ได้ยินอวี้ถังถามเช่นนี้ คุณหนูสวีพลันเลิกคิ้วลำพอง แต่กลับแสร้งโบกมือคล้ายไม่ใส่ใจ “ไอหยา พวกเราก็เป็นครอบครัวขุนนางธรรมดาทั่วไป สมัยบิดาของปู่ทวดแล้วก็ท่านทวดมีขุนนางที่เก่งกาจหลายคน ตอนนี้น่ะหรือ ก็มีท่านลุงท่านอาไม่กี่คนที่ทำงานในราชสำนักไปวันๆ เท่านั้นแหละ”
นี่ไม่คล้ายว่าแค่ทำงานไปวันๆ สักเท่าไร!
อวี้ถังเม้มปากยิ้ม คิดว่าหากนางถามลึกลงไปกว่านี้ คุณหนูสวีจะรู้สึกว่านางเสียมารยาทหรือไม่ จึงอดจะลังเลไปพักหนึ่งไม่ได้ ระหว่างนั้นจึงเกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งคู่
อย่างไรคุณหนูสวีก็อายุยังน้อย ทั้งข่มอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ นางกังวลว่าอีกเดี๋ยวท่านแม่เฒ่าสกุลเผยจะเรียกพวกนางเข้าพบ นางก็จะไม่มีโอกาสได้สนทนากับอวี้ถังเช่นนี้อีกแล้ว จึงตัดสินใจเอ่ยว่า “สกุลข้าอยู่ที่จื๋อลี่ใต้ จะว่าไป ก็นับเป็นคนบ้านเดียวกับนายหญิงรองสกุลเผย แต่สกุลข้าย้ายไปอยู่เมืองหลวงตั้งแต่รุ่นทวด แม้จะรู้จักกับนายหญิงรองสกุลเผย แต่ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันเท่าไร”
นางคิดว่าเมื่อนางพูดออกไปแบบนี้ อวี้ถังต้องนึกออกแล้วว่าสกุลของพวกนางคือใคร
เพราะว่าตอนนี้ ต่อให้เป็นขุนนางยศสูงเพียงใด แต่ตอนเกษียณอายุก็ต้องกลับไปภูมิลำเนาเก่า นอกจากสร้างความดีความชอบยิ่งใหญ่ ถึงจะได้รับพระราชทานที่ให้อยู่ในเมืองหลวง
และผู้ที่เข้าเงื่อนไขดังกล่าว ตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์มา สำหรับนามสกุลสวีนั้น มีแค่พวกนางเพียงสกุลเดียว
นางพยายามโอ้อวดความเป็นมาของสกุลตนอย่างอ่อนน้อมที่สุดแล้ว
แต่อวี้ถังก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียที
ทว่านางเป็นคนฉลาด รู้ทันว่าคุณหนูสวีคงละอายที่จะเยินยอตนเองตรงๆ แต่ความจริง ในวาจาก่อนหน้านั้นก็ได้บอกความเป็นมาของสกุลสวีเอาไว้หมดแล้ว
คุณหนูสวีเป็นเด็กสาวที่น่าสนใจอย่างมาก อวี้ถังค่อนข้างชื่นชมคนนิสัยเช่นนาง ครุ่นคิดว่าต่อให้ตอนนี้นางจะซักถามอย่างละเอียด แต่บางเรื่องจำต้องให้คนที่รู้ผังสกุลอธิบายให้ฟังก่อนจึงจะใช้ได้ นางมองหัวคิ้วของคุณหนูสวีที่ยึกยักไปมา ราวกับกำลังบอกว่า ใครๆ เขาก็รู้กันหมดว่าสกุลสวีเป็นสกุลเช่นไร นางเกิดนึกสนุก จึงแกล้งคุณหนูสวีเล่น แสร้งตีหน้าฟังไม่เข้าใจทันที แล้วส่งเสียง “อ้อ” โดยหน้าไม่เปลี่ยนสี เอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “ช่างซับซ้อนนัก! มารดาเลี้ยงของคุณชายหยางเป็นญาติกับสกุลท่าน สกุลท่านก็ยังเป็นญาติกับสกุลหลีและสกุลเผิงอีกทอด ตอนนี้ยังเป็นคนรู้จักเก่าแก่กับฝั่งมารดาของนายหญิงรองอีกด้วย…ข้ายังได้ยินว่า มารดาเลี้ยงของคุณชายหยางเป็นญาติกับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยด้วย” นางเอ่ย จากนั้นก็มองคุณหนูสวีด้วยสายตานับถือ “หากว่าเปลี่ยนเป็นข้า เกรงว่าคงไม่รู้แล้วว่าต้องเรียกใครว่าอะไรบ้าง”
ดวงตาของคุณหนูสวีทอแสงวาบอยู่หลายที
น้องอวี้ควรจะแสดงความชื่นชมนับถือต่อสกุลสวีของนางมิใช่หรือ? เหตุใดจู่ๆ ถึงแจกแจงสายสัมพันธ์ของแต่ละสกุลออกมาเล่า?
อวี้ถังมองท่าทางของคุณหนูสวี ไม่ง่ายกว่าจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ แล้วพูดเรื่องเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจังต่อว่า “บ้านของพวกเจ้าอยู่ที่จื๋อลี่ใต้ ก็หมายความว่าติดๆ กันกับแถบเจียงหนาน สกุลท่านเป็นญาติกับสกุลหยางและสกุลเฉียนข้าไม่แปลกใจ แต่ทำไมอาหญิงของเจ้าถึงแต่งไปอยู่ที่ฝูเจี้ยนโน่นล่ะ? หรือว่าอาหญิงย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ฝูเจี้ยน?”
คุณหนูสวีร้อนใจทนไม่ไหว รีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่ๆ สกุลเผิงกับสกุลข้าล้วนแต่มีคนรับราชการในราชสำนัก ท่านพ่อตาของอาหญิงข้ากับท่านอารองข้าสอบติดรุ่นเดียวกัน ภายหลังก็ได้ไปประจำการที่ลั่วหยางเหมือนกันอีก ถึงได้แต่งงานเกี่ยวดองกัน”
อวี้ถังไม่ยอมให้นางพูดต่อ ฟังถึงตรงนี้ก็รีบตัดบทนางทันที “ข้ารู้ว่านายหญิงใหญ่สกุลเผยมาจากสกุลหยาง สกุลฝั่งมารดาของคุณหนูรองสกุลเผยก็นามสกุลหยางเหมือนกัน ไม่รู้ว่าสกุลฝั่งมารดาของนายหญิงใหญ่กับคุณหนูรองสกุลเผยมีความเกี่ยวพันกันหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าสกุลหยางก็เป็นสกุลใหญ่ สกุลฝั่งมารดาของนายหญิงใหญ่ต้องเป็นสกุลที่ยิ่งใหญ่มากกระมัง? แต่ก่อนตอนที่คุณหนูห้าให้ข้าสอนนางทำดอกไม้ผ้า ข้ายังนึกว่าสกุลฝั่งมารดาของนายหญิงรองแค่มีพี่น้องที่รับราชการอยู่เมืองจินหลิงเท่านั้น แต่ดูจากท่าทางของนายหญิงรองแล้ว คงจะไม่ใช่สกุลสามัญทั่วไปแน่?”
คุณหนูสวีได้ยินก็เหล่ตามองอวี้ถังทีหนึ่ง ทำหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘เจ้าไปได้ยินคำพูดเหลวไหลนี้มาจากใครกัน’ แล้วเอ่ยว่า “สกุลฝั่งมารดาของนายหญิงใหญ่จะไปเทียบชั้นกับสกุลหยางแห่งถงหลูได้อย่างไร? บรรพบุรุษของสกุลหยางแห่งถงหลูเคยมีคนเป็นขุนนางขั้นหนึ่งมาก่อน แต่สกุลหยางแห่งติ้งหยวนของพวกเขานั้นค้าขายแพรไหมมาตั้งแต่สามรุ่นก่อนแล้ว ทำเป็นแสดงต่อคนภายนอกว่าตนเป็นสกุลบัณฑิต รับราชการ นั่นเป็นเรื่องของคนรุ่นหลังรุ่นที่สองสามแล้วต่างหาก จากนั้นถึงดองกับสกุลเผย ได้รับการประคับประคองจากสกุลเผยจนเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างราบรื่น!” เล่าถึงตรงนี้ นางก็ทำหน้าตื่นเต้นคล้ายจะนินทาคนกับอวี้ถัง กระซิบกระซาบข้างหูอวี้ถังว่า “ข้าจะบอกให้ อย่าได้มองว่านายหญิงใหญ่วางท่าเหมือนคุณหนูสกุลสูงศักดิ์ ทั้งเป็นบุตรสาวของสกุลผู้ทำพิธีบวงสรวง ความจริงเรื่องเล่าเรียนมิได้เก่งกาจอะไรเลย แต่ก่อนตอนที่นางอยู่เมืองหลวง ครั้งหนึ่งที่งานชมบุปผาต่อกลอนของสกุลจาง ต้องดื่มสุรารอบวง แต่ละรอบนางก็ผ่านไปอย่างทุลักทุเล ภายหลังเพราะต่อกลอนไม่ไหว ยังแกล้งเมาแต่ถูกผู้อื่นจับได้ ที่นางแต่งกับนายท่านใหญ่สกุลเผยได้นับว่าไม่เลวแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะใบหน้าดวงนั้นของนาง ดังนั้น บิดาข้าจึงค่อนข้างดูแคลนนายท่านใหญ่ของพวกเขาอยู่บ้าง…”
จะบอกว่า นายหญิงใหญ่ค่อนข้างโง่รึ
ภายในเวลาเพียงสองเค่อ อวี้ถังกลับรู้เรื่องราวต่างๆ มากกว่าเรื่องที่ตนรู้มาตลอดสองชาติรวมกันเสียอีก
นางหัวเราะเหอะๆ ละอายใจเกินกว่าจะวิจารณ์นายหญิงใหญ่ได้ เพียงเอ่ยว่า “ต่างคนต่างชอบต่างใจ เรื่องแบบนี้ใครจะพูดให้ชัดเจนได้เล่า”
อวี้ถังรู้สึกว่าคำพูดของตนช่างฟังยิ่งใหญ่นัก ไม่อาจหาข้อบกพร่องได้เลย ใครจะคิดว่าเพิ่งพูดจบ คุณหนูสวีพลันสวนกลับมาทันที “ที่แท้เรื่องนี้เจ้าก็รู้อยู่ก่อนแล้ว!”
เรื่องไหนอีกล่ะ?!
อวี้ถังจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าตนเองไปแตะถูกส่วนไหนของคุณหนูสวีเข้า คุณหนูสวีจึงเริ่มกระซิบกระซาบอีกรอบว่า “มีครั้งหนึ่งข้าได้ยินท่านแม่กับป้าสะใภ้คุยกัน บอกว่านายหญิงใหญ่ภายนอกแสร้งเป็นสุขุมเรียบร้อย วางท่าให้ผู้อื่นเกรงขาม แต่ความจริงออดอ้อนเก่งเกินใคร เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหันไปบอกกับนายท่านใหญ่สกุลเผยว่าปวดเท้าอย่างโน้นอย่างนี้ ท่านแม่ข้าบอกว่า ไม่แปลกที่นางจะใช้ชีวิตราบรื่นสมดั่งใจ”
แต่เมื่อไร้ซึ่งสามี ชีวิตของนางก็คงไม่สุขสบายเหมือนวันเก่าแล้ว!
อวี้ถังคิดว่าหากนางพูดเช่นนั้นออกไปตอนนี้อาจจะดูเกินไปหน่อย จึงส่งเสียง “อืม” คล้อยตามคุณหนูสวีไป ทว่าในใจก็คิดถึงเรื่องของเผยเยี่ยน
สกุลหลีทำถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมเผยเยี่ยนถึงไม่ยอมตกลงแต่งกับสกุลหลีอีก?
เพราะคุณหนูสกุลหลีหน้าตาธรรมดาเกินไป? หรือเพราะนิสัยแย่มาก?
แต่นางคบหากับคุณหนูสวีได้อย่างราบรื่น จึงไม่สมควรจะเป็นเช่นนั้น
นางอดจะถามไม่ได้ว่า “คุณหนูสกุลหลีหน้าตาสะสวยหรือไม่?”
คุณหนูสวีชั่วขณะหนึ่งคล้ายตั้งตัวไม่ทัน เอ่ยด้วยความทอดถอนใจกึ่งอับจนว่า “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมท่านแม่ข้าต้องวิจารณ์เรื่องนายหญิงใหญ่? เพราะว่าพี่ชายคนโตของข้าก็เหมือนกับนายท่านใหญ่สกุลเผย เขาก็แต่งกับหญิงที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา ท่านแม่ข้ากลัวจะตายว่าหลานชายสองคนจะเหมือนกับบุตรชายของนายหญิงใหญ่สกุลเผย ถึงได้รับหลานทั้งสองคนไปเลี้ยงดูด้วยตัวเอง…เพราะเรื่องนี้ พี่ชายคนโตของข้าต้องคอยเป็นคนกลางระหว่างท่านแม่กับพี่สะใภ้ พี่สะใภ้ข้า ก็คือสกุลสาขาของสกุลหลีนั่นแหละ!”
คุณหนูผู้นี้ ไม่ว่าสิ่งใดก็กล้าพูดออกมาจนหมด!
อวี้ถังจนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดีแล้ว
คุณหนูสวีเข้าใจผิดคิดว่าอวี้ถังฟังไม่กระจ่าง รีบอธิบายว่า “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าใต้เท้าหลีเป็นถึงทั่นฮวาของรุ่นนั้น? ตอนสนามสอบฤดูใบไม้ผลิ ก็สอบได้ที่สามสิบกว่า แต่สกุลหลีของพวกเขา ที่เลื่องชื่อมิใช่ใต้เท้าหลีผู้เป็นถึงเก๋อเหล่าหรอก แต่ขึ้นชื่อเรื่องหญิงงามต่างหากล่ะ!”
มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ?!
แล้วทำไมเผยเยี่ยนถึงไม่ยินยอมเล่า?
หากเป็นคนอื่น ย่อมคิดว่าเผยเยี่ยนสมองไม่ดีแน่ แต่อวี้ถังกลับเชื่อมั่นในตัวเผยเยี่ยนเต็มเปี่ยม นางคิดว่าเรื่องระหว่างเผยเยี่ยนกับสกุลหลีต้องมีเงื่อนงำอื่นอีก
เพียงแต่นางไม่รู้เลยว่าตนจะมีโอกาสได้รู้ถึงเงื่อนงำที่ว่าไหม
พอคิดแบบนี้ อวี้ถังพลันรู้สึกหม่นหมอง
แต่ว่า คุณหนูสวีรู้เรื่องมากมายจริงๆ ด้วย
หากนางอยากรู้แผนผังวงศาคณาญาติ บางทีอาจต้องมาฟังคุณหนูสวีเล่าจริงๆ ก็ได้
อวี้ถังวางหน้าจริงจัง กำลังจะขอคำชี้แนะจากนางสักหลายประโยค ก็เห็นนายหญิงรองที่ส่งแขกเสร็จแล้วเดินนำจี้ต้าเหนียงไปทางห้องน้ำชา
นี่จะไปเชิญพวกนางให้เข้าพบท่านแม่เฒ่าหรือ
สองคนกระเด้งตัวลุกทันที จัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์ แล้วสาวเท้าสวบๆ ไปทางห้องน้ำชา
นายหญิงรองมาเชิญพวกนางไปดื่มชาตามที่คาดเอาไว้ เมื่อเห็นคุณหนูสวีกับอวี้ถังกลับมาจากด้านนอก ไม่เพียงไม่ตั้งข้อสงสัย ยังถามอย่างห่วงใยอีกว่า “ไปไหนมากันล่ะ? ข้าพบว่าลานด้านหลังปลูกกุหลาบไว้หลายต้น กำลังบานเต็มที่เลย ถ้าพวกเจ้ามีเวลาก็ลองไปชมดูได้”
สองคนต่างรู้สึกผิด มีหรือจะกล้าพูดมาก ได้แต่รับคำว่า “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม แล้วตามผู้อาวุโสไปพบท่านแม่เฒ่า
หน้าต่างโถงหลักเปิดกว้าง ลมเย็นพัดเบาบาง ในห้องอากาศเย็นสบาย
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเอนพิงหมอนใบใหญ่อยู่บนตั่งไม้ยาว สีหน้าอบอุ่น ดวงตาทอประกายยิ้ม ดูอารมณ์ดีและปล่อยตัวอิสระ ไร้ซึ่งร่องรอยว่าที่แห่งนี้เคยเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้นายหญิงรองต้องวิ่งหนีออกไป
“เมื่อวานหลับสบายดีหรือไม่?” ท่านแม่เฒ่าถามอย่างเป็นห่วง “ให้พวกเจ้ารอเสียนาน จี้ต้าเหนียงได้ชงชาชั้นดีให้พวกเจ้าดื่มหรือไม่?”
“ไม่เพียงชาดี ขนมก็อร่อยมากเจ้าค่ะ” คนสกุลเฉินหัวเราะเบาๆ
นางอายุมากกว่านายหญิงสามสกุลหยาง นายหญิงสามสกุลหยางจึงปล่อยให้คนสกุลเฉินเป็นตัวแทนตอบคำของท่านแม่เฒ่าอย่างนอบน้อม
ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แค่ลักษณะท่าทางเช่นนี้ ก็มองออกถึงความไม่ธรรมดาของคนสกุลอินแล้ว
ทุกคนคุยเรื่องสัพเพเหระไปพักใหญ่ กระทั่งท่านแม่เฒ่าคนอื่นๆ นายหญิง สะใภ้และเหล่าคุณหนูสกุลเผยมากันพร้อมหน้า
ทุกคนต่างหันหน้ามาทักทายปราศัยกัน
อวี้ถังเห็นนายหญิงใหญ่สกุลเผยแล้ว
นางมีสาวรับใช้หน้าตาสะสวยประคองอยู่ ท่าทางสงบเสงี่ยมพูดน้อย
เหล่าสตรีสกุลเผยต่างกีดกันนางออกจากวงสนทนาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ หาได้ชักชวนนางพูดคุยเท่าไรนัก
อวี้ถังลอบจดจำไว้ในใจ
รอจนทุกคนนั่งลงอีกครั้ง ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยก็ให้คนไปเชิญอาจารย์อู๋เหนิงพระชั้นสูงจากวัดเส้าหลินใต้เข้ามา
ผิวกายของเขาดำคล้ำ เป็นชายอายุห้าสิบกว่าที่มีรูปร่างผอมแห้ง สวมจีวรผ้าหยาบสีเทาแสนจะธรรมดา สีหน้าเคร่งขรึม พูดจาสั้นกระชับ เสียงก้องเหมือนระฆัง สะท้านสั่นอยู่ข้างหู ทำเอาเหล่าสตรีที่อยู่ตรงนั้นพากันตกอกตกใจ
อวี้ถังคิดว่าตอนเขาสนทนาธรรม ทุกคนจะต้องได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแน่
อู๋เหนิงรู้เจตนาของท่านแม่เฒ่าสกุลเผยแต่แรก ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดมาก เริ่มจากเล่าเรื่องราวสั้นๆ ในคัมภีร์ให้ทุกคนฟัง จากนั้นก็ให้เณรน้อยที่ติดตามมาหยิบยันต์คุ้มภัยให้พวกนางเลือก และแจ้งว่าพิธีภาวนาจะทำตอนช่วงเที่ยงของพรุ่งนี้ “นี่เป็นเพียงพิธีทางธรรมเล็กๆ หนึ่งชั่วยามก็เสร็จสิ้นแล้ว วันนี้ต้องให้นายหญิงและคุณหนูทุกท่านชำระกายให้สะอาด งดอาหารติดคาวเลือด กินเจตลอดหนึ่งวันเป็นใช้ได้”
ทุกคนประสานเสียงรับคำว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็หยิบยันต์คุ้มภัยที่อู๋เหนิงให้มาพิจารณาอย่างละเอียด
อู๋เหนิงพาเณรน้อยขอตัวเดินจากไป
ทุกคนเริ่มถกเถียงกันว่าพรุ่งนี้จะทำอาหารเจกันเองหรือจะขอให้วัดเจาหมิงจัดการให้
อวี้ถังเพิ่งจะรู้ตอนนี้เองว่า เหล่าสตรีของสกุลเผยขึ้นเขามา ยังจะพาพ่อครัวติดมาด้วย
มิน่านายท่านสามถึงให้พวกนางติดตามเหล่าสตรีสกุลเผยเข้าวัด
เรื่องกินเรื่องอยู่ล้วนสะดวกสบายยิ่ง!
อวี้ถังรู้สึกเป็นสุขนัก
คนสกุลอู่แห่งหูโจวเดินทางมาถึงวัดเจาหมิงแล้ว เหล่าสตรีสกุลอู่ให้หญิงรับใช้มาส่งเทียบเชิญแก่ท่านแม่เฒ่าสกุลเผย
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยหัวเราะ “อยู่ในวัดไม่ต้องมากพิธีหรอก ให้พวกเขาเข้ามากันเถอะ!”
————————————————————-