บทที่ 152 การกลับมาของนายพลจี๋อวี่

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

โจวเสี่ยนหวังปีที่สามสิบสาม กลางดึกของต้นฤดูใบไม้ร่วง

ซ่งชูอีรวมถึงทหารอารักขาออกจากนครเสียนหยางเงียบๆ

ม้าหลายสิบตัวทำให้ฝุ่งฟุ้งกระจายเบาบางอยู่บนถนนหลวง หลังจากเดินทางไปได้เจ็ดถึงแปดลี้ก็เริ่มเข้าสู่ถนนสายเล็ก

ไม่รู้ว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวถูกเมฆบดบังตั้งแต่เมื่อไร ความสามารถในการมองเห็นยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ม้าก็ค่อยๆ เดินช้าลง สายลมยามราตรีพัดโชย มีความเย็นสบายเจือปนอยู่ในสายลม

“ท่านขอรับ หิมะตกแล้ว” กู่หานลูบคลำใบหน้าเย็นเยียบ “สัญญาณนี้…”

เพราะว่าเร่งเดินทาง จึงมิได้ทำนายคราวเคราะห์ของการเดินทางครานี้ ทว่าเพิ่งจะออกเดินทางก็พบกับลมหิมะเข้า ชวนให้ไม่ใคร่สบายใจโดยแท้

“ข้ามิรู้เรื่องคราวเคราะห์ ทว่าหิมะตกก็ยังดีกว่าฝนตก หิมะในเดือนสิบ ข้ามองว่าเป็นการคุ้มครองจากสวรรค์” ขณะที่ซ่งชูอีพูด ก็มีหมอกจางๆ เล็ดลอดออกมาระหว่างริมฝีปากและฟัน

กระแทกอยู่บนหลังม้า กู่หานมองดูใบหน้าด้านข้างของซ่งชูอี ความประหลาดใจวูบผ่านในดวงตา

ภายใต้แสงสลัวนั้น ซ่งชูอีอยู่ในชุดดำ แม้ลักษณะใบหน้าไม่ละเอียดอ่อนทว่าสะอาดสะอ้านเป็นอย่างยิ่ง ผมดกดำถูกเกล้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีกลิ่นอายความกล้าหาญเจือจาง โดยเฉพาะความสงบนิ่งที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมที่แผ่ซ่านออกมาจากภายในสู่ภายนอกของนางนั้นแตกต่างจากผู้อื่นโดยสิ้นเชิง

“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง” กู่หานเอ่ย

ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “หิมะนี้ตกไม่หนัก ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ”

ทักษะการดูดาวของนางแทบจะเป็นเหมือนเครื่องประดับ เข้าใจการดูดาวเพียงผิวเผินเท่านั้น ทว่าตำรายุทธพิชัยกล่าวไว้ว่า “เวลาเหมาะสม สภาพทางภูมิศาสตร์และสังคมเอื้ออำนวย” ที่กล่าวว่าเวลาเหมาะสมนั้นก็รวมถึงปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์เช่นกัน นางเคยเป็นท่านแม่ทัพในหยางเฉิงมาก่อน แน่นอนว่ามีความเข้าใจปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์เป็นอย่างดี

จี้ฮ่วนกลับมาจากการสำรวจเส้นทาง ขี่ม้าเข้าไปหาซ่งชูอีพร้อมกับเอ่ย “ท่าน ทางข้างหน้าเป็นภูเขาเดินทางลำบาก ต้องเดินทางช้าลงแล้ว”

“อืม” ซ่งชูอีถามกู่หาน “พวกเราจะเข้ารัฐปาก่อน ท่านคิดว่าต้องไปเยี่ยงไรจึงจะเหมาะสม?”

กู่หานคุ้นเคยกับภูมิประเทศของหล่งซีเป็นอย่างดี คิดเพียงครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ไปทางด่านอู่เถิด ด้านนั้นมีทางลัดที่พ่อค้าใช้เป็นประจำ แม้นดูเหมือนอ้อมไปหน่อย ทว่าในความเป็นจริงแล้วเร็วกว่าการเดินทางบนภูเขาที่คดเคี้ยวเป็นเท่าตัว”

“เยี่ยม” ซ่งชูอีพยักหน้าเห็นด้วย นางก็เข้าใจภูมิประเทศของแต่ละรัฐเป็นอย่างดี ทว่าก็เพียงบนแผนที่ที่มีพื้นที่จำกัดเท่านั้น มิได้รู้ดีไปกว่าชาวฉินที่เกิดและโตที่นี่

ภายใต้การนำทางของกู่หาน ทุกคนขี่ม้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้

การเดินทางไม่นับว่าเร็วมาก กู่หานฉวยโอกาสเอ่ยขึ้น “ท่าน เมื่อวานอาจารย์ของข้าถามว่าผู้ใดเป็นคนวาดเครื่องยิงศรนั่นกันแน่”

“แสดงว่าเจ้าถูกเปิดโปงแล้วสิ?” ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อยมองดูเขา

กู่หานแสดงสีหน้าอับอาย “ขอรับ”

คำขอของซ่งชูอีก็คือ ให้กู่หานบอกว่าเขาเป็นคนวาดเจ้าสิ่งนี้เองทั้งหมด ห้ามให้ปรมาจารย์ดาบในสำนักม่อสงสัย นอกจากนี้ยังต้องถามจุดที่ขาดหายไปในระหว่างนั้น อีกทั้งห้ามมิให้ปรมาจารย์ดาบรับเขาเข้าเป็นศิษย์ใน

นี่นับได้ว่าเป็นคำขอที่โหดร้ายอย่างแท้จริง กู่หานคิดคำพูดหัวแทบแตก เดิมตนคิดว่าเป็นคำโกหกที่แนบเนียนไร้ที่ติ ทว่าท่านอาจารย์กลับมองออกภายในแวบแรก

“ได้โปรดท่านชี้แนะ” กู่หานเอ่ยพร้อมกำหมัดคารวะ

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “เจ้าต้องเข้าใจว่าในโลกใบนี้คำโกหกทั้งหมดล้วนไม่อาจแนบเนียนไร้ที่ติได้”

“ทว่าหากไม่โกหกจะปิดบังผู้อื่นได้เยี่ยงไร?” กู่หานไม่เข้าใจ

“เหตุใดจะไม่ได้เล่า?” ซ่งชูอีมิได้ลดความเร็วม้าลง ทว่ากลับพูดคุยเรื่องสัพเพเหระภายในครอบครัว “พี่ชายกับพี่สะใภ้ของข้าทะเลาะกันเป็นประจำ พี่สะใภ้มีปมในใจแต่ก็สามารถอดทนต่อความทุกข์ทรมาน นางมีฝีมือการเย็บปักถักร้อยดีเยี่ยม ปรนนิบัติสามีมิเคยขาดตกบกพร่อง ทว่าพี่ชายเป็นคนอารมณ์ร้อน เอะอะก็ลงไม้ลงมือทำให้พี่สะใภ้มีบาดแผลทั่วร่างกาย มีครั้งหนึ่งพี่สะใภ้ถูกทำร้ายจนสาหัส ทนใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปอีกไม่ไหวจึงแขวนคอตายอยู่ในบ้านหลังนั้น เจ้ามีความเห็นต่อเรื่องนี้เยี่ยงไร?”

“เอ่อ…” เรื่องทุบตีภรรยาไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่กระไร ทว่าการบีบให้ภรรยาแสนดีต้องมาตายเช่นนี้ ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก กู่หานต้องการจะกล่าวเยี่ยงนี้ แต่เป็นเพราะว่านั่นคือพี่ชายของซ่งชูอีจึงไม่สามารถวิพากย์วิจารย์ส่งเดชได้

“เจ้าคิดว่าพฤติกรรมของพี่ชายข้าน่าละอายยิ่งนัก แต่ว่า?” ซ่งชูอีได้คำตอบที่แน่ชัดจากการจับการแสดงออกอันละเอียดอ่อนของเขา หัวเราะแล้วพูดต่อ “ทว่าพี่สะใภ้มีความสัมพันธ์กับชายอื่นในหมู่บ้านใกล้เคียง คนในหมู่บ้านใกล้เคียงพบเห็นบ่อยครั้ง พี่ชายของข้ามิได้เลิกราเพราะว่านางไร้ญาติขาดมิตร ทว่านางก็ยังมิรู้จักกลับตัวกลับใจ ลอบคบชู้ต่อไป คราวนี้พี่ชายจึงลงมือกับนางอย่างหนัก”

กูหานคิดไม่ถึงว่าความจริงจะเป็นเยี่ยงนี้ อดประหลาดใจมิได้

“คราวนี้เจ้ามีความเห็นเยี่ยงไร?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

กู่หานได้ยินซ่งชูอีถามเช่นนี้ ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจว่านางต้องการจะพูดอะไร หลังจากนำเรื่องเดียวกันมาแยกออกจากกันแล้วก็จะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง และเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น มิต้องกลัววันที่แผนร้ายจะถูกสำแดงออกมา

เช่นเดียวกัน ขณะที่ซ่งชูอีให้รูปวาดนั้นก็สามารถทำเช่นนี้ได้ เขาเข้าใจกลไลเล็กน้อย เหตุใดจึงไม่คิดวิธีรื้อข้อต่อเหล่านั้นที่ขาดหายไป ประกอบเข้ากับสิ่งอื่นแล้วไปขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์เล่า?

กู่หานจมอยู่ในความคิด

ซ่งชูอีก็มิได้พูดกระไรอีก

แสงสว่างมืดมนลงเรื่อยๆ ในตอนแรกหิมะเพียงพัดหมุนอยู่ในสายลมเบาบาง บัดนี้กลับรวมตัวกันอย่างหนาแน่น หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม บนพื้นก็ขาวโพลน ทว่าจังหวะการเคลื่อนไหวก็ค่อยๆ อ่อนลงซึ่งเป็นการพิสูจน์คำพูดของซ่งชูอีอย่างชัดเจนว่าหิมะนี้ไม่สามารถขัดขวางการเดินทางของพวกเขาได้

แม้นการเดินทางเป็นไปอย่างเชื่องช้า ยามรุ่งสางก็เข้าใกล้ดินแดนของซางอวีแล้ว

นี่คือช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด ซ่งชูอีสั่งหาคนหาสถานที่หลบลมเพื่อพักผ่อนครู่หนึ่ง รอจนฟ้าสว่างจึงเดินทางต่อ

“ท่าน” จี้ฮ่วนยกสาโทถุงหนึ่งให้กับซ่งชูอี

ซ่งชูอีนั่งยองอยู่บนก้อนหินเรียบก้อนหนึ่ง ดึงจุกออกมากำลังจะดื่ม ก็ได้ยินเสียงจี้ฮ่วนดังขึ้น “เมื่อครู่ข้าได้รับจดหมายที่ท่านเจินส่งมา”

“จดหมายอยู่ที่ใด?” ซ่งชูอีเอ่ย

จี้ฮ่วนโบกมือ สั่งให้คนส่งสารผู้นั้นเดินเข้ามา

ผู้ส่งสารเป็นเด็กหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบปี ผอมแห้งดังท่อนฟืน ใบหน้าพอใช้ อย่างน้อยก็มิได้มีลักษณะเจ้าเล่ห์

“ข้าน้อยเหยาจ่าน ได้รับคำสั่งให้นำจดหมายนี้ให้ท่าน” เหยาจ่านหยิบแผ่นไผ่เล็กๆ ออกมากจากทรวงอก ค้อมตัวสองมือยื่นให้ซ่งชูอี

ซ่งชูอีปิดจุกถุงสุราวางไว้ข้างๆ รับแผ่นไผ่นั้นออกมาเปิดดู หยิบใบไผ่จากด้านในออกมาสองสามแผ่น

จี้ฮ่วนจ้องไปที่นางสักพัก หลังจากอ่านจบแล้วสีหน้าไร้แววประหลาดใจ ในใจรู้ว่ามิใช่เรื่องร้าย จึงแอบโล่งใจเล็กน้อย

“จี๋อวี่กลับมาแล้ว” รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของซ่งชูอี ยื่นแผ่นไผ่ให้จี้ฮ่วน

“จริงรึ!” จี้ฮ่วนดีใจยิ่ง รีบรับแผ่นไผ่ไว้ หลังจากอ่านอย่างละเอียดหลายรอบ อดที่จะหัวเราะเสียงดังมิได้ “ประเสริฐนัก!”

ความเป็นไปในโลกก็บังเอิญเช่นนี้ จี๋อวี่เช้าไม่มาเย็นไม่มา ทว่ากลับมาถึงเสียนหยางหลังจากที่ซ่งชูอีออกมาได้คืนหนึ่ง อย่างไรก็ดีหลังจากเขารู้ว่าซ่งชูอีมุ่งหน้าไปยังทิศทางใดก็รีบตามมาแล้ว คิดว่าอีกประเดี๋ยวก็คงได้เจอหน้าเขา

“ไม่เจอกันหลายเดือน คิดถึงเขาอย่างประหลาด” ซ่งชูอียกถุงสุรา ดื่มสาโทไปอึกใหญ่ แอบรู้สึกมีความสุข

“ข้าก็คิดถึง ข้าติดตามเขาไปเป็นทหารตั้งแต่ยังเด็ก ยังมิเคยห่างกันนานเพียงนี้!” จี้ฮ่วนอุทาน จี๋อวี่เป็นผู้ปลุกปั้นเขามากับมือ สำหรับเขาแล้ว จี๋อวี่เป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งสหาย อีกทั้งเป็นท่านแม่ทัพ อยู่ร่วมกันมาหลายปี ความรู้สึกที่เกิดขึ้นย่อมไม่สามัญธรรมดา