บทที่ 191 นรกเปลี่ยนเป็นสวรรค์

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

พายุฝนคำราม สายฟ้าแปลบปลาบ จินเฟยเหยายืนอยู่บนเสาสูงนอกกระโจมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงขมวดคิ้วตะโกนลั่นใส่ท้องนภา “ใต้เท้าหลง ใต้เท้าสุดหล่อ ท่านอยู่หรือไม่?”

รออยู่ครู่หนึ่งกลางอากาศไม่มีใครสนใจนาง จินเฟยเหยาเปลี่ยนน้ำเสียง ตะโกนเรียกเสียงอ่อนหวาน “ใต้เท้าหลง ท่านอยู่หรือไม่ ข้ามีข่าวดีมาบอกท่าน”

เอาตัวเข้าแลกขนาดนี้ ไม่รอให้จอมมารหลงตอบ จินเฟยเหยาก็หยิบหมอนอิงซึ่งทำจากหนังสัตว์ใบหนึ่งออกมาจากด้านหลังอย่างไม่สนใจ บิดเอวแบบที่ตนเองนึกว่าน่าดึงดูดพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลง นี่คือหมอนอิงที่ข้าทำชดใช้ให้ท่านกับมือตนเอง ถึงจะเทียบกับหมอนผ้าไหมเทียนจี๋ใบนั้นไม่ได้แต่แข็งแรงทนทาน ถึงท่านใช้แสนปีก็ไม่มีปัญหา ท่านมาดูหน่อยสิ!”

จินเฟยเหยาถือวัตถุยาวๆ สีดำสนิทในมือ ด้านบนทั้งหมดเป็นเกล็ด คิดไม่ถึงว่านางจะใช้หนังของมังกรเกล็ดนิลทำเป็นหมอนอิง คนที่ไม่รู้ยังนึกว่าสิ่งที่นางถืออยู่ในมือคือเสาผุพังเสียอีก

นางชูหมอนอิงมังกรเกล็ดนิลในมือโบกไปมาในอากาศเพื่อดึงดูดสายตาของจอมมารหลง

“เปรี้ยง!” เสียงสายฟ้าดังสนั่น ฟาดลงบนหมอนอิงในมือจินเฟยเหยาโดยไม่ไว้หน้าเลยสักนิด

เห็นหมอนอิงในมือถูกฟ้าผ่าจนเป็นเถ้าถ่าน จินเฟยเหยาก็สูดหายใจหนาวเยือก ของสิ่งนี้สามารถทำให้มนุษย์และเทพเคียดแค้น หรือว่าจอมมารหลงไม่พอใจสิ่งนี้จึงให้สายฟ้าผ่ามันทิ้ง?

จินเฟยเหยากัดฟันมุดเข้ากระโจมแล้วหิ้วพั่งจื่อเดินออกมา ชูมันขึ้นแล้วตะโกนใส่ท้องนภา “ใต้เท้าหลง เมื่อครู่ข้าผิดเอง หมอนอิงลูกนั้นถึงจะแข็งแกร่งทว่าก็แข็งเกินไป สิ่งนี้ดีนะ หนังท้องของมันอ่อนนุ่ม เล็กได้ใหญ่ได้ทั้งยังลื่นมือให้ความรู้สึกไม่เลว ท่านเอามันไปแล้วปล่อยข้าไปเถอะ”

พั่งจื่อดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ใช้ความลื่นไหลบนร่างดิ้นรนหลุดออกมา ก่อนมันจะหนีไปยังเหินร่างถีบใบหน้าจินเฟยเหยาหนึ่งทีก่อนจะกระโดดเหยียบศีรษะนางกลับเข้ากระโจม

“พั่งจื่อที่น่าตาย! กลับมานะ ความสุขของข้าฝากไว้บนตัวเจ้านะ เจ้าเสียสละหน่อยสิ!” จินเฟยเหยาพุ่งเข้าไปในกระโจม ไล่ตามพั่งจื่อไปรอบๆ

“ใต้เท้าหลง โลกระดับเทพส่งคนมาถ่ายทอดวาจา ท่านว่าเรื่องนี้ควรทำเช่นไรดี?”

ภายในลานประชุมสีดำ มีบรรดาชนชั้นสูงของเผ่ามารนั่งอยู่เต็มไปหมด สายตาทุกคู่มองไปยังใต้เท้าหลงซึ่งนั่งบนแท่นสูง

นิ้วของใต้เท้าหลงเคาะลงบนเท้าแขนเก้าอี้เบาๆ หลับตาฟังการหารือของชนชั้นสูงด้านล่าง ทันใดนั้น นิ้วของเขาก็หยุดลง ลืมตาขึ้นเผยให้เห็นแววดุร้ายและกวาดมองไปรอบด้าน

“หืม?” ทุกคนกำลังถกกันเรื่องโลกระดับเทพ คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหลงจะเผยเจตนาสังหารบนใบหน้าอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนงงงัน หรือว่าใต้เท้าหลงเกลียดชังคำสั่งของโลกระดับเทพถึงขั้นนี้?

“ฮึ ข้าไม่อยากไปคลุกคลีกับน้ำนิ่งของโลกระดับเทพ พวกเขาชอบอยู่ที่นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขา ข้าไม่สนใจเลยสักนิด” จอมมารหลงนั่งตัวตรงเอ่ยอย่างหมดความอดทน

ยามนี้มีชนชั้นสูงชราคนหนึ่งยืนขึ้นเอ่ยถามอย่างลังเล “ใต้เท้าหลง ถ้าดินแดนของพวกเราในโลกระดับเทพหดเล็กลงจะทำอย่างไร? หากครั้งนี้รักษาภูเขาเสี่ยวม่ายไว้ไม่ได้ พวกเราอาจจะสูญเสียผลประโยชน์อย่างหนัก”

“หงอยากไปโลกระดับเทพมาตลอดมิใช่หรือ เร็วๆ นี้กำลังเตรียมทะลวงขั้นแปลงจิต หลายวันนี้ข้าต้องไปคุ้มครองเขา หลังบรรลุขั้นแปลงจิตก็ให้เขาไปโลกระดับเทพแล้วกัน ส่งขั้นกำเนิดใหม่สิบกว่าคนไป มิสู้ให้ขั้นแปลงจิตคนหนึ่งไปจะมีประโยชน์กว่า เจ้าพวกนั้นร้อนใจจนกลายเป็นแบบนี้เลย? คิดไม่ถึงว่าจะให้ข้าส่งขั้นหลอมรวมไป ส่งไปให้เผ่ามนุษย์ซ้อมมือหรือ!”

ยามนี้อารมณ์ของใต้เท้าหลงยังไม่เลว คิดไม่ถึงว่าจะส่งเสียงเยาะเย้ยพวกตาเฒ่าแห่งโลกระดับเทพ

“หากใต้เท้าหงยินยอมไป เช่นนั้นก็ดียิ่ง” ใบหน้าของทุกคนผ่อนคลายลง พร้อมใจกันส่งเสียงตอบรับ หารือเรื่องงานเสร็จสิ้นชนชั้นสูงทุกคนต่างล่าถอยออกจากลานประชุม

เผ่ามารสองสามคนเดินเกาะกลุ่มพลางพูดคุย “เจ้าพบเห็นหรือไม่ ในช่วงเวลาสั้นๆ เหมือนใต้เท้าหลงจะมีโทสะบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีเรื่องใดยั่วโทสะเขานี่นา”

“ได้ยินว่าใต้เท้าหลงเลี้ยงสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง ไม่เชื่อฟังอย่างยิ่ง ยั่วโทสะเขาบ่อยๆ”

“ไม่จริงน่า เลี้ยงอีกแล้ว?”

“ใช่ ได้ยินว่ายุ่งยากกว่าเผ่ามนุษย์หนึ่งพันคนเมื่อครั้งที่แล้ว ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับใต้เท้าไหวด้วย บุตรชายของนางไปขอคืนหลายครั้งก็ยังไม่ได้มา”

“เหตุใดใต้เท้าหลงจึงชอบกักขังเผ่ามนุษย์ จากนั้นทรมานพวกเขาอย่างช้าๆ มนุษย์หนึ่งพันคนเมื่อครั้งที่แล้วได้ยินว่าเข่นฆ่ากันเองอย่างอเนจอนาถ คนที่ตายในเงื้อมมือเขาจริงๆ มีไม่กี่คน”

“เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก สังหารทิ้งตรงๆ ง่ายดายยิ่ง บีบจนอีกฝ่ายสูญสิ้นปณิธานและเสียสติจึงเป็นขอบเขตสูงสุดของการทรมานให้ตาย”

“เป็นความแตกต่างของพลังการบำเพ็ญเพียรจริงๆ ด้วย ข้าไม่ชอบแบบนี้ ฉีกทึ้งมนุษย์ให้กลายเป็นชิ้นๆ โดยตรงสบายใจกว่าเยอะ”

“เชอะ เจ้าคนป่าเถื่อน ไม่รู้จักความสง่างามเอาเสียเลย”

“อย่างพวกเจ้าเรียกว่าสง่างาม เป็นพวกชั่วร้ายชัดๆ”

จินเฟยเหยาที่อยู่ในเจตจำนงหกเหลี่ยม หลังจับพั่งจื่อได้ก็มอบหมอนอิงพั่งจื่อให้จอมมารหลงอีกครั้ง แม้แต่เจตจำนงหกเหลี่ยมก็ยังทนดูต่อไปไม่ได้ หลังได้ยินเสียงร้องอย่างเศร้าสร้อยของพั่งจื่อจึงใช้สายฟ้าผ่านางถึงสามครั้ง

รสชาติของสายฟ้าด่านเคราะห์ที่ผ่าลงมาล่วงหน้า ไม่ใช่สบายแบบธรรมดา ทั้งชาทั้งเจ็บ ขนาดห้วงการรับรู้ยังถูกโจมตีอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน ตลอดร่างดำมิดหมี จินเฟยเหยาที่มีสารรูปราวกับหมูหันที่ไหม้เกรียมตัดสินใจว่าจะไม่ส่งมอบพั่งจื่อออกไปอีก

“ฮึ โชคดีที่ข้าหัวไวสวมชุดที่ปู้จื้อโหยวมอบให้ทั้งตัว ไม่เช่นนั้นคงถูกสายฟ้าสามสายผ่าจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว” จินเฟยเหยานอนผิงไฟอยู่ในกระโจมอย่างเกียจคร้าน

นางไม่เข้าใจอยู่บ้าง เหตุใดพั่งจื่อจึงโชคดีขนาดนี้ สายฟ้าผ่าลงมาสามครั้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากพั่งจื่อดิ้นหลุดทุกครั้ง ราวกับมีคนเฝ้าอยู่ด้านข้างโดยเฉพาะ ขอเพียงพั่งจื่อดิ้นหลุดก็ใช้สายฟ้าผ่านาง

นางเคยสงสัยจอมมารหลง แต่จอมมารหลงดูแล้วไม่ใช่คนดีที่รักถนอมสัตว์ภูติ จะเฝ้าอยู่ด้านข้างตลอดเพื่อไม่ให้สายฟ้าผ่าโดนพั่งจื่อได้อย่างไร คิดไปคิดมา นางได้แต่เดาว่าพั่งจื่อโชคดีเกินไป ขนาดสายฟ้ายังไม่อยากผ่ามันเลย

ตามวันเวลาที่ล่วงเลย จินเฟยเหยาไม่ทรมานอีก ใช้ชีวิตอย่างกินอิ่มนอนหลับอยู่ในกระโจมตลอด แต่ละวันจะหาเวลาว่างมานั่งฝึกบำเพ็ญ และยังหาเวลาว่างมาหลอมยาปีกสวรรค์ให้นกปีกสวรรค์ทุกสองสามวัน เวลาส่วนใหญ่นอกนั้นคือนอนหลับอยู่ข้างเตาผิง

สัตว์ปิศาจในทะเลยังมากมายดังเดิม แต่นางติดตั้งวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจไว้นอกกระโจม พอมีสัตว์ปิศาจมาก่อกวน นางก็ข่มขู่พั่งจื่อให้ออกไปรับศึก ถ้าพั่งจื่อไม่ยอมไปจินเฟยเหยาจะส่งมอบพั่งจื่อไปทำเป็นหมอนอิง ทำให้ตัวเกียจคร้านอย่างพั่งจื่อไม่มีทางแอบอู้ บางครั้งบางคราวยังออกไปสู้แบบถวายหัว

สำหรับจินเฟยเหยาที่ไม่ทำอะไรและใช้ชีวิตไปวันๆ เวลาสามเดือนพริบตาก็ผ่านพ้น หลังฤดูใบไม้ร่วงในเจตจำนงหกเหลี่ยมผ่านไป ฤดูหนาวก็ตามมา

ในที่สุดพายุฝนที่ตกมาสามเดือนก็หยุดลง ดวงอาทิตย์ยังไม่เผยโฉม กลางท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัวก็มีเกล็ดหิมะขนห่าน[1]ล่องลอย

หนาว หนาวจริงๆ ชั่วเวลาสามวัน ทะเลอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตก็ถูกแช่แข็งเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ ทุบลงไปสามสิบจั้งยังไม่เห็นน้ำที่เป็นของเหลวสักนิด พั่งจื่อและต้านิวทอดทิ้งจินเฟยเหยาอย่างเลือดเย็น และเข้าไปหลบอยู่ในถุงสัตว์ภูติ ภายในกระโจมมีเพียงจินเฟยเหยาที่ไร้ที่ไป พันห่อด้วยขนสัตว์สิบกว่าชั้นอยู่กับนกปีกสวรรค์ที่อยู่ในกรงอย่างไร้กังวล จ้องมองตากันและกัน

ฤดูหนาวภายในเจตจำนงหกเหลี่ยม มีทิวทัศน์หิมะอันงดงามที่สุดตามที่ใต้เท้าไหวบอก ทว่าสิ่งที่มาพร้อมกับความงดงามก็คือความเหน็บหนาวสุดขีด ภายในกระโจมเผาไม้วิญญาณและจัดวางหินแร่ที่มีพลังงานความร้อน จินเฟยเหยานอกจากฝังตัวอยู่ในหนังสัตว์ที่เหมือนกระดองเต่ายังใช้พลังวิญญาณทำให้อบอุ่นและรักษาอุณหภูมิทั่วร่าง

ทำถึงขั้นนี้ รอบด้านก็ยังเหน็บหนาวจนทำให้คนอยากตาย จินเฟยเหยาเพียงรักษาจุดสำคัญไว้ไม่ให้หนาวตายเท่านั้น

ในสามเดือนนั้น ใต้เท้าหลงอารมณ์ดีทุกวัน แม้แต่ผู้ติดตามรอบกายยังได้รางวัลไปไม่น้อย ทุกคนล้วนคาดเดาว่า สัตว์เลี้ยงที่ใต้เท้าหลงเลี้ยงไว้ ยามนี้ต้องอยู่อย่างโหดร้ายทารุณแน่ ไม่เช่นนั้นใต้เท้าหลงคงไม่อารมณ์ดีแบบนี้

แต่หลายเดือนต่อมา ใต้เท้าหลงก็หมดความสนใจจินเฟยเหยาที่อยู่ในเจตจำนงหกเหลี่ยม บางทีมีมนุษย์เพียงคนเดียวถูกขังอยู่ในนั้น ไม่มีความขัดแย้งดูแล้วไม่ค่อยสนุกนัก เวลาส่วนมากเขาก็คร้านจะใช้การรับรู้กวาดดูในเจตจำนงหกเหลี่ยมอีก บวกกับเขามีธุระพอดีจินเฟยเหยาจึงถูกเขาลืมสนิท และโยนเจตจำนงหกเหลี่ยมทิ้งไว้จนฝุ่นจับในมุมหนึ่งของสิ่งวิเศษเฉียนคุน

จินเฟยเหยาปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ในเจตจำนงหกเหลี่ยม เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยความเย้ายวนมาถึง ก็ทำให้นางตื่นเต้นยินดีจริงๆ หิมะน้ำแข็งหลอมละลาย น้ำทั้งหมดลดลงเผยให้เห็นพื้นดินด้านล่าง หญ้าเขียวขจีจำนวนมากงอกขึ้นเต็มพื้นที่ว่างในเจตจำนงหกเหลี่ยมภายในวันเดียว ต้นอ่อนสีเขียวเล็กๆ แต่ละต้นแทงทะลุพื้นดินออกมา และเติบโตด้วยอัตราเร็ววันละร้อยจั้ง ภายในเวลาสามวันเจตจำนงหกเหลี่ยมทั้งหมดก็เปลี่ยนจากทุ่งหญ้ากลายเป็นป่าทึบ

ตามการปรากฏขึ้นของป่าทึบ สัตว์ปิศาจที่สูงร้อยจั้งและหลายสิบจั้งไม่รู้ว่าผุดออกมาจากที่ใด จินเฟยเหยาชื่นชมอยู่สามวันจึงกระโจนลงต่อสู้

แต่ละวันล้วนมีสัตว์ปิศาจหลายตัวหรือหลายสิบตัวมารุกรานกระโจมเล็กๆ ของนาง ทำให้พั่งจื่อและนางยุ่งแทบตาย เหนื่อยจนเท้าไม่ติดพื้น ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูกาลที่ยุ่งจริงๆ

รอจนจินเฟยเหยาใช้ชีวิตผ่านฤดูใบไม้ผลิอันยุ่งเหยิงไปอย่างยากลำบาก ฤดูร้อนอันแผดเผาก็มาถึง

จินเฟยเหยายืนอยู่บนเสาศิลาสูงๆ มองดูต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าจากสีเขียวขจีเหี่ยวเฉาลงภายในสองวัน จากนั้นกลายเป็นธุลีดิน พืชพรรณค่อยๆ หายไป สัตว์ปิศาจที่มีชีวิตชีวาตายไปเก้าส่วน เจตจำนงหกเหลี่ยมกลายเป็นทะเลทรายผืนหนึ่ง นอกจากความร้อนก็คือความร้อน ใต้พื้นทรายเต็มไปด้วยสัตว์ปิศาจที่มาหาอาหาร บางครั้งยังกระโดดออกมาให้นางยินดี

ฤดูร้อนไปฤดูใบไม้ร่วงมา เป็นพายุฝนอันทารุณสามเดือนอีกครั้ง หลังพายุฝนผ่านไปก็เป็นแผ่นดินน้ำแข็งอีกครา สภาพอากาศสุดโต่งภายในเจตจำนงหกเหลี่ยมผ่านเบื้องหน้าจินเฟยเหยาไปอย่างไร้ความปราณี เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับหนึ่งวันหนึ่งฤดูก็มิปาน

ชุดอาคมอันงามหรู กลายเป็นขยะที่ผุพัง กระโจมบนยอดเขากลายเป็นธงที่แขวนอยู่กลางสายลม มีเพียงจินเฟยเหยาหลังจากปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศของเจตจำนงหกเหลี่ยมได้โดยสมบูรณ์ นางก็สรุปทักษะการใช้ชีวิตในเจตจำนงหกเหลี่ยมออกมาชุดหนึ่งราวกับยิ่งมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งอิสระ

เจตจำนงหกเหลี่ยมเปลี่ยนจากนรกขุมที่สิบแปดเป็นสวรรค์อันอิสรเสรีของจินเฟยเหยา

……………………………

[1] หิมะขนห่าน หมายถึง เกล็ดหิมะที่มีขนาดใหญ่เหมือนขนห่าน บรรยายถึงหิมะตกหนักและฉับพลัน