รุ่งเช้าวันต่อมา มีคนในหมู่บ้านมาหาเซี่ยยวี่หลัว บอกว่าหัวหน้าหมู่บ้านต้องการพบนาง ให้นางไปที่ศาลบรรพชนสกุลเซียว
เซี่ยยวี่หลัวขานตอบทีหนึ่ง ก่อนก้มหน้ากินข้าวต่อ ท่าทางนิ่งสงบ ราวกับว่ารู้อยู่ก่อนแล้วอย่างไรอย่างนั้น
เซียวจื่อเซวียนที่กำลังกินอาหารเช้าผงะไป “พี่ฟางหย่วน เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ? ท่านให้พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าไปศาลบรรพชนทำไม? ”
คนที่มาบอกกล่าวคือชายหนุ่มในหมู่บ้านนามว่าเซียวฟางหย่วน อายุไล่เลี่ยกับเซียวยวี่ แต่งภรรยาก่อนเซียวยวี่หนึ่งปีกว่า บัดนี้ภรรยาของเขาคลอดบุตรสาวนานแล้ว สามารถเดินโซเซไปทั่วได้แล้ว
เซียวฟางหย่วนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวเช่นนี้! ”
ใครจะรู้ว่ามีเรื่องอะไร!
ตอนเขามา หัวหน้าหมู่บ้านหน้าดำคร่ำเครียดราวกับก้นหม้อก็มิปาน เขาตกใจแทบตาย นอกจากนั้น ยังมีคนในหมู่บ้านอยู่ด้วยไม่น้อย ดูท่าน่าจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร!
เซียวยวี่หันมองเซี่ยยวี่หลัว เซี่ยยวี่หลัวก้มหน้ากินข้าว ราวกับว่าไม่สนใจแม้แต่น้อย เซียวยวี่เอ่ยถามเซียวฟางหย่วน “ฟางหย่วน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ”
“เซียวยวี่ เจ้าอย่าถามข้าเลย ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน หัวหน้าหมู่บ้านเพียงให้ข้ามาเรียก หัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้บอกข้า แต่ข้าพูดได้เพียงคำเดียว ข้าดูแล้วเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องดี” เซียวฟางหย่วนมองเซียวยวี่ด้วยความเห็นใจแวบหนึ่ง จากนั้นจึงออกไป
เซียวยวี่หันมองเซี่ยยวี่หลัว เซี่ยยวี่หลัวกินโจ๊กคำสุดท้ายในชามจนหมดด้วยท่าทางนิ่งสงบ
นางวางตะเกียบไว้บนขอบชามอย่างเป็นระเบียบ ยิ้มพร้อมกล่าวกับเซียวจื่อเมิ่ง “จื่อเมิ่ง ไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องกับข้า”
จื่อเมิ่งกระโดดลงจากเก้าอี้ ไปเปลี่ยนเสื้อกับพี่สะใภ้ใหญ่อย่างมีความสุข
เซียวยวี่ที่อยู่ด้านหลังเพ่งมองไปยังทิศทางที่เซี่ยยวี่หลัวเดินจากไป ขมวดคิ้วมุ่น
เซี่ยยวี่หลัวเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกชุดกระโปรงสีแดงลูกท้อปักลายดอกโบตั๋น
นั่นเป็นชุดเดียวที่มีสีสันสดใสที่สุดในตู้เสื้อผ้าของนาง เจ้าของร่างเดิมน่าจะเป็นคนไม่ชอบสีสันฉูดฉาด เรื่องนี้แตกต่างจากเซี่ยยวี่หลัว
เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนชอบสีสันสดใส ภพก่อนนางชอบสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสเป็นพิเศษ เหมือนกับทัศนคติการใช้ชีวิตของนาง เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเสมอ
เซี่ยยวี่หลัวเลือกมันโดยไม่คิดด้วยซ้ำ
หากได้เกิดใหม่ ไยนางถึงไม่เป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง!
เซี่ยยวี่หลัวเลือกชุดกระโปรงที่มีสีสันสดใสที่สุดในตู้ จากนั้นเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกล่องในนั้นออกมา แอบนำหนังสือหย่าในนั้นมาไว้ในอกเสื้อโดยไม่ให้เซียวจื่อเมิ่งเห็น จากนั้นจึงใส่กุญแจตู้เสื้อผ้าไว้อีกครั้ง
นางปลดลูกกุญแจออก มอบให้เซียวจื่อเมิ่ง
“จื่อเมิ่ง เจ้าเก็บของสิ่งนี้ไว้ พรุ่งนี้มอบให้พี่ใหญ่ของเจ้า! ” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว
เซียวจื่อเมิ่งเอียงศีรษะเล็ก เอ่ยถามด้วยท่าทีสงสัย “พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านถึงไม่มอบให้พี่ใหญ่เองเจ้าคะ? ”
เซี่ยยวี่หลัว “อืม พรุ่งนี้ไม่แน่ว่าข้ามีธุระต้องออกไป เจ้ามอบกุญแจนี้ให้พี่ใหญ่ของเจ้าแล้วกัน” ไม่แน่ว่าวันนี้นางก็ต้องออกจากหมู่บ้านสกุลเซียวแล้ว
เซียวจื่อเมิ่งไม่คิดสงสัย เพียงขานตอบ “ได้เจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมอบให้พี่ใหญ่”
เซี่ยยวี่หลัวลูบศีรษะเซียวจื่อเมิ่ง โอบนางไว้ในอ้อมอก นางกอดแน่นมาก แทบจะใช้พละกำลังทั้งหมดที่นางมี “จื่อเมิ่ง เจ้าต้องกินข้าวดีๆ นอนให้ดี เชื่อฟังพี่ใหญ่และพี่รอง ถึงแม้จะเป็นเด็กผู้หญิง ก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ และหัดเขียนพู่กัน โตมาจะได้ไม่โดนบุรุษดูแคลน เข้าใจหรือไม่? ”
เซียวจื่อเมิ่งก็โอบกอดเซี่ยยวี่หลัวไว้แน่นเช่นกัน แม้นางจะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ พี่สะใภ้ใหญ่ถึงกล่าววาจาเช่นนี้กับนาง ทว่า พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวอะไร นางก็จะตอบตกลงทั้งหมด “เจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านวางใจได้ ข้าจะกินข้าวดีๆ นอนหลับให้ดี และเชื่อฟังคำสั่งเจ้าค่ะ! รอให้ข้าโตแล้ว ข้ายังต้องเลี้ยงท่านอีกเจ้าค่ะ! ”
เซี่ยยวี่หลัวฝืนสะกดกลั้นน้ำตา ส่งเสียงหัวเราะดังพรืด “จื่อเมิ่งเป็นเด็กดีที่สุด เอาล่ะ เจ้าหัดพู่กันกับพี่รองอยู่ที่บ้านก่อน พี่สะใภ้ใหญ่ออกไปครู่หนึ่ง! ”
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านรีบกลับมานะเจ้าคะ! มื้อเที่ยงข้ายังอยากกินซาลาเปาไส้หมูอีก”
“ได้! ” เซี่ยยวี่หลัวลุกขึ้นยืน ลูบศีรษะเซียวจื่อเมิ่ง กล่าวอย่างไร้ซึ่งกำลัง
ตอนเซี่ยยวี่หลัวออกไป เซียวยวี่รออยู่ที่ประตู เมื่อเห็นเซี่ยยวี่หลัวแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีแดงลูกท้อ ดวงตาของเซียวยวี่ก็กระตุกทีหนึ่ง
เขายังไม่เคยเห็นเซี่ยยวี่หลัวสวมใส่ชุดที่มีสีสันสดใสเช่นนี้ มีเพียงตอนที่พวกเขาแต่งงานกัน ที่นางเคยใส่ชุดกระโปรงสีแดงเข้ม แต่เขาไม่เคยมองนางอย่างตั้งใจ เขาไม่เคยรู้มาก่อน ว่าพอเซี่ยยวี่หลัวสวมใส่ชุดกระโปรงสีแดงลูกท้อ จะดู…
งดงามจนสะดุดตาถึงเพียงนี้!
สดใสงดงามจนไม่อาจละสายตาได้
เซียวยวี่รีบก้มหน้า ขจัดประกายตกตะลึงในความงามที่ฉายในเบื้องลึกแววตา เมื่อเงยหน้าอีกครั้ง ก็กลับคืนสู่สภาพเย็นชาเหมือนเคย
“หัวหน้าหมู่บ้านหาเจ้าด้วยเหตุใด? ”
“ไม่รู้! ” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวตอบอย่างเรียบสงบ
เซียวยวี่ขมวดคิ้ว “ข้าจะไปกับเจ้า! ”
ไปกับนางงั้นหรือ?
เซี่ยยวี่หลัวคิดไม่ถึงว่าเซียวยวี่จะไปพร้อมนาง กว่าจะตอบสนอง เซียวยวี่ก็ออกจากประตูใหญ่แล้ว
เซี่ยยวี่หลัวขมวดคิ้ว ตามไปอย่างไม่ช้าหรือเร็วเกินไป
ทั้งสองคนเดินด้านหน้าหนึ่งด้านหลังหนึ่ง ตรงกลางห่างกันประมาณสองถึงสามเมตร ต่างไม่กล่าวอะไร ต่อให้กล่าว ก็ไม่สะดวก คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลัง ตรงกลางห่างถึงเพียงนั้น ไม่เคยเห็นผู้ใดพูดคุยกันเช่นนี้!
เซียวยวี่ไม่กล่าว เซี่ยยวี่หลัวย่อมไม่กล่าวอะไร
นางเดินตามฝีเท้าของเซียวยวี่ไปทางศาลบรรพชนช้าๆ
ในหัวเซี่ยยวี่หลัวคิดแต่เรื่องจะรักษาระยะห่างกับเซียวยวี่อย่างไร จึงเพ่งสมาธิไปที่ฝีเท้าของเซียวยวี่ที่อยู่ข้างหน้า ไม่ทันเห็นเลยว่า เซียวยวี่ที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดฝีเท้ากะทันหัน
เซี่ยยวี่หลัวไม่รู้ตัว เดินตามต่อไป
เดินไปไม่กี่ก้าว เซี่ยยวี่หลัวก็ชนเข้า
แผ่นหลังกว้างแต่กลับซูบผอมนั่น ราวกับเป็นกำแพงก็มิปาน ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เหตุใดถึงไม่เดินต่อ?
เซี่ยยวี่หลัวชนเข้าจนเจ็บจมูก คลำจมูกพลางถอยหลังไปหลายก้าว ราวกับเซียวยวี่เป็นตัวเชื้อโรค อยู่ใกล้เกินไปเทพแห่งความโชคร้ายจะสิงสู่อย่างไรอย่างนั้น
เซียวยวี่เห็นนางถอยห่างจากตัวเองอย่างรีบร้อน ความรู้สึกไม่พอใจจึงคุกรุ่นยิ่งขึ้น
“เจ้ารู้หรือไม่ หัวหน้าหมู่บ้านต้องการพบเจ้าด้วยเหตุอันใด? ” เซียวยวี่เอ่ยคำถามเดิมกับเซี่ยยวี่หลัวซ้ำอีกครั้ง
เขารู้สึกได้ว่า เซี่ยยวี่หลัวน่าจะรู้ นางเพียงแค่ไม่อยากบอกเขาเท่านั้น
เซี่ยยวี่หลัวส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่รู้! ”
เซียวยวี่ “ในเมื่อเจ้าไม่รู้ เช่นนั้นเจ้าไม่สงสัยงั้นหรือ? ”
“สงสัยไปจะมีประโยชน์อะไร ศาลบรรพชนอยู่ตรงหน้าแล้ว ถึงแล้วก็รู้เองไม่ใช่หรือ” เซี่ยยวี่หลัวไม่รู้สึกวิตกกังวลแม้แต่น้อย ราวกับว่าหัวหน้าหมู่บ้านเรียกนางมา เพื่อกราบไหว้บรรพชนอย่างไรอย่างนั้น
เซียวยวี่จ้องมองเซี่ยยวี่หลัว อดกลั้นอยู่นานจนเกือบจะกล่าวออกมาว่า “เจ้าช่างสบายใจนัก”
ที่แท้ คนผู้นี้ไม่เพียงแต่ลุ่มหลงในอำนาจทรัพย์สิน มัวเมาลาภยศชื่อเสียง ทั้งยังไม่มีหัวจิตหัวใจ
เซียวยวี่จึงไม่สนใจอีก หันขวับสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปทางศาลบรรพชน คราวนี้เขาเดินเร็วมาก ท่าทางเหมือนอยากสลัดคนเบื้องหลังทิ้งเสีย
เซี่ยยวี่หลัวก็ทำตามความต้องการของเขา เดินอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ข้างหลัง