปลิวขึ้นมา

“เจ้าโง่ เปลี่ยนร่างให้ใหญ่สิ! เปลี่ยนร่างให้ใหญ่จะได้ทับพรมบินไว้!” จินเฟยเหยาร้อนใจ ตะคอกเสียงดังใส่มัน

พั่งจื่อเห็นมีฟ้าร้องฟ้าผ่า ถ้าร่างใหญ่เกินไปจะถูกฟ้าผ่า จึงเปลี่ยนร่างให้เล็กคิดจะทำให้เป้าหมายเล็กลงหน่อย ถ้าฟ้าผ่าก็ผ่าโดนจินเฟยเหยาก่อน อีกทั้งถ้าเปลี่ยนร่างให้ใหญ่ขึ้นต้องถูกจับไปบังลมฝนด้านหน้าแน่นอน มันไม่โง่ขนาดนั้น แต่สิ่งที่ทำให้มันคิดไม่ถึงคือลมพัดแรงมากจนมันเกือบจะถูกพัดปลิวไปแล้ว ภายใต้การคำรามด้วยโทสะของจินเฟยเหยา มันได้แต่คืนสู่รูปร่างเดิมนั่งทับบนพรมบินไว้อย่างแน่นหนา

มีร่างหนักๆ ของพั่งจื่อทับ พรมบินจึงบินอย่างมั่นคงมากกว่าก่อนหน้านี้ จินเฟยเหยาถือโอกาสหลบอยู่ด้านหลังพั่งจื่อ ขับเคลื่อนพรมบินให้บินไปข้างหน้า คิดจะหาสถานที่หยั่งเท้าแห่งหนึ่งท่ามกลางพายุฝน

พั่งจื่อต้านรับพายุฝนและเคลื่อนไปข้างหน้า จินเฟยเหยานอนราบอยู่ด้านหลังมัน บางครั้งยังโผล่ศีรษะออกไปมองรอบด้าน น้ำไหลซู่ลงมาจากหัวของพั่งจื่อราวกับน้ำตก แยกไม่ออกว่าเป็นน้ำตาหรือน้ำฝน

ตามความคิดของจินเฟยเหยา ต่อให้พื้นที่มิติกว้างใหญ่ก็ต้องมีขอบเขต เพียงบินออกไปไม่ไกลนักก็หาฝั่งหรือแผ่นดินพบ ทว่านางบินมาเนิ่นนาน จึงพบเสาธรรมชาติต้นหนึ่งที่กว้างไม่ถึงหนึ่งจั้งในพายุ เสาสูงต้นนี้ยื่นสูงเหนือผิวทะเลห้าหกจั้ง คลื่นทะเลลูกยักษ์เหล่านั้นพุ่งขึ้นมากระแทกด้านข้างของมันพอดี

ถึงแม้หน้าตัดของเสาศิลาต้นนี้จะราบเรียบ ทว่าสถานที่แห่งนี้เล็กเกินไป จินเฟยเหยาไม่ชอบใจ บินไปข้างหน้าในพายุฝนต่อ คิดจะหาเกาะสักแห่ง ถึงอย่างไรมีพั่งจื่อต้านทานลมฝนอยู่เบื้องหน้า นอกจากเปียกไปทั่วร่างแล้ว นางกลับไม่รู้สึกว่าลมพายุพัดจนลำบากเกินไปนัก

เมื่อนางวนรอบหนึ่งก็กลับมาที่เสาศิลาต้นนี้อีกครั้ง จินเฟยเหยารู้ชัดเจน บนทะเลแห่งนี้นอกจากที่นี่ก็ไม่มีสถานที่ให้หยั่งเท้าอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะไปอย่างไร สุดท้ายก็จะกลับมาที่นี่ เสาศิลาต้นนี้น่าจะเป็นศูนย์กลางของเจตจำนงหกเหลี่ยม ส่วนน่านน้ำทะเลที่มองไปไร้ขอบเขต ส่วนมากกลับเป็นภาพมายา มีเพียงคลื่นทะเลและลมพายุเบื้องหน้าที่กระทบบนร่างจึงเป็นของจริง

จินเฟยเหยาไม่มีทางเลือกได้แต่หยุดอยู่บนเสาศิลาต้นนี้ เพียงแต่บนนั้นไม่มีสถานที่บังลมกันฝนใดๆ นางได้แต่นั่งหันหลังให้ลมอยู่ด้านหลังพั่งจื่อ รอให้พายุฝนผ่านไป

หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…

การรอครั้งนี้กินเวลาเจ็ดแปดวัน พายุฝนนอกจากเบาลงเป็นบางครั้ง ก็ไม่ได้หยุดลงมาตลอด ท้องนภายังเป็นผืนสีดำหนาทึบ สายฟ้าราวกับมังกรยักษ์ที่ผ่าลงมาไม่หยุดและไม่รังเกียจว่าเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด

จินเฟยเหยาโยนยาปีกสวรรค์เม็ดหนึ่งใส่กรงนกปีกสวรรค์ในอ้อมอก น่าอิจฉานกปีกสวรรค์ตัวนี้ ในกรงนกน้ำไฟไม่กล้ำกราย ภายนอกมีพายุฝนหนักหนาปานใด กลับพัดเข้าไปไม่ได้เลยสักนิด ทำให้นางอยากจะเข้าไปอยู่ในนั้นอย่างยิ่ง

ภายในเจตจำนงหกเหลี่ยมทั้งหมด นอกจากกรงนกนี้ ยังมีอีกแห่งหนึ่งที่สามารถต้านทานพายุฝนได้ นั่นก็คืออ่างมายาจิ่งเทียน ที่น่าเสียดายคือ วันที่สองที่จินเฟยเหยาคิดจะเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน แต่นางกลับพบว่าเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียนไม่ได้ ต้านิวออกมาไม่ได้นางก็เข้าไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจตจำนงหกเหลี่ยมหรือเพราะจอมมารหลงเป็นสาเหตุ ครั้งนี้อ่างมายาจิ่งเทียนจึงกลายเป็นอ่างธรรมดาใบหนึ่งไปจริงๆ

ทนไม่ไหวแล้ว จินเฟยเหยาลุกขึ้นคำรามใส่ท้องฟ้า “จอมมารหลง ท่านคิดจะเอาอย่างไรกันแน่!”

ขณะที่คิดว่าครั้งนี้คงคำรามอย่างเสียเปล่า บนท้องนภากลับมีเสียงของจอมมารหลงดังมา “เจตจำนงหกเหลี่ยมมีฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วงรวมสี่ฤดู หนึ่งฤดูยาวนานสามเดือน ฤดูใบไม้ผลิหมื่นสรรพสิ่งคืนสู่ความมีชีวิต พสุธามีสีสันของฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อนร้อนแผดเผาสุดเปรียบปานราวกับเตาไฟ ฤดูใบไม้ร่วงมีฝนฟ้าคะนองไม่หยุดเกิดภัยพิบัติน้ำท่วม ฤดูหนาวแผ่นดินจับตัวเป็นน้ำแข็งเต็มไปด้วยหิมะ ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง นี่เป็นความเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของเจตจำนงหกเหลี่ยม ไม่เกี่ยวกับข้า”

“ใต้เท้าหลง ท่านปล่อยข้าออกไปเถอะ” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างน่าสงสาร สี่ฤดูของที่นี่มีเพียงฤดูใบไม้ผลิที่ฟังดูไม่เลว ส่วนช่วงอื่นๆ ไม่ได้ให้คนอยู่เลยสักนิด ถึงตายก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้

“ขี้เกียจปล่อย” เสียงกลางอากาศเย็นชา ไม่มีความรู้สึกสงสารเลยสักนิด

จินเฟยเหยาร้อนใจ ได้แต่เดิมพันครั้งสุดท้าย นางชูอ่างมายาจิ่งเทียนขึ้นแล้วคำราม “ท่านทำแบบนี้ไม่ได้นะ ต่อให้ข้าล่วงเกินท่าน แต่ในนี้มีต้านิวที่ใจดีอยู่ มันต้องกินอาหาร ถ้าข้าเข้าไปไม่ได้มันจะอดตายทั้งเป็น!”

สิ้นเสียง ก็เห็นอ่างมายาจิ่งเทียนเปล่งแสงสว่างวาบ ต้านิวถูกโยนออกมาจากอ่างมายาจิ่งเทียน สิ่งที่มาพร้อมกับมันยังมีมดหนึ่งผลึกที่เพิ่งเลื่อนขั้นสำเร็จและยังมีชีวิตอยู่ตัวเดียว

จากนั้น บนท้องนภาก็มีเสียงอันเย็นเยียบของจอมมารหลงดังมา “ตัวเจ้าก็มีพื้นที่มิติ ใจละโมบไม่เพียงพอดั่งอสรพิษคิดกลืนช้าง[1]”

สวรรค์ มีโทสะอีกแล้ว!

จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นตะโกนลั่นอย่างสิ้นหวัง “ใส่ความ ของสิ่งนี้เป็นเพียงห่อของขนาดใหญ่! มันไม่มีประโยชน์เลยสักนิด เพียงบรรจุสิ่งของได้ ข้าเพียงต้องการพื้นที่มิติที่สามารถปลูกหญ้าวิญญาณได้เท่านั้น!”

น่าเสียดายสิ่งที่ตอบนางมีเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวและเสียงฟ้าร้องครืนๆ เท่านั้น

……………………………….

[1] ใจละโมบไม่เพียงพอดั่งอสรพิษคิดกลืนช้าง หมายถึง โลภมากเกินไปจนความโลภนั้นกลับเป็นผลร้ายต่อตนเอง