บทที่ 192 พวกเรากลายเป็นสุกรแล้ว?

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ฤดูใบไม้ผลิ ด้านล่างเสาศิลาที่มีต้นไม้หนาทึบให้ร่มเงา จินเฟยเหยานั่งอยู่ด้านล่างเห็ดที่สูงขนาดสองตัวคน ด้านซ้ายเป็นผลไม้ป่าสีแดงฉ่ำสูงครึ่งตัวคน ด้านขวาเป็นกล้วยหยาบใหญ่เท่าตอไม้ ด้านหน้ากลับเป็นเนื้อสัตว์ปิศาจที่แขวนอยู่เหนือกองไฟ

ต้านิวกำลังโยนองุ่นเม็ดใหญ่เท่าศีรษะมนุษย์เข้าไปในเปลือกผลไม้ครึ่งซีกเบื้องหน้า จากนั้นหยิบท่อนไม้หยาบหนาขึ้นทุบองุ่นจนแตก ทำเป็นน้ำผลไม้ เปลือกผลไม้มีขนาดใหญ่ยิ่ง ใหญ่จนเพียงพอให้พั่งจื่อทำเป็นอ่างอาบน้ำ

พั่งจื่อก็ไม่ว่าง กินเนื้อย่างทางซ้ายคำหนึ่ง กินผลไม้ป่าทางขวาคำหนึ่ง ทั้งสามคนกินอย่างเรียกได้ว่าสำเริงสำราญ

ใบไม้ขนาดยักษ์ที่อยู่ด้านล่างเสาศิลากลายเป็นห้องสีเขียวเล็กๆ อันแสนสบาย ต้นไม้สูงร้อยจั้งนำมาซึ่งผลไม้ขนาดยักษ์ ขอเพียงถึงฤดูใบไม้ผลิก็คือช่วงเวลาที่ดีของจินเฟยเหยาในการเก็บเกี่ยวผลไม้และเนื้อสัตว์ปีละครั้ง

“โฮก!” สัตว์ปิศาจสูงหลายสิบจั้งตัวหนึ่งปรากฏขึ้น ส่งเสียงคำรามและพุ่งเข้าใส่พวกเขา

“พั่งจื่อ ลุย!” จินเฟยเหยานั่งสั่งการอยู่ที่เดิมโดยไม่เงยหน้าขึ้น พั่งจื่อก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนู มันขยายใหญ่ขึ้นหลาบสิบจั้งร่วงลงเบื้องหน้าสัตว์ปิศาจดังตูมแล้วยกหมัดหนักๆ ขึ้นต่อยไป

จินเฟยเหยายังแทะผลไม้ได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งพั่งจื่อก็ได้รับชัยชนะกลับมา สัตว์ปิศาจตัวใหญ่เกินไปต่อให้พวกจินเฟยเหยาสามคนกินเก่งก็กินสัตว์ปิศาจตัวใหญ่ขนาดนี้ไม่ไหว นางยืดกายขึ้น ทงเทียนหรูอี้กลายเป็นมีดเล่มบางบินไปอย่างรวดเร็วตัดเนื้อตรงที่อ่อนนุ่มที่สุด

จินเฟยเหยาเริ่มฟุ่มเฟือยขึ้นมา จากมีสิ่งใดก็กินสิ่งนั้นจนตอนนี้เลือกแต่ส่วนที่ดีที่สุดและอ่อนนุ่มที่สุด ต่อให้ฟุ่มเฟือยแบบนี้ ในพื้นที่ว่างของกระเป๋าเก็บของ กำไลข้อมือ และถุงเฉียนคุนของนาง โดยพื้นฐานแล้วเมื่อสิ้นสุดฤดูใบไม้ผลิทั้งหมดก็ถูกบรรจุจนเต็ม

ฤดูใบไม้ผลิผ่านไป ฤดูร้อนที่มีทะเลทรายอันร้อนระอุก็มาถึง ห้องเล็กๆ ซึ่งทำจากใบไม้สีเขียวก็ถูกแดดเผาจนแห้งกรอบ ลมพัดคราหนึ่งก็กลายเป็นเศษซาก ด้านบนสุดของเสาศิลาถูกจินเฟยเหยาขุดเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง ยอดกระโจมผุพังไปนานแล้วกลายเป็นธงขาดๆ ผืนหนึ่งที่แขวนไว้บนกระดูกสัตว์

ถ้ำในเสาศิลาไม่โดนแสงอาทิตย์โดยตรง อุณหภูมิต่ำกว่าภายนอกมาก ทว่าเวลาส่วนใหญ่จินเฟยเหยาอยู่ข้างนอก เสาศิลาต้นนี้เหลือไว้ใช้ยามมีพายุฝนช่วงฤดูใบไม้ร่วง

บนทรายด้านล่างเสาศิลา รอบกายจินเฟยเหยามีก้อนน้ำแข็งกว้างหลายจั้งกองอยู่เต็มไปหมด นางกำลังสวมชุดเบาบางนอนกลิ้งบนก้อนน้ำแข็ง

อากาศที่นี่ร้อนแผดเผาอย่างยิ่ง นำก้อนน้ำแข็งหนาหลายจั้งออกมาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็หลอมละลาย ทว่านางหยิบก้อนน้ำแข็งหยิบออกมาได้ไม่หมดสิ้น ทั้งหมดเป็นการสะสมเตรียมไว้ใช้ในยามนี้เมื่อตอนฤดูหนาว อีกทั้งเนื่องจากอยู่มานานจึงรู้ดีว่าควรเตรียมก้อนน้ำแข็งไว้เท่าใด แต่ละครั้งล้วนใช้ได้สามเดือนพอดี การเตรียมถุงเฉียนคุนและกระเป๋าเก็บของไว้มากๆ เป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงๆ

แม้แต่ต้านิวก็ไม่ต้องทำงาน สำเริงสำราญกับผลไม้แช่เย็นบนก้อนน้ำแข็งทั้งวัน มันติดตามจินเฟยเหยามาหลายปี ตอนนี้จึงเริ่มใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

ใต้ร่างคือก้อนน้ำแข็งอันเย็นสบาย ผลไม้ที่เก็บไว้เมื่อฤดูใบไม้ผลิก็วางอยู่บนน้ำแข็ง กินแล้วเย็นสดชื่นไปทั่งร่างจริงๆ นางกินผลไม้ที่เย็นชื่นใจพลางชี้ไปยังทรายเหลืองที่ฟุ้งตลบขึ้นไกลๆ แล้วเอ่ย “พั่งจื่อ ลุย!”

พั่งจื่อลุกขึ้นจากผลไม้อย่างไม่ยินยอม กระโดดขึ้นกลางอากาศแปลงร่างเป็นกบยักษ์ กระทืบจนทรายเหลืองคละคลุ้งพุ่งปราดเข้าใส่สัตว์ปิศาจทะเลทรายที่วิ่งเข้าหาพวกเขา

“พั่งจื่อ! เคลื่อนไหวเบาหน่อย ทรายกระเด็นใส่ร่างพวกเราหมดแล้ว!” จินเฟยเหยาชูกำปั้นขึ้นโบกอย่างไม่พอใจ จากนั้นใช้ร่มซึ่งทำจากหนังสัตว์และกระดูกสัตว์เคลื่อนมาบดบังแสงอาทิตย์เหนือศีรษะอย่างรวดเร็ว

สามเดือนต่อมาก็เป็นพายุฝนในฤดูใบไม้ร่วงที่ทำให้คนชิงชัง จินเฟยเหยานั่งหลับตาอยู่ในถ้ำที่ขุดจากเสาศิลา เบื้องหน้าคือเตาหลอมยาซึ่งถูกเผาไหม้อยู่ในเพลิงแท้ พั่งจื่อและต้านิวนั่งอยู่ด้านข้างอย่างพร้อมเพียงและไม่ขยับเลยสักนิด มองเตาหลอมยาอย่างระมัดระวัง

นอกเสาศิลาเป็นพายุฝน คลื่นทะเลม้วนขึ้นกระแทกไม่หยุด ทว่าปากถ้ำถูกวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจสกัดกั้นไว้ น้ำฝนและคลื่นทะเลท่วมเข้ามาในถ้ำไม่ได้

ทันใดนั้น จินเฟยเหยาลืมตาขึ้น ในดวงตามีประกายวาบผ่าน

“เตาหลอม ขึ้น!” เห็นมือขวาของนางชี้ เตาหลอมยาก็ส่งเสียงดังวิ้งๆ ฝาเตาหลอมลอยขึ้นและร่วงลงด้านข้าง กลิ่นหอมจางๆ ลอยมาเข้าจมูก

สองกบหนึ่งคนล้อมวงอยู่รอบเตาหลอมยา จ้องมองสิ่งของภายในเตาอย่างคาดหวัง จินเฟยเหยาสูดดมลึกๆ มือถือตะเกียบยาวที่ผ่าเองคู่หนึ่งจิ้มลงไปสำรวจในเตาหลอมยา เนื้อที่มีกลิ่นหอมเตะจมูกถูกนางคีบออกมา เป่าลม แล้ววางชิ้นเนื้อลงในปาก หลังจากขบเคี้ยวก็หรี่ตาลงเอ่ยอย่างพึงพอใจ “ใช้เพลิงร้อยปีทำเนื้อตุ๋นขิงกิน รสชาติเยี่ยมจริงๆ อีกทั้งยังไล่ความชื้น เหมาะกับฤดูกาลนี้ที่สุด”

ได้ยินคำพูดของนาง พั่งจื่อและต้านิวรีบตักเนื้อในเตาหลอมยากินอย่างรวดเร็ว อากาศร้อนแบบนี้กินเนื้อตุ๋นขิงไล่ความชื้นเป็นวิธีที่จินเฟยเหยาคิดขึ้น เปลือกหอยสายรุ้งมีความจุน้อยเกินไป ต้มตุ๋นเนื้อรสชาติจะจืดจาง ทั้งยังไม่พอกิน ใช้เตาหลอมยาตุ๋นเนื้ออร่อยกว่า ตอนคิดจะหลอมยาค่อยล้างก็พอ เตาเดียวใช้ได้สองอย่างคุ้มค่ายิ่งนัก

“สุราดีคู่กับเนื้อเลิศรส เป็นความสุขในชีวิตคนเราจริงๆ ต้องขอบคุณสุราผลไม้ที่ต้านิวบ่มเมื่อฤดูใบไม้ผลิ ไม่เช่นนั้นกินแต่เนื้ออย่างเดียวคงไม่หนำใจ” จินเฟยเหยาใช้มือหยิบเปลือกหอยเล็กๆ ด้านในบรรจุสุราผลไม้สีแดงเต็มเปี่ยม ถึงรสชาติจะไม่ดีเท่าไร แต่ก็ดีกว่าไม่มีมากนัก

ฤดูใบไม้ร่วงเก็บสะสมน้ำทะเลที่ปรากฏขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ พอถึงฤดูร้อนใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็ตากแดดจนได้เกลือที่สามารถรับประทานได้ ทำให้นางหลุดพ้นจากวันเวลาที่อาหารไร้รสชาติ บางครั้งใส่ผลไม้เปรี้ยวลงในเนื้อนิดหน่อยยังสามารถทำเป็นต้มยำเนื้อได้

“โฮก!” สัตว์ประหลาดในทะเลร้องคำรามขึ้นใกล้ๆ อีก จินเฟยเหยาไม่พูดมากความ ใช้ตะเกียบจิ้มพั่งจื่อ ปากที่เต็มไปด้วยชิ้นเนื้อบุ้ยใบ้ไปข้างนอกให้มันรีบออกไปสังหารศัตรู

พั่งจื่อลุกขึ้นอย่างเดือดดาลแล้วพุ่งปราดออกไปด้วยโทสะเต็มท้อง ส่วนจินเฟยเหยาฉวยโอกาสที่พั่งจื่อไม่อยู่ รีบคีบเนื้อในเตาหลอมยากินกับต้านิว เหลือขิงส่วนใหญ่ไว้ให้พั่งจื่อ

ตอนนี้การสังหารศัตรูล้วนมอบให้พั่งจื่อทั้งหมด ใครใช้ให้มันเปลี่ยนร่างแล้วใหญ่เท่าสัตว์ปิศาจเล่า ผู้มีความสามารถย่อมมีเรื่องต้องทำมากมาย นี่คือโอกาสในการฝึกปรือมัน แน่นอนว่านี่เป็นคำพูดที่จินเฟยเหยากล่าวเพื่อแอบอู้ ถึงจะเอาแต่กินและเกียจคร้านทั้งวัน แต่นางก็หาเวลาว่างมาฝึกบำเพ็ญทุกวัน พลังการบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นมาตลอด

ฤดูหนาวเป็นสามเดือนที่พั่งจื่อชมชอบที่สุดเนื่องจากไม่มีสัตว์ปิศาจ ถึงจะหนาวเย็นอยู่บ้างแต่ขอเพียงเฝ้ารังรอกินอาหารไม่ต้องออกไปข้างนอกก็พอ

อุณหภูมิลดลงฮวบฮาบ หิมะตกหนัก ถ้ำที่ขุดบนยอดสุดของเสาศิลารักษาความอบอุ่นไม่ได้ ดังนั้นพวกจินเฟยเหยาจึงย้ายมาอยู่ด้านล่างสุดของเสาศิลา

ฤดูใบไม้ร่วงด้านล่างเสาศิลาที่ถูกคลื่นซัดสาดตลอดเวลาถูกจินเฟยเหยาขุดเป็นถ้ำ นอกจากใช้ไม้ไผ่เป็นรูระบายอากาศ ทั้งถ้ำศิลาก็ถูกหิมะกลบฝัง

ถึงแม้จะถูกหิมะกลบฝังทว่าสามารถรักษาความอบอุ่นได้ เปรียบกับสถานที่อื่นๆ แล้วยังอบอุ่นกว่ามาก อีกทั้งจินเฟยเหยาปูหนังสัตว์ที่มีขนยาวจำนวนมากภายในถ้ำ บนร่างก็พันห่อไว้หลายชั้นทั้งยังใส่หินผลึกที่มีปริมาณความร้อนแนบร่างไว้จำนวนไม่น้อย

ฤดูหนาวหลายปีที่ผ่านมา พั่งจื่อและต้านิวล้วนหดตัวอยู่ในถุงสัตว์ภูติสามเดือนจึงยอมออกมา หลังจากค้นพบความลับของจินเฟยเหยา พวกมันก็ไม่ยอมเข้าไปในถุงสัตว์ภูติช่วงฤดูหนาวอีก

พอถึงฤดูหนาว จินเฟยเหยาก็ก่อกองไฟวางหอยสายรุ้ง จากนั้นก็นั่งห่มหนังสัตว์อยู่ข้างกองไฟกินเนื้อชาบูทั้งวัน นางดื่มสุราผลไม้พลางกินเนื้อชาบูร้อนๆ ด้านข้างมีนกปีกสวรรค์กำลังร้องจิ๊บๆ วันเวลาเล็กๆ คงไม่ต้องบอกว่ามีอิสรเสรีเพียงใด

น้ำแกงเหือดจนเหลือครึ่งหนึ่งก็ตักหิมะหนึ่งกำมือในหิมะที่กองตรงปากถ้ำ น้ำแกงในหม้อน้อยลงก็เติมหิมะ นางสามารถกินได้สามเดือนโดยไม่เปลี่ยน

ภายหลังพั่งจื่อและต้านิวก็ไม่ยอมเข้าไปในชีวิตอยู่ในถุงสัตว์ภูติอันมืดมิดอีก หม้อชาบูเปลือกหอยสายรุ้งเปลี่ยนจากหนึ่งใบเป็นสามใบ ไม้วิญญาณเผาจนหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ที่ใช้ในเวลานี้คือต้นไม้ที่ตัดลงมาในฤดูใบไม้ผลิและเก็บรักษาไว้จนถึงตอนนี้

เนื้อสัตว์ที่แช่แข็งจนเหมือนก้อนหินกองอยู่ด้านข้างราวกับภูเขาลูกย่อมๆ เมื่ออยากกินก็ใช้มีดหั่นลงมาทำชาบูกิน กินไปกินมา นางพลันเงยหน้าขึ้นเอ่ยอย่างสงสัย “เพราะเหตุใด จึงดูเหมือนพวกเรากินอาหารกันตลอดทั้งปี ทั้งยังกินมาห้าหกปีแล้ว ข้าก็บรรลุขั้นสร้างฐานช่วงปลาย หรือว่าพวกเรากลายเป็นสุกร[1]แล้ว?”

พั่งจื่อและต้านิวจ้องมองนางด้วยนัยยะไม่ชัดเจนจากนั้นสายตาก็เลื่อนไปบนชาบู คร้านจะสนใจนางที่ปัญญาอ่อนขึ้นมากะทันหัน

จินเฟยเหยาส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างจริงจัง “ท่าทางต้องฉวยโอกาสที่ฤดูหนาวไม่มีสัตว์ปิศาจมารบกวน ข้าสมควรจะหลอมยาปราณฟ้าดินห้าธาตุก่อน ถึงเวลาเตรียมทะลวงขั้นหลอมรวมแล้ว”

ยาปราณฟ้าดินห้าธาตุที่เต็มไปด้วยรสเนื้อ พั่งจื่อครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกว่าเส้นทางการเจี๋ยตันนั้นน่ากลัวเกินไป

ขณะนี้ บนยอดเขาซวีชิงแห่งสำนักตงอวี้หวงมีฟ้าร้องฟ้าแลบ บนท้องนภามีเมฆดำหนาทึบปกคลุม ชั้นเมฆสีดำหนาทึบขนาดยักษ์กองสุมอยู่เหนือยอดเขาซวีชิง

ภายในตำหนักซวีชิง คงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่สองฟากของกระจกสี่วิตก กระจกสี่วิตกกำลังสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง ท่าทางเหมือนจะปริแตกได้ทุกเมื่อ คงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วกำลังใช้พลังวิญญาณทำให้กระจกสี่วิตกสงบนิ่งและรักษาพลังวิญญาณให้ไหลเวียนอย่างราบรื่น

ศิษย์ของตำหนักซวีชิงทั้งหมดล้วนย้ายมาอยู่บนเขาลูกอื่นๆ รวมกลุ่มกันดูปรากฏการณ์ประหลาดนี้

เฟิงอวิ๋นจู๋กอดอกและจุปากเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องไป๋กำลังจะเจี๋ยตัน ไม่รู้ว่าจะสำเร็จในคราเดียวหรือไม่ ถึงตอนนั้นตำหนักซวีชิงของพวกเราจะมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”

“อวิ๋นจู๋ เจ้าพยายามหน่อยได้หรือไม่ แม้แต่ศิษย์น้องเล็กก็จะเจี๋ยตันแล้ว เจ้ากลับสร้างวงเวททั้งวัน หลังจากเจ้าเจี๋ยตันค่อยไปสร้างวงเวทไม่ดีกว่าหรือ ทุกครั้งที่เข้าไปฝึกฝนจิตใจในกระจกสี่วิตกเจ้าต้องวิ่งออกมาเป็นคนแรก จากนั้นก็โกยแน่บ” หลังจากศิษย์พี่ใหญ่โม่อวี่จู๋ที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดของเขาก็ด่าทออย่างไม่เกรงอกเกรงใจ

โม่อวี่จู๋บรรลุขั้นหลอมรวมนานแล้ว ตอนนี้กำลังช่วยบรรดาอาจารย์จัดการธุระในตำหนัก ยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้น เห็นเฟิงอวิ๋นจู๋เอ้อระเหยลอยชายทั้งวันก็บังเกิดโทสะคิดจะฉุดลากเขาลงน้ำ

เฟิงอวิ๋นจู๋เอ่ยด้วยสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม “ศิษย์พี่ใหญ่ มิใช่ข้าไม่อยากเจี๋ยตัน พอข้าเข้าไปในกระจกสี่วิตก ก็เห็นงานมงคลสมรสของข้ากับอวี้จูแห่งตำหนักตงไถ เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของนางข้าก็รู้สึกอยากตาย ทนอยู่ต่อไปไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว”

“เจ้าเอาชนะหน่อย บางทีแต่งนางมาจริงๆ อาจจะทะลวงจิตมารขั้นหลอมรวมได้สำเร็จ มิสู้ ใช้พิษข่มพิษเป็นอย่างไร?” พอโม่อวี่จู๋นึกถึงศิษย์น้องอวี้จูแห่งตำหนักตงไถ ก็รู้สึกไม่อยากรับประทานเนื้อไปสิบปี เขาไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดผู้บำเพ็ญเซียนสตรีจึงฝึกบำเพ็ญจนกลายเป็นแบบนี้ หรือว่าเป็นศาสตร์ลับ?

“ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าโดนพิษนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเจี๋ยตัน เกรงว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมคงถูกทำลายจนหมดสิ้น ท่านปล่อยข้าไปเถอะ ถ้าคิดจะให้ข้าเจี๋ยตันเร็วหน่อยก็รีบให้ยายอวี้จูแต่งงานกับคนอื่น ข้าจะเจี๋ยตันให้ท่านเห็นทันที” เฟิงอวิ๋นจู๋เอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี

เฟิงอวิ๋นจู๋คิดอย่างเคียดแค้น บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านี้พอมาถึงสำนักตงอวี้หวงก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นทุกที ความคิดแย่ๆ ผุดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ความซื่อตรงไร้เดียงสาในอดีตไปที่ใดหมดแล้ว?

……………………………..

[1] สุกร คนจีนถือว่าสุกรเป็นสัตว์ที่ทั้งโง่เขลาและเกียจคร้าน