สกุลใหญ่มีคนเยอะลูกหลานก็มาก ปัญหาก็มากตามไปด้วย ตั้งแต่เด็กมักจะถูกสอนไม่ให้แสดงอารมณ์ต่างๆ บนสีหน้า นายหญิงรองเกิดในสกุลใหญ่ เฉินต้าเหนียงยิ่งติดตามรับใช้ท่านแม่เฒ่ามาแต่เล็ก ตามหลักแล้ว สองคนไม่ควรเปิดเผยสีหน้าออกมาเช่นนี้
อวี้ถังกับคุณหนูสวีหันมามองหน้ากัน
จากนั้นพวกนางก็เห็นเฉินต้าเหนียงซอยเท้าไล่ตามไป คว้าข้อมือของนายหญิงรองเอาไว้ แล้วเอ่ยเสียงเบากับนายหญิงรองอยู่หลายประโยค
นายหญิงรองเดือดดาลกว่าเก่า แล้วตอบกลับเฉินต้าเหนียงด้วยเสียงแผ่วเบาไม่ต่างกัน
เฉินต้าเหนียงสอดส่ายสายตาไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง
เพราะว่าหันหลังให้กับพวกอวี้ถัง บวกกับอวี้ถังคิดว่าแม้นางกับคุณหนูสวีจะมายืนอยู่ที่นี่โดยไม่ตั้งใจ แต่อย่างไรก็รู้เห็นความลับของผู้อื่น ย่อมรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง ตอนที่เฉินต้าเหนียงหันซ้ายแลขวานางจึงลากคุณหนูสวีให้มาหลบหลังต้นการบูร เฉินต้าเหนียงไม่เพียงมองไม่เห็นนาง คิดไม่ถึงว่ายังจะลากนายหญิงรองเดินมาทางต้นการบูรอีก
อวี้ถังลอบตะโกนว่าแย่แล้ว
คุณหนูสวีบีบมืออวี้ถังอย่างแรงด้วยความตึงเครียด กลางมือนางชุ่มเหงื่อ ทั้งยังสั่นเทาน้อยๆ
เห็นชัดว่านางไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน
อวี้ถังคิดว่าตัวเองทำให้คุณหนูสวีพลอยลำบากไปด้วย จึงคว้าไหล่ของนางไว้ แล้วส่งสายตาปลอบโยนไปให้
คุณหนูสวีถึงค่อยสงบใจลงได้
อวี้ถังถอนหายใจโล่งอก
ได้ยินเสียงเฉินต้าเหนียงที่กำลังมุ่งหน้าทางนี้กล่อมนายหญิงรองเสียงเบาว่า “ท่านจะไปขุ่นเคืองอันใดกับสกุลนั้นเจ้าคะ? ล้วนเป็นกบในกะลาทั้งสิ้น วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในเมืองฝูโจวเล็กๆ นั่นจนเคยตัว ไม่รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหมือนคนยังมียอดคน ท่านก็คิดเสียว่าฟังหมามันเห่าไป ได้ยินแล้วก็จบ อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ ท่านไม่เห็นว่าท่านแม่เฒ่าก็หน้าเปลี่ยนสีหรือเจ้าคะ? แต่เพราะสกุลนั้นหน้าหนาไร้ยางอายจนมองไม่ออก นายท่านสามของเราไม่มีทางปล่อยพวกนั้นไว้แน่ ท่านวางใจได้เลยเจ้าค่ะ”
หลังจากคับข้องหมองใจ นางหญิงรองคล้ายจะสงบอารมณ์ได้บ้าง นางพยักหน้าแล้วกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ไม่ต้องบอกนายท่านสามหรอก ทุกคนต่างอยู่กันพร้อมหน้า จะมาแตกหักมองหน้าไม่ติดเพราะเรื่องเล็กน้อยย่อมไม่คุ้ม เพราะข้าเองที่เลือดขึ้นหน้า กลัวว่าจะคุมตัวเองไม่อยู่ หลุดคำไม่น่าฟังออกไป ถึงได้หลบออกมาแบบนี้ ตอนนี้ข้าดีขึ้นแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ายืนพักอยู่ตรงนี้ครู่หนึ่งเดี๋ยวตามเข้าไป ทางนั้นยังมีเรื่องรอให้เจ้าไปจัดการอีกมาก เจ้าไม่ต้องสนใจข้าแล้ว”
เฉินต้าเหนียงหัวเราะ “จะมีอะไรสำคัญไปกว่าท่านอีกเจ้าคะ พวกเราต่างรู้ดีว่าท่านเห็นแก่หน้าทุกคนถึงไม่ได้อาละวาดออกไป ข้าอยู่คุยเป็นเพื่อนท่านตรงนี้ดีกว่า พอได้ระบายออกมา อารมณ์ก็คงดีขึ้นเองเจ้าค่ะ”
นายหญิงรองผงกศีรษะรับ สีหน้าราบเรียบขึ้นกว่าเก่า “แต่ก่อนตอนข้าอยู่เมืองหลวงก็เคยได้ยินว่าสกุลเผิงบ้าอำนาจ ไม่คิดว่าสกุลพวกเขาจะระรานผู้อื่นถึงขั้นนี้ ในเมื่อต้องการดองกับสกุลเรา เช่นนั้นก็ส่งคนมาขอหมั้นหมายดีๆ สิ มีอย่างที่ไหนกลับเรียกคุณหนูสี่คุณหนูห้าเข้าไปให้พวกเขาชี้นิ้วเลือก? ไม่กลัวลิ้นจะหลุดเสียบ้างหรือไร?”
พูดถึงตรงนี้ นางคล้ายว่าคิดอะไรบางอย่างออก จู่ๆ ก็เกิดมีอารมณ์ขึ้นมาอีก “ไม่ได้ ข้าต้องบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อและท่านพี่ฝั่งมารดาข้าไว้ด้วย เหล่าสตรีจะทำการอันใด ไม่อาจคิดเองตัดสินใจเองได้ ไม่แน่นี่อาจเป็นแผนของสกุลเผิง? บัดนี้พวกเราสกุลเผยไม่มีใครเป็นขุนนางในเมืองหลวง สกุลเผิงอาจคิดว่าพวกเราไม่มีคนให้พึ่งพา ไม่เช่นนั้นคงไม่เอ่ยวาจาเสิบสานแบบนี้ พวกเขาถึงขนาดกล้าชี้นิ้วเลือกคุณหนูสกุลเราเช่นนี้แล้ว หากเขายังไม่อยากยุ่งอีก เช่นนั้นข้าก็คงรักษาหน้าเขาไว้ไม่ได้ ให้ท่านตาท่านอาของพวกนางออกหน้าแทนก็แล้วกัน”
ยังมีคุณหนูสี่ทางนั้น อย่างไรก็ต้องไปบอกความไว้ด้วย
ต่อให้ลูกหลานสกุลเผิงยื่นตำแหน่งสะใภ้ของผู้นำสกุลมาให้ สกุลของพวกนางก็ไม่มีทางตอบรับให้บุตรสาวแต่งเข้าไปแน่ ไม่อย่างนั้น คุณหนูสกุลเผยของพวกเรามิใช่ว่าให้คุณชายสกุลเผิงเลือกได้ตามใจชอบรึ? คุณหนูสกุลเราหาได้มีเรื่องใดเสื่อมเสียจนออกหน้าออกตาไม่ได้เสียหน่อย”
อวี้ถังกับคุณหนูสวีอดจะหันมาแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้
มิน่านายหญิงรองจึงได้หัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนี้
แต่ท่านแม่เฒ่าทางนั้น เกรงว่าจะไม่อาจกล้ำกลืนได้ง่ายๆ!
ไม่รู้ว่าท่านแม่เฒ่าจะเป็นอย่างไรบ้าง?
สองคนหันไปมองทางโถงหลักพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดแนะ
จี้ต้าเหนียงร้อนใจเหมือนถูกไฟรน
หากนายหญิงรองเอาเรื่องนี้ไปบอกบิดาและพี่ชายที่อยู่จินหลิงจริงๆ เรื่องราวคงลุกลามใหญ่โตแน่
แน่นอนว่า สกุลฝั่งมารดาของนายหญิงรองมิใช่จะต่อกรได้ง่ายๆ แต่คุณหนูเป็นคนของสกุลเผย หากต้องให้คนนอกมาปกป้อง ถ้าเรื่องนี้ถูกลือออกไป สกุลเผยยังมีหน้าไปพบใครได้อีก?
จี้ต้าเหนียงกล่อมแล้วกล่อมอีก ถึงได้หยุดนายหญิงรองไว้ได้ ทั้งเอ่ยว่า “ท่านอาจไม่รู้จักนิสัยของท่านแม่เฒ่า แต่นายท่านสามทางนั้นท่านคงรู้ดีกระมัง? เรื่องนี้ไม่มีทางจบง่ายๆ แบบนี้แน่เจ้าค่ะ”
นายหญิงรองร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง “ข้าว่าพวกเขาไม่ได้มาสานไมตรีหรอก คงมาผูกปมแค้นเสียมากกว่า!”
จี้ต้าเหนียงไม่กล้าวิจารณ์มาก นางรับคำอย่างขอไปที แล้วฟังนายหญิงรองกร่นด่าสกุลเผิงต่ออีกหลายประโยค สองคนถึงได้ปรับสีหน้าอารมณ์ใหม่ แล้วกลับเข้าโถงหลักไป
อวี้ถังกับคุณหนูสวีได้แต่ถอนหายใจเฮือก ตอนนั้นเองถึงรู้ว่าไหล่ของตนแข็งเกร็งไปหมด
“ยังดีนะที่พวกนางไม่เห็น!” คุณหนูสวีตบอกเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างโล่งใจ
อวี้ถังคิดว่าสถานที่แห่งนี้ช่างมีแต่เรื่องวุ่นวาย เหมือนที่จี้ต้าเหนียงพูดเอาไว้ไม่ผิด การออกมาเดินเล่นข้างนอกไม่ค่อยจะปลอดภัยนัก
“พวกเรากลับห้องน้ำชากันเถอะ!” นางเอ่ย “ฟังนายหญิงสามสกุลหยางพูดเรื่องขนมก็น่าสนใจอยู่หรอก”
คุณหนูสวีกลับไม่ค่อยเต็มใจ “นายหญิงรองไม่กลับมาแล้วแน่ๆ หากว่าพวกนางมาอีก พวกเราก็ไม่ต้องลุกลนเหมือนอย่างเมื่อครู่ พวกเรานั่งเล่นที่นี่สักพักเถอะ! ข้าว่าสกุลเผิงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อีกเดี๋ยวท่านแม่เฒ่าคงหมดอารมณ์จะสนทนากับพวกเราแล้ว”
คาดว่าพวกนางอาจจะต้องรออีกพักใหญ่เลย
อวี้ถังคิดว่าที่นางพูดมาก็มีเหตุผล
คุณหนูสวียิ้มแฉ่งพลางเปลี่ยนเรื่องคุย ยกเรื่องสกุลหยางกับสกุลอวี้มาพูดว่า “สกุลข้านั้นเจ้าคงรู้อยู่แล้ว เพราะญาติผู้พี่ของข้ากับคุณหนูรองบ้านสามสกุลเผยหมั้นหมายกัน ดังนั้นพวกเราถึงได้มาที่สกุลเผย แต่ข้าได้ยินคนในจวนพูดกันว่า พวกเจ้านั้นเพราะบิดาเจ้ากับนายท่านสามสนิทกัน เจ้าเองก็ได้รับความเอ็นดูจากท่านแม่เฒ่าด้วยถูกชะตา ถึงได้เดินเข้าออกสกุลเผยได้ จริงหรือไม่?”
อวี้ถังพยักหน้ารับ
คุณหนูสวีถามต่อว่า “เช่นนั้นเจ้าได้เจอนายท่านสามสกุลเผยบ่อยหรือไม่? เขาเป็นคนอย่างไร? ข้าได้ยินคนอื่นพูดกัน บอกว่าเขารูปงามนักหรือ? แล้วเขาหมั้นหมายหรือยัง?”
น้ำเสียงนั่น คล้ายว่าสนอกสนใจเผยเยี่ยนเป็นที่สุด
อวี้ถังอดจะมองนางซ้ำหลายทีไม่ได้
คุณหนูสวีเฉลียวฉลาดดังคาด แค่เห็นท่าทีของนางก็เดาออกว่าคิดอะไรอยู่ คุณหนูสวีเม้มปากยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ข้านะ! ข้าหมั้นแล้ว แต่สกุลข้ากับสกุลหลีเป็นญาติกัน ข้ากับญาติผู้พี่ผู้น้องหลายคนของสกุลหลีล้วนสนิทสนม ตอนนั้นท่านอาข้าอยากดองกับสกุลเผย ผลปรากฏว่านายท่านสามสกุลเผยตอบปฏิเสธ” พูดถึงตรงนี้ นางก็เบะปาก “ท่านอาข้ายังพูดทำนองว่าคุณหนูสกุลหลีให้เขาเลือกได้ตามใจ ทำเอาท่านแม่เฒ่าสกุลหลีเลือดขึ้นหน้า เรียกท่านอาไปต่อว่าอย่างรุนแรง จากนั้นงานแต่งของญาติผู้พี่สามกับญาติผู้พี่สี่ก็ไม่ค่อยราบรื่น เพราะคำพูดนั้นเอง ญาติผู้พี่สี่ของข้าถึงได้ใช้อุบายบางอย่างกับนายท่านสามสกุลเผย จนถูกท่านแม่เฒ่าสกุลหลีสั่งขังไว้ที่ศาลบรรพชน” จากนั้นก็เล่าต่อว่า “พิธีบรรยายธรรมมีอะไรน่าฟังกัน ข้าก็แค่อยากเห็นว่านายท่านสามสกุลเผยมีหน้าตาอย่างไร ถึงดันทุรังจะตามมาให้ได้!”
อวี้ถังคอแห้งไปหมด รู้สึกว่าตนเองไปรู้ความลับบางอย่างเข้าโดยไม่ตั้งใจ หากฟังคำของคุณหนูสวีแยกกันนางยังพอเข้าใจ แต่ถ้ารวมหน้าหลังเข้าด้วยกันแล้วกลับฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
คุณหนูสวีเห็นว่าอวี้ถังคล้ายได้รับความแตกตื่น ก็หัวเราะฮ่าๆ ทั้งกระซิบบอกต่อว่า “เจ้าเองก็ไม่เชื่อรึ? ด้านนอกต่างลือกันว่าสกุลหลีไม่เห็นสกุลเผยอยู่ในสายตา นั่นเพราะสกุลเผยเปิดทางลงให้สกุลหลีต่างหาก หากว่าสกุลเผยผิดต่อสกุลหลีจริงๆ สกุลเผยจะยังสุขสบายไร้เรื่องราวแบบนี้รึ? ข้าว่าเจ้าไม่รู้อะไรสักอย่าง ข้าเล่าความจริงให้ฟังเลยก็แล้วกัน นายหญิงสามสกุลหยาง ก็คือสะใภ้สามของญาติผู้พี่ข้า เป็นหลานสาวฝั่งมารดาของท่านแม่เฒ่าสกุลหลี นับเป็นคุณหนูของสกุลอินแห่งฮวาหยาง ตอนนี้ท่านข้าหลวงไหวอัน ก็คือหลานชายสายตรงของนายหญิงสาม หลายวันก่อน สกุลเผยก็ยืมมือสกุลอินยึดเรือของสกุลเผิง ไม่อย่างนั้นสกุลเผิงจะคิดดองกับสกุลเผยรึ?”
อวี้ถังค้นพบว่าสมองของตนเองไม่พอใช้งานเสียแล้ว
นางกุมหน้าผาก เอ่ยว่า “เจ้ารอเดี๋ยว ข้ารู้สึกว่าต้องไปอ่านผังสกุลก่อน”
คุณหนูสวียิ่งหัวเราะถูกใจ
นางพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “น้องสาวคนดี เจ้าพาข้าไปดูว่านายท่านสามสกุลเผยหน้าตาเป็นอย่างไร ข้าจะวาดผังสกุลให้เจ้าแผ่นหนึ่ง เจ้าจะได้รู้ว่าคนสกุลไหนเกี่ยวดองกับคนสกุลไหนบ้าง!”
อวี้ถังแค่หลุดปากพูดไปอย่างนั้น นางคิดว่านางกับผังสกุลไม่มีอะไรให้ข้องเกี่ยวกัน คงไม่น่าจะได้ใช้
นางกระเซ้าคุณหนูสวีว่า “สกุลฝั่งมารดาของนายหญิงรองคงยิ่งใหญ่มากใช่ไหม? หากว่าข้าไปขอคำชี้แนะจากนายหญิงรอง นางคงยอมบอกข้าแน่ๆ”
คุณหนูสวีหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย “นางเล่าให้สนุกสู้ข้าไม่ได้หรอก! แถมข้ายังเล่าเรื่องน่าสนใจอื่นๆ ให้เจ้าฟังได้อีกด้วย!”
อวี้ถังตอบว่า “สรุปคือข้าไม่รู้อะไรสักอย่าง ไม่รู้ด้วยว่าที่เจ้าเล่ามามันถูกหรือผิด?”
คุณหนูสวียังยั้งอารมณ์ของตนอยู่ “เอาอย่างนี้ไหม เจ้ารอสองสามวัน ดูว่ามีใครรู้เยอะกว่าข้าอีก พวกเราค่อยมาว่ากันใหม่?”
ช่างมั่นใจเสียเหลือเกินนะ
อวี้ถังปล่อยเสียงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา
คุณหนูสวีพลันกระตุกชายเสื้อของอวี้ถัง ทำมือบอกใบ้ให้นางเงียบเสียง
อวี้ถังหันขวับไปทางลานเรือนอย่างไม่รู้ตัว
เห็นเพียงนายหญิงรองที่ถูกล้อมรอบด้วยจี้ต้าเหนียงกับเฉินต้าเหนียง กำลังเดินไปส่งเหล่าหญิงงามผู้สูงศักดิ์ออกจากประตู
คุณหนูสวีกระเถิบเข้ามาติดข้างหูอวี้ถัง บอกเสียงเบาว่า “เห็นนายหญิงที่ใส่เสื้อคลุมสีแดงขลิบทองหรือไม่ คนนั้นคือนายหญิงใหญ่สกุลเผิง แต่ว่านางไม่ค่อยมีสมองเท่าไร ทำอะไรก็รู้จักแต่บีบบังคับ สู้นายหญิงสามสกุลเผิงไม่ได้ คนข้างๆ ที่ใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินขลิบทองนั่นต่างหากที่เก่งกาจ ถูกน้องสะใภ้ของตัวเองคุมไว้ยังไม่รู้ตัวอีก คนที่หน้าขาวๆ อวบๆ นั่นคือนายหญิงใหญ่สกุลซ่ง คนนี้คุยง่าย แต่สกุลซ่งนั้นมีนายหญิงสี่เป็นคนดูแลสกุล ส่วนคนที่กำลังคุยกับนายหญิงรองอยู่ ดูท่าอ่อนแอบอบบาง แต่ท่านเม่ข้าบอกว่านางฉลาดเป็นกรด ตอนนั้นที่นายท่านสี่ขึ้นรับตำแหน่ง นับว่าเป็นผลงานของนางครึ่งหนึ่ง นายหญิงกับสะใภ้ของสกุลซ่ง ไม่มีใครกล้าหือกับนางสักคน ยังมีนายหญิงอายุน้อยที่ใส่ผ้าไหมหังโฉวสีชมพูแล้วปักปิ่นระย้านั่น หึๆ เป็นพี่สาวข้าเอง นางแต่งให้กับสกุลเผิง เป็นสะใภ้รองของสกุลเผิง ส่วนคนอื่นที่เหลือ ข้าไม่รู้จักแล้ว”
อวี้ถังมองตามแต่ไม่ได้ส่งเสียง
คุณหนูสวีหันไปมองนางแล้วกะพริบตาใส่ คล้ายจะบอกว่า ‘เห็นไหม ข้ารู้เยอะเช่นนี้ เจ้ายังไม่รีบขอคำชี้แนะจากข้าอีก’
อวี้ถังตะลึงไป
คุณหนูสวีผู้นี้ เป็นคนที่น่าสนใจเหลือเกิน
นางถามว่า “สกุลสวีของท่านมีความเป็นมาอย่างไรรึ?”
————————————————————-