บทที่ 193 เส้นทางแห่งการเข่นฆ่า

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

จินตนาการถึงกาละฟ้า ชัยภูมิดิน มนุษย์ประสาน หลอมรวมปราณแห่งฟ้าดินและจิตใจเป็นหนึ่งเดียว พลังวิญญาณทั่วร่างและการรับรู้คือห้วงการรับรู้

ไป๋เจี่ยนจู๋ภายในกระจกสี่วิตกนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางลำน้ำใสขุนเขาเขียวขจี ตลอดร่างถูกปราณวิญญาณสีเขียวห่อหุ้ม จุดแสงสีเขียวเล็กๆ บัดเดี๋ยวปรากฏบัดเดี๋ยวจางหายอยู่รอบกายเขา สภาพเช่นนี้ดำเนินมาสิบวันแล้ว ภายนอกกระจกเกิดปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ตอนนี้เขาจะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย

ทว่าในช่วงเวลาสำคัญที่ตึงเครียดอย่างยิ่ง กลับมีคนผู้หนึ่งมาก่อกวน

ผลไม้ป่าลูกหนึ่งลอยมากระแทกบนหน้าผากของไป๋เจี่ยนจู๋พอดี เขาไม่หวั่นไหวเลยสักนิด ยังคงอยู่ในสมาธิดังเดิม เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยา ผลไม้ป่าเล็กๆ ก็ลอยมากระทบร่างเขาลูกแล้วลูกเล่าอย่างต่อเนื่อง

“น่าเบื่อยิ่ง เจ้ามาเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย” จินเฟยเหยาใช้เอี๊ยมและเสื้อผ้าใส่ผลไม้ป่ากองหนึ่งเดินมาหา ทำปากยื่นและนั่งยองๆ ลงเบื้องหน้าเขา

ร่างกายและจิตใจของไป๋เจี่ยนจู๋เข้าสู่ภาวะเจี๋ยตัน ไม่สนใจการก่อกวนของจินเฟยเหยา

เห็นเขาไม่มีปฏิกิริยา จินเฟยเหยาก็หมุนตัวมาด้านหลังเขาและแนบร่างลงกับแผ่นหลังของเขา กัดหูของเขาและเอ่ยกระซิบ “เพราะเหตุใดเจ้าจึงเย็นชากับข้าขนาดนี้ หรือว่าต้องเหมือนครั้งที่แล้ว ต้องให้ข้าทำเช่นนี้ เจ้าจึงจะสนใจข้า?”

ว่าแล้ว นางก็ใช้มือยื่นเข้าไปในคอเสื้อของไป๋เจี่ยนจู๋ นิ้วมืออ่อนนุ่มลูบไล้ทรวงอกของเขาเบาๆ เริ่มเคลื่อนเข้าสู่จุดตันเถียน

นอกตำหนักซวีชิง ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าพลันเปลี่ยนแปลง อัสนีสวรรค์ปรากฏขึ้นกลางเมฆดำทีละสาย เสียงสายฟ้าผ่าลงเหนือตำหนักซวีชิงไม่หยุด

“แย่แล้ว! ปรากฏการณ์บนท้องฟ้ามีการเปลี่ยนแปลง หรือว่าจะเจี๋ยตันล้มเหลวอีกครั้ง?” ศิษย์ของตำหนักซวีชิงมองปรากฏการณ์บนท้องฟ้าด้วยสีหน้าตึงเครียด มีคนหนึ่งในจำนวนนั้นอดไม่ไหวร้องอุทานขึ้น

เฟิงอวิ๋นจู๋กอดอกถอนหายใจเบาๆ “นี่ครั้งที่สี่แล้วนะ หลายครั้งที่แล้วแม้แต่ปรากฏการณ์บนท้องฟ้ายังไม่ขึ้นรูป ครั้งนี้ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าขึ้นรูปแล้ว ขาดแค่ก้าวเดียวก็จะสามารถเจี๋ยตันได้ ข้ายังนึกว่าครั้งนี้เขาคงทำสำเร็จ ที่แท้มีสิ่งรบกวนมากเพียงใดกันแน่ โง่เขลาจริงๆ อย่าสนใจเรื่องอื่นๆ ขอเพียงรวมกายและใจเป็นหนึ่งเดียวกันก็พอ”

“เจ้าก็พูดง่าย แม้แต่มองศิษย์น้องอวี้จูสักแวบเจ้ายังทนไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงให้นางนั่งข้างกายเจ้าตอนเจี๋ยตันเลย” โม่อวี่จู๋ที่นั่งอยู่ข้างกายเขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมพลาดโอกาส

“ศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมอาจารย์ต้องให้ศิษย์น้องไป๋เจี๋ยตันในกระจกสี่วิตกด้วย ถ้าอยู่ข้างนอก เขาคงเจี๋ยตันสำเร็จไปนานแล้ว” เฟิงอวิ๋นจู๋มองปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่เริ่มปั่นป่วนอย่างกังวล ถ้าเกิดปัญหาขึ้นในเวลานี้ คิดจะเจี๋ยตันให้เสร็จสิ้นโดยไม่ได้รับความเสียหายเหมือนครั้งก่อนๆ คงเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด

“จิตมาร เพื่อขจัดจิตมารในใจเขา ถ้าถูกเรื่องอื่นๆ บดบังดวงตา ต้องมีสักวันที่จะบดบังความคิด จนไม่อาจหลุดพ้น ข้าไม่รู้ว่าจิตมารของศิษย์น้องไป๋เกิดขึ้นจากอารมณ์ใด แต่ข้ารู้ว่า ของเจ้าต้องเกิดจากความหวาดกลัว ข้าว่าเจ้าไปพบศิษย์น้องอวี้จูบ่อยๆ ดีกว่า ยิ่งกลัวสิ่งใดก็ยิ่งต้องไปเอาชนะ” โม่อวี่จู๋พูดไปพูดมา หัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องของเฟิงอวิ๋นจู๋อีก

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านน่าเบื่อเกินไปแล้ว” เฟิงอวิ๋นจู๋กลอกตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ เพ่งความสนใจไปที่ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าของไป๋เจี่ยนจู๋อีกครั้ง

รวมจิตใจให้เป็นหนึ่ง ต้องรวมจิตใจให้เป็นหนึ่งให้ได้ เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นภาพมายา เป็นธุลีล่องลอย

ไป๋เจี่ยนจู๋ขมวดคิ้ว พยายามสงบระงับจิตใจตนเอง ไม่ให้จิตใจหวั่นไหว ถ้าครั้งนี้เจี๋ยตันล้มเหลว พลังที่สร้างเป็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้าจะย้อนกลับมากลืนกินตนเอง ถึงแม้จะไม่อาจโจมตีจนตนเองดับสูญเป็นเถ้าธุลีโดยตรง ทว่าพลังการบำเพ็ญเพียรลดฮวบฮาบ การรับรู้เสียหายอย่างหนักเป็นสิ่งที่แน่นอน ยิ่งเป็นเวลานี้ยิ่งไม่อาจถูกภาพมายาทำให้สับสน

เขารู้สึกไม่เข้าใจกระจกสี่วิตกอย่างยิ่ง

ตอนแรกในกระจกสี่วิตกเพียงแค่ปรากฏเรื่องที่จินเฟยเหยาทำให้คนมีโทสะ หลังตนเองไม่หวั่นไหวโดยสิ้นเชิง ภาพมายาก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เขาเป็นเด็กกำพร้า คนในตำหนักซวีชิงคือบิดามารดาและพี่น้องของเขา ทว่าในภาพมายา จินเฟยเหยาสังหารพวกเขาทีละคนต่อหน้าเขา มองดูอาจารย์และบรรดาศิษย์พี่เสียชีวิตใต้เงื้อมมือจินเฟยเหยา เขาก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้

การทรมานแบบนี้ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างยิ่ง ใช้เวลาหลายปี ประสบกับการเกิดตายพรากจากนับพันครั้ง สุดท้ายเขาก็ทำได้ ไม่สนใจฉากที่ภาพมายาของจินเฟยเหยาสังหารญาติสนิทปรากฏขึ้นอีกครั้งได้อย่างไร เขาก็สามารถสงบจิตใจและทำให้ตนเองเข้าใจได้ว่าทั้งหมดนี้คือภาพมายา ไม่ให้ตนเองหวั่นไหวเพราะเหตุนี้ ในพริบตาที่เขาทำได้อย่างแท้จริงฉากนองเลือดก็หายไปหมด และจินเฟยเหยาก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นในกระจกสี่วิตกอีก

ไป๋เจี่ยนจู๋นึกว่าตนเองบรรลุถึงความประสงค์ของซือจู่แล้ว เตรียมเจี๋ยตันภายในกระจกสี่วิตก จากนั้นสิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงคือ ตอนเจี๋ยตันครั้งแรก เพิ่งเข้าสมาธิภาพมายาของจินเฟยเหยาก็ปรากฏขึ้นอีก เพียงแต่ครั้งนี้นางไม่ได้สังหารคนเลือดสาดอีก ทว่าถอดเสื้อผ้านั่งอยู่ในอ้อมอกเขาทำให้เขาสะท้านสะเทือนจนออกจากสมาธิการเจี๋ยตัน

ครั้งที่สอง ตอนเจี๋ยตันยังดีๆ อยู่ เมื่อเขาได้สติขึ้นมาก็เปลือยท่อนบนกำลังโอบกอดภาพมายาของจินเฟยเหยาทั้งขบทั้งกัด ทว่าเขาจำไม่ได้เลยสักนิดว่าระหว่างนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น อีกนิดเดียวก็จะทำเรื่องที่ไม่สมควรทำลงไปแล้ว

โชคดีที่ตอนนั้นไม่มีคนเห็น อาจารย์ก็คุ้มครองอยู่นอกกระจก ถึงแม้ไม่มีใครเห็น เรื่องนี้ก็ทำให้เขาหดหู่อยู่หนึ่งปีกว่าเต็มๆ ในช่วงเวลานั้นเขาไม่ได้เหยียบย่างเข้าไปในกระจกสี่วิตกสักก้าว

หนึ่งปีนั้นเขาขังตนเองอยู่ในถ้ำเซียนทำเอาทุกคนนึกว่าเขาเจี๋ยตันล้มเหลวเพราะถูกโจมตีหนักเกินไป

ภายใต้การสนับสนุนและให้กำลังใจของทุกคน ไป๋เจี่ยนจู๋จึงเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้และเข้าไปในกระจกสี่วิตกอีกครั้ง ไม่รู้กลัวภาพมายาออกมามากเกินไปแล้วพลังทำลายล้างจะลดฮวบหรือไม่ ภาพมายาของจินเฟยเหยาจึงไม่ได้ยั่วยวนเขาบ่อยนัก ทว่าตอนเจี๋ยตันครั้งที่สาม นางก็แย้มยิ้มชั่วร้ายแล้วใช้วิธีเดิมอีกครั้ง เริ่มลวนลามเขาภายใต้สภาพที่ไป๋เจี่ยนจู๋มีสติสัมปชัญญะ

ไป๋เจี่ยนจู๋ก็ไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดจึงมีภาพมายาที่ต่ำช้าแบบนี้ ตนเองไม่เคยคิดถึงแง่นี้เลยสักนิด ทว่าภาพมายากลับพัวพันเขาตลอด ไป๋เจี่ยนจู๋ที่ไม่เคยบำเพ็ญคู่กับใครมาก่อนก็เจี๋ยตันล้มเหลวอีกครั้ง ครั้งที่สามเขายังไม่ได้เปิดประตูแห่งการเจี๋ยตันเลยก็จบสิ้นแล้ว

นี่เป็นการเจี๋ยตันครั้งที่สี่ ถ้าล้มเหลวอีกครั้งเขาก็ไม่มีหน้าจะไปพบกับทุกคนแล้ว

นิ้วของจินเฟยเหยาลื่นไหลผ่านร่างของเขาราวกับปลาที่แหวกว่าย แนบร่างทั้งหมดลงมา ปลายลิ้นอุ่นร้อนเลียแผ่นหลังของเขาทำให้เกิดอาการคันยุบยิบ เสียงครวญครางและคำพูดที่ทำให้คนหน้าแดงของนางดังขึ้นข้างหูไม่หยุด

ในยามนี้ ความทรงจำของไป๋เจี่ยนจู๋เริ่มถดถอยมาถึงราตรีนั้น ภายใต้แสงจันทรา เขากำลังนอนอยู่บนพื้นคิดจะใช้ศาสตร์ลับทำการรักษาบาดแผล ทันใดนั้น เขาก็หยุดการกระตุ้นศาสตร์ลับทันที ทว่านำยาชุบชีวิตเม็ดหนึ่งออกมาจากในอก เขากินยาชุบชีวิตลงไปแล้วนั่งหลับตารักษาบาดแผลอยู่ที่เดิม

ไม่นานนัก ห่างไกลออกไปมีเสียงสิ่งของตกกระแทกต้นไม้ดังมาตลอดทางที่ตกลงมา สุดท้ายกระแทกลงบนก้อนหินที่อยู่ไม่ไกลนักจึงหยุดลง

ไป๋เจี่ยนจู๋ลืมตาและลุกขึ้นยืน ใช้ยาชุบชีวิตเสริมพลังวิญญาณได้ไม่น้อย หยิบไผ่วั่นคงออกมาแล้วเดินไปตรงก้อนหินนั้น ก่อนที่เขาจะเดินไปถึงก้อนหิน พอดีเห็นคนยื่นมือออกมาจากใต้กองเศษหิน เขายกไผ่วั่นคงในมือขึ้นแทงลงไปโดยไม่ลังเลสักนิด

โลหิตสดพุ่งกระฉูดออกมากระเซ็นลงบนร่างเขา มือข้างนั้นพยายามดิ้นรนอย่างสุดกำลังแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอีก

พริบตา ทิวทัศน์รอบด้านพร่าเลือน ไป๋เจี่ยนจู๋ยืนอยู่ในความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด

ในขณะที่เขากำลังสงสัย จู๋ซวีอู๋ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าและมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่รอให้เขาคุกเข่าคารวะก็ได้ยินจู๋ซวีอู๋ใช้น้ำเสียงที่มีเฉพาะเด็กหนุ่มเอ่ยว่า “ใช้หนทางแห่งการเข่นฆ่าแสวงหาความชอบธรรม นี่คือหนทางที่เจ้าค้นพบ ถูกหรือผิด จงใช้สติปัญญาของเจ้าตัดสิน”

หลังจากจู๋ซวีอู๋เอ่ยจบก็หายไปท่ามกลางความมืดมิด “ซือจู่!” ไป๋เจี่ยนจู๋ยื่นมือออกไปคิดจะตะโกนเรียกให้เขาหยุด พลันพบว่าบนมือของตนเองเต็มไปด้วยโลหิตสด โลหิตสดไหลลงมาตามสองมือไม่หยุด แยกแยะไม่ออกว่าเป็นโลหิตของตนเองหรือโลหิตของผู้อื่น

ไป๋เจี่ยนจู๋ภายในกระจกสี่วิตกพลันตื่นจากภาพมายา ในดวงตาทั้งคู่ของเขาใสกระจ่างสุดเปรียบปาน ร่างเปล่งแสงสีเขียวเสียดแทงนัยน์ตาออกมา จินเฟยเหยาที่แนบติดอยู่บนร่างเขากรีดร้องลั่นแล้วหายไปในแสงสีเขียว

นอกตำหนักซวีชิง เมฆดำเต็มท้องนภาผสานกับอัสนีสวรรค์ พลันเกิดลมพายุพัดพา แสงสีแดงโลหิตสายหนึ่งทะลุเมฆดำลงมาจากท้องนภาสาดส่องลงบนตำหนักซวีชิง อัสนีสวรรค์ล่าถอย เมฆดำเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดภายใต้แสงสีแดงนี้ราวกับเมฆาโลหิตก็มิปาน ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าดำเนินต่อไปครึ่งชั่วยาม เมฆโลหิตและแสงสีแดงล่าถอย กระเรียนเซียนสีรุ้งตระหง่านกลางอากาศกู่ร้องเสียงสวรรค์ยาวนาน ร้อยดอกไม้ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากปราณวิญญาณล่องลอยไปทั่ว บนยอดเขาซวีชิงทั้งหมดเต็มไปด้วยปราณเซียน

“เส้นทางแห่งการเข่นฆ่า…คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องไป๋จะมีนิสัยเช่นนี้ ชิงชังความชั่วร้ายดุจเคียดแค้นศัตรู” โม่อวี่จู๋คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลับกลาย ศิษย์น้องไป๋ควบคุมสติเจี๋ยตันได้สำเร็จอย่างกะทันหัน อีกทั้งนอกจากปรากฏการณ์บนท้องฟ้าธรรมดา ยังมีปรากฏการณ์แห่งการเข่นฆ่าด้วย ผู้อาวุโสของโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนแต่ละท่าน หัตถ์สังหารหมื่นมาร ชิงชังความชั่วร้ายดุจเคียดแค้นศัตรู ใช้ความรุนแรงสยบความรุนแรง ส่วนมากขณะเจี๋ยตันจะมีปรากฏการณ์เมฆสีแดงบนท้องฟ้า ตอนทะลวงขั้นกำเนิดใหม่ ปรากฏการณ์บนท้องฟ้ายิ่งน่าอัศจรรย์ ภายในพื้นที่ร้อยหลี่ราวกับเคยมีห่าฝนโลหิตตกลงมา

เมื่อใช้ความรุนแรงสยบความรุนแรง บนร่างของตนเองจะไม่เปียกชุ่มไปด้วยโลหิตสดได้อย่างไร ความรุนแรงอย่างไรก็เป็นความรุนแรง ฝนโลหิตตอนขั้นกำเนิดใหม่ เป็นความแค้นของวิญญาณที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมจำนวนนับไม่ถ้วน

ไป๋เจี่ยนจู๋เจี๋ยตันสำเร็จ เฟิงอวิ๋นจู๋ก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะไป๋เจี่ยนจู๋ยังมีปรากฏการณ์ประหลาดของเส้นทางแห่งการเข่นฆ่าอีก ทำให้เขาเอ่ยกับโม่อวี่จู๋อย่างดีอกดีใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ตอนท่านเจี๋ยตันมีเพียงกระเรียนเซียนสีเมฆกุหลาบและดอกไม้วิญญาณ ครั้งนี้พ่ายแพ้ศิษย์น้องไป๋แล้ว”

โม่อวี่จู๋มองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างชืดชา “เจ้าอย่าลืมสิว่าผู้ใดจ้องมองเซียนสตรีที่ปรากฏขึ้นในภาพมายาแล้วอ้าปากจนกระทั่งลืมหุบ สุดท้ายน้ำลายไหลออกมาจนเสียกิริยา”

“อ๋า! ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ใครบอกท่าน!” เฟิงอวิ๋นจู๋นิ่งอึ้ง รู้สึกเก้อเขินอย่างยิ่งทันที

ขณะโม่อวี่จู๋เจี๋ยตัน นอกจากปรากฏการณ์บนท้องฟ้าปกติยังมีเซียนสตรีที่หลุดพันโลกีย์เพิ่มมากลุ่มหนึ่ง เซียนสตรีเหล่านั้นเหาะออกมาจากปรากฏการณ์ประหลาด บินมาจนถึงพวกเขาและทะลุพวกเขาไปราวกับมีและไม่มี ทั้งยังโปรยดอกไม้วิญญาณลงมา เหาะเหินอยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ หลังจากเกี้ยวพาราสีจนพอแล้วจึงหายวับไป เฟิงอวิ๋นจู๋ไม่เคยเห็นสตรีงามล้ำเหนือธรรมดาเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้จะเสียกิริยาทว่าตอนนั้นส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษ เกือบทั้งหมดก็เป็นเหมือนเขา

เห็นโม่อวี่จู๋ในหมู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องแค่ถือว่าหน้าตาปานกลาง ทุกคนล้วนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดตอนเขาเจี๋ยตันจึงมีปรากฏการณ์หลงตัวเองอย่างเซียนสตรีเกิดขึ้นได้

………………………………