บทที่ 190 ฟืน ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ[1]

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ไม่มีทางเลือก ได้แต่พึ่งพาตนเองอีกครั้ง

จินเฟยเหยาใช้มือเช็ดหน้า สลัดผมที่เปียกโชกอย่างห้าวหาญ เพิ่งแสดงการคำรามอย่างเดือดดาลออกมา พอฟ้าผ่าก็ทำให้นางหวาดกลัวจนนอนราบกับพื้นตรงนั้น ความรู้สึกห้าวหาญที่เพิ่งปะทุขึ้นถูกสายฟ้านี้ผ่าจนไม่เหลือหลอ

เสียงสายฟ้าผ่านพ้น นางจึงหยัดกายขึ้นอย่างกระเซอะกระเซิงท่ามกลางพายุฝน กบสองตัว มดหนึ่งตัว และนกว่างงานที่ถูกขังอยู่ในกรงอีกตัว กำลังมองนางอย่างตั้งอกตั้งใจ

“มองอะไร! ควรจะไปทำอะไรก็ไปทำสิ” จินเฟยเหยาด่าทออย่างอารมณ์ไม่ดี

สัตว์ภูติทั้งสี่ตัวไม่เคลื่อนไหวพร้อมใจกันมองนางดังเดิม สถานที่เล็กแค่นี้ พายุฝนหนักขนาดนี้ จะทำอะไรได้ ต้องรอความตายแน่นอน

“เจ้าออกมาดูความสนุกอะไร ไสหัวเข้าไปเลย” จินเฟยเหยาหยิบถุงสัตว์ภูติใบหนึ่งออกมา แล้วจับมดหนึ่งผลึกโยนเข้าไป

มดหนึ่งผลึกตัวนี้นางเลี้ยงอย่างยากลำบากยากเย็นจนเลื่อนเป็นขั้นสองจะให้จมน้ำทะเลตายไม่ได้

ที่จริงต้านิวเป็นคนเลี้ยงดูมาตลอด หลายปีนี้นางไม่ว่างเข้าไปดูเลย ผู้อื่นรักษาชีวิตไว้ได้จากการพิษยานานาชนิด หลังเลื่อนขั้นดูจากภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย น่าเสียดายที่จินเฟยเหยาไม่เคยตั้งใจดูสภาพของมันเลย ถึงอย่างไรมดที่เลื่อนขั้นก็ยังเป็นมด ก็เหมือนกับกบต่อให้มีวิวัฒนาการก็เพียงเพิ่มลักษณะอัปลักษณ์เท่านั้น

เก็บมดหนึ่งผลึกแล้ว สายตาของนางก็มองร่างนกปีกสวรรค์ นกตัวนี้อยู่ในกรงไม่โดนลมและฝน ถ้าเก็บไว้ในกระเป๋าสัตว์ภูติก็ยิ่งสบายมัน ในเมื่อไม่มีทางลำบากก็ให้มันถูกสายฟ้าขู่ขวัญสักหน่อยจะได้ไม่สบายมันเกินไป

ไม่รู้จินเฟยเหยาคิดอะไร ตนเองได้รับโทษยังต้องทรมานสัตว์ภูติของตนเอง ถ้าต้องทนทุกข์ทุกคนก็ต้องทุกข์ด้วยกัน ถ้ามีความสุขทุกคนก็ต้องสุขด้วยกัน น่าเสียดายที่พวกมันต้องทนทุกข์เพียงอย่างเดียวไม่เคยร่วมสุขด้วยมาก่อน

เข้าอ่างมายาจิ่งเทียนไม่ได้ ทว่ากลับเข้าถุงเฉียนคุนได้ จินเฟยเหยาหยิบกระดูกสัตว์สีขาวหลายท่อนออกมาจากกองสิ่งของหลากชนิดราวกับเล่นกล กระดูกสัตว์มีความสูงเท่าสองคนกว่า นางนึกไม่ออกว่าเป็นกระดูกของสัตว์อะไร ถึงอย่างไรก็ไม่สนใจว่ามีประโยชน์หรือไม่ นางชอบเก็บสะสมขยะ

นางใช้เรี่ยวแรงสัตว์ป่าปักกระดูกสัตว์ลงในเสาอย่างแน่นหนา ปักแนวตั้งแล้วพันด้วยเชือก ครู่หนึ่งก็ทำเป็นโครง เวลานี้กรงของนกปีกสวรรค์ถูกนางแขวนไว้บนกระดูกสัตว์ราวกับเด็กๆ ถูกสายลมท่ามกลางพายุฝนพัดจนส่ายไปมา

จากนั้นจินเฟยเหยาก็ค้นหาหนังสัตว์ขนาดใหญ่ออกมาหลายชิ้น ไม่สนใจว่าเป็นหนังมีเกล็ดหรืออ่อนนุ่ม นางเลือกหยิบชิ้นใหญ่ออกมาแขวนบนโครงอย่างว่องไว แล้วพันและใช้เขี้ยวสัตว์ตรึงไว้ คิดไม่ถึงว่านางจะทำกระโจมอันแข็งแรงออกมา

กระโจมหนังสัตว์กินพื้นที่บนยอดของเสาศิลาทั้งหมด หนังสัตว์แข็งแรงทั้งยังกันน้ำ นางยังแขวนหนังสัตว์ชิ้นใหญ่กันลมและฝนตรงประตู เนื่องจากบนพื้นมีน้ำฝน ภายในกระโจมจึงเปียกชื้นและหนาวเย็นทำให้คนรู้สึกไม่สบาย จินเฟยเหยาค้นหาหินแร่ทนไฟออกมาก่อเป็นเตาผิงล้อมภายในกระโจม

นางนำไม้วิญญาณที่ทำหุ่นเชิดออกมาก่อกองไฟขึ้นในเตาผิงอย่างสิ้นเปลือง รอบกองไฟปูด้วยหนังสัตว์กันน้ำหนึ่งชั้น บนนั้นยังปูหนังสัตว์ที่มีขนหนาๆ เพิ่มเติมอีก ไม่นานนัก ภายในกระโจมก็อบอุ่น หนึ่งคนสองกบนั่งล้อมวงอยู่รอบเตาผิง ผึ่งเสื้อผ้าที่เปียกปอนบนร่างและให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายที่เย็นเฉียบ ส่วนกรงนกหลังจากนกปีกสวรรค์ถูกสายฟ้าขู่ขวัญจนสลบไปก็ถูกนางโยนให้ต้านิวดูแล

“แค่ฝนตกฟ้าร้องนิดหน่อยก็คิดจะทำให้ข้าลำบาก เด็กน้อยจริงๆ” จินเฟยเหยาผลัดเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแห้ง นั่งอยู่ข้างเตาผิงและใส่ไม้วิญญาณเข้าไปอย่างกระหยิ่มใจ

“โครก…คราก…” ในยามนี้เอง เสียงท้องของต้านิวร้องขึ้น มันหิวแล้ว

จินเฟยเหยาก็รู้สึกว่านั่งตัวแห้งผิงไฟน่าเบื่อหน่ายอยู่บ้าง ทำอาหารอร่อยๆ กินดีกว่า ทว่าพอถามต้านิวจึงนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่ใช้ทำอาหารทั้งหมดอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียน หม้อ ชาม กระบวย อ่าง ฟืน ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ แม้แต่น้ำสะอาดก็นำออกมาไม่ได้ ต้องรับประทานลมตะวันตกเฉียงเหนือ[2]หรือ

“ให้ข้าคิดดูหน่อย ข้าไม่เชื่อว่าคนจะกลั้นปัสสาวะตายได้[3]” นางเริ่มค้นหาสิ่งของในถุงเฉียนคุน

ครู่หนึ่ง ก็เห็นนางหยิบสิ่งของออกมาอย่างต่อเนื่อง

“นี่ทำเป็นหม้อ ใช้มันปรุงอาหารต้องอร่อยแน่” จินเฟยเหยาชูเปลือกหอยสายรุ้งขึ้นแล้วเอ่ยอย่างยินดี นี่เป็นเปลือกหอยอันงดงามที่นางพบขณะล่าสัตว์ตามแนวปะการังแล้วเก็บกลับมา วางแผนไว้ว่าวันหลังจะใช้ประดับตกแต่งถ้ำเซียน

“พวกนี้ใช้เป็นชามได้ อีกเดี๋ยวข้าจะใช้ไม้วิญญาณแกะเป็นตะเกียบและช้อน” จินเฟยเหยาโยนเปลือกหอยขนาดเท่าฝ่ามือให้ต้านิว จากนั้นค้นหาไม้วิญญาณออกมาและใช้มีดสั้นฝานเป็นตะเกียบบิดๆ เบี้ยวๆ หลายคู่และช้อนหน้าตาประหลาดอัปลักษณ์

ทำสิ่งของเหล่านี้เสร็จ นางจึงพบว่าไร้ข้าวสารกรอกหม้อ อาหารทั้งหมดล้วนอยู่ในอ่างมายาจิ่งเทียน อีกทั้งไม่ได้ล่าสัตว์ปิศาจมานานแล้ว ภายในถุงเฉียนคุนไม่มีเนื้อสัตว์ หรือว่าต้องต้มหนังสัตว์เมื่อหลายปีก่อนกิน?

นึกถึงหนังสัตว์ที่วางทิ้งไว้หลายปีเหล่านั้น ต้มออกมาคงรสชาติไม่ดีเท่าไร จินเฟยเหยาตัดสินใจรองน้ำฝนต้มเป็นน้ำร้อนดื่มก่อน

นางยกหอยสายรุ้งไปวางบังหนังสัตว์ตรงทางเข้ากระโจม โผล่ศีรษะออกมาคิดจะรองน้ำฝนสักหน่อย ก็เห็นดวงตาสูงครึ่งตัวคนกำลังจ้องมองตนเองอย่างตั้งใจ ดวงตาและนางอยู่ใกล้กันมากห่างเพียงนิ้วมือเดียว

“ตัวอะไรน่ะ!” จินเฟยเหยาตกใจ รีบตะโกนลั่นทันที

ไม่รู้ว่าดวงตานั่นตกใจหรือไม่ จึงเบนออกมาหลังจากนางตะโกน จินเฟยเหยาจึงพบว่านี่คือสัตว์ปิศาจขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง ยืดคอยาวออกมาบนผิวทะเลร่างกายจมอยู่ในน้ำมองไม่เห็นบนหัวมีหงอนขนาดยักษ์

มันยืดคอยาวสิบกว่าจั้งก้มลงมองจินเฟยเหยาจากตำแหน่งสูง ไม่ได้โจมตีทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย

“เห็นมันหน้าตาเชื่อง หรือว่าเป็นสัตว์ปิศาจที่น่ารักและรักสงบ?” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองสัตว์ปิศาจขั้นห้าตัวนี้ ค้นความทรงจำทั้งหมดในสมองก็นึกไม่ออกว่านี่เป็นสัตว์ปิศาจอะไร ทว่าอาศัยที่ผู้อื่นหน้าตาไร้พิษภัยนางจึงรู้สึกว่านี่เป็นสัตว์ปิศาจใจดี

จินเฟยเหยาตัดสินว่าสัตว์ปิศาจมีพิษภัยหรือไร้พิษภัย อาศัยเพียงลักษณะอันเรียบง่ายไม่กี่อย่าง ถ้ามีเขี้ยว ตรงหลังมีกระดองแข็งหรือร่างกายอ่อนนุ่ม มีเขาแข็งแกร่งขนาดใหญ่ต้องเป็นสัตว์ที่มีพิษภัย ส่วนพวกตาโต ไม่มีเขี้ยวอันน่ากลัว ท่าทางน่ารักขนหนานุ่มฟูฟ่อง ท่าทางโง่งมนิดๆ คือไร้พิษภัย

ตอนนี้สัตว์ปิศาจที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง ไม่มีเขี้ยวอันน่ากลัว นี่แสดงว่าอาจจะไม่ได้กินเนื้อเป็นอาหาร “ถึงเจ้าจะไร้พิษภัย แต่ต้านิวของข้าหิวอยากกินอาหาร รบกวนเจ้าสละเนื้อเล็กน้อย แค่คอของเจ้าก็ยาวสิบกว่าจั้ง ให้ข้าตัดไปชิ้นหนึ่งก็คือตอนตัดเล็บไม่ทันระวังมือพลาดไปตัดโดนหนังเท่านั้น ไม่เจ็บเลยสักนิด” ต้องการสิ่งใดสิ่งนั้นก็มาจริงๆ เพิ่งพูดว่าไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ สัตว์ปิศาจตัวนี้ก็เป็นฝ่ายมาหาถึงที่ขาดแค่แบกเกลือมาด้วย

จินเฟยเหยาเปรียบเทียบ คิดจะหาสถานที่ซึ่งเนื้อเยอะหน่อยจากบนร่างมัน เพิ่งคิดจะใช้ทงเทียนหรูอี้ ก็เห็นสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงบนร่างของสัตว์ปิศาจตัวนี้อย่างแม่นยำ

จินเฟยเหยาตกตะลึง อดเอ่ยไม่ได้ว่า “ขณะที่ฟ้าผ่า ยืดคอยาวปานนี้ หากไม่ผ่าเจ้าแล้วจะผ่าใคร”

หลังสายฟ้าเจิดจ้าผ่านพ้น สัตว์ปิศาจตัวนั้นก็ยังตั้งอยู่บนทะเลอย่างปกติสุข ทว่าบนหัวมีรอยไหม้จำนวนมาก นี่ทำให้จินเฟยเหยาทอดถอนใจ สายฟ้าเหล่านี้มีอานุภาพใกล้เคียงกับตอนผ่านด่านเคราะห์ คิดไม่ถึงว่ามันถูกฟ้าผ่าแล้วยังอยู่ดี

ทันใดนั้น สัตว์ปิศาจตัวนี้ก็แหงนหน้าคำรามลั่น ดวงตาโตใสกระจ่างเป็นสีแดงทันที สะบัดคอหันมาทางจินเฟยเหยา

“เกิดอะไรขึ้น! ไม่ใช่ข้าผ่าเจ้าเสียหน่อย ทำไมอยู่ๆ เจ้าจึงคิดจะรื้อบ้านข้า!” จินเฟยเหยาตกตะลึงอย่างยิ่ง ถ้าให้มันกวาดคอมา กระโจมที่ตนเองสร้างขึ้นอย่างยากเย็นจะไม่เหลือหลอ

นางตวาดก้องและกระโดดขึ้น พลังวิญญาณทะลัก ไฟนรกรวมเป็นหมัดชกไปบนคอของสัตว์ปิศาจอย่างหนักหน่วง

“ตูม!” เสียงดังสนั่น พลังสองสายปะทะกัน น้ำฝนรอบด้านถูกคลื่นการโจมตีดีดกระเด็นออกมา กลายเป็นพื้นที่รูปวงแหวน จากนั้น จินเฟยเหยาและคอของสัตว์ปิศาจต่างถูกดีดกระเด็นออกมา นางถูกดีดออกมาไกลหลายสิบจั้ง

ถึงคอของสัตว์ปิศาจจะถูกดีดออกมา ทว่ามันหยิบยืมแรงสะท้อนโจมตีมาอีกครั้ง

“หาที่ตาย!” เพิ่งปะทะกัน จินเฟยเหยารู้สึกว่าอวัยวะภายในสั่นสะเทือนตามการโจมตีอันหนักหน่วง แรงสะบัดคอไม่เบาเลยทีเดียว

“มายา!” นางตวาดลั่น ทงเทียนหรูอี้ อันหนึ่งกลายเป็นค้อนกลม อีกอันหนึ่งกลายเป็นโซ่ ใช้สองสิ่งประสานกันเป็นค้อนดาวตกขนาดยักษ์ จินเฟยเหยาสะบัดค้อนดาวตกทงเทียนอย่างทรงอานุภาพราวกับพยัคฆ์ ขนาดน้ำฝนยังมิอาจเข้าใกล้ร่าง

“เจ้ามีสิ่งของสะบัด ข้าก็มีสิ่งของกวัดแกว่ง ดูสิว่าผู้ใดจะร้ายกาจกว่ากัน!” จินเฟยเหยามีโทสะอยู่เต็มท้องพอดี อากาศเปียกชื้นยิ่งทำให้นางไม่พอใจ ตอนนี้จึงคำรามเสียงดังยิ่งกว่าสัตว์ปิศาจ

คอของสัตว์ปิศาจสะบัดมาถึงค้อนดาวตกก็ลอยหลุดจากมือในพริบตาและปะทะกันอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง จินเฟยเหยากลับเป็นฝ่ายมีเปรียบ พละกำลังของค้อนดาวตกทงเทียนสะกดพละกำลังของสัตว์ปิศาจไว้ได้ ได้ยินเสียงกระดูกหักอันคุ้นเคยและเสียงทึบของการโจมตี สัตว์ปิศาจร้องโหยหวน กระดูกลำคอถูกทุบหัก

ฉวยโอกาสที่กระดูกคอสัตว์ปิศาจหัก ขณะที่คอเหวี่ยงไปด้านหลังตามการโจมตี จินเฟยเหยาสะบัดมือ ทงเทียนหรูอี้ก็บินขึ้นมาและกลายเป็นขวานยักษ์จามลงบนคอราวกับสับซี่โครง คมมีดผ่านพ้นคอหักสะบั้น สัตว์ปิศาจร่างยักษ์พร้อมลำคอครึ่งเดียวร่วงลงสู่ทะเล

ร่างสัตว์ปิศาจที่สูญเสียศีรษะค่อยๆ จมลงในทะเล จินเฟยเหยารีบควบคุมทงเทียนหรูอี้ให้กลายเป็นมีดบางสองเล่ม แล่ไปตามร่างของสัตว์ปิศาจจากล่างขึ้นบน ชิ้นเนื้อยาวห้าหกจั้งสองชิ้นก็ถูกฝานลงมา ฉวยโอกาสกรีดอีกหลายครั้ง ชิ้นเนื้อก็ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาดกว้างครึ่งจั้งกว่าถูกจินเฟยเหยาเก็บใส่ถุงเฉียนคุนหมดในพริบตา

จากนั้นนางกระโดดกลับไปตรงปากกระโจม หยิบหอยสายรุ้งโยนลงบนพื้นรองน้ำฝนด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ฮึ!” นอกเจตจำนงหกเหลี่ยม จอมมารหลงกำลังหลับตาพิงบนเก้าอี้ยาวอันเรียบง่ายตัวหนึ่งใต้ร่างมีหมอนอิงงดงามหรูหรา รอบด้านเป็นไหล่เขาที่มีดอกไม้เบ่งบาน เขาพลันลืมตาและส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ

“ใต้เท้าหลง ไม่พอใจโลกระดับเทพ?” เผ่ามารขั้นกำเนิดใหม่ซึ่งมีเส้นผมสีดำคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงข้ามเขา ไม่ค่อยเข้าใจเสียงฮึอันเย็นชาของจอมมารหลงอยู่บ้าง รีบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“เปล่า ข้าเพียงรู้สึกว่าหมอนอิงใบนี้ไม่สบายเหมือนใบก่อน คิดจะเปลี่ยนใหม่” จอมมารหลงเอ่ยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คนเผ่ามารขั้นกำเนิดใหม่ผู้นั้นตอบอย่างลำบากใจอยู่บ้าง “ผ้าไหมเทียนจี๋หาได้ง่าย เพียงแต่สิ่งของที่ไม่มีประโยชน์เช่นเมฆหน่วนซินยากจะหาพบในเวลาสั้นๆ”

“เช่นนั้นก็ส่งคนไปเพิ่มคงหาพบ เจ้าพูดเรื่องของโลกระดับเทพต่อเถอะ” จอมมารหลงหลุบตาลงอีกครั้ง พลางเอ่ยอย่างชืดชา

“ขอรับ”

…………………………………

[1] ฟืน ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ หมายถึง สิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน

[2] รับประทานลมตะวันตกเฉียงเหนือ หมายถึง ไม่มีอะไรจะกิน

[3] คนกลั้นปัสสาวะตายได้ หมายถึง ทุกปัญหาย่อมมีทางออก ทั้งประโยคหมายถึง ไม่เชื่อว่าจะไม่มีหนทางแก้ไข