ท่านแม่เฒ่าเผยต้องรับแขก พวกคนสกุลเฉินรั้งตัวอยู่ที่นี่ย่อมไม่เหมาะสม ทุกคนจึงหยัดกายขึ้นบอกลา
ท่านแม่เฒ่าครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “สกุลอู่ของหูโจวข้ายังคงเคยได้ยินเป็นครั้งแรก พวกเจ้าไปนั่งที่โถงบุปผากันก่อนเถิด”
ประเด็นคือกลัวคนสกุลอู่พกของขวัญแรกพบมาไม่พอ ทำให้สตรีของสกุลอู่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ทุกคนต่างกระจ่างใจดี พากันเดินไปยังโถงบุปผาที่อยู่หลังโถงหลักด้วยรอยยิ้ม เหลือเพียงนายหญิงรองที่รั้งตัวอยู่คอยช่วยท่านแม่เฒ่ารับแขก
คุณหนูสาม คุณหนูสี่ และคุณหนูห้า หลังจากยามบ่ายของเมื่อวานก็ไม่ได้พบอวี้ถัง ยามนี้พบหน้าย่อมรู้สึกดีใจเป็นพิเศษ ดึงอวี้ถังไปกระซิบกระซาบ “เครื่องหอมที่อารามดับทุกข์ทำส่งไปที่วัดเจาหมิงแล้ว เมื่อเย็นวานพวกเรายังเข้าไปดู ถึงเวลานั้นย่อมโด่งดังเป็นแน่”
เพราะของนั้นตามมากับรถม้าสตรีสกุลเผย ธูปหอมที่เตรียมมอบให้วัดเจาหมิงอยู่ในมือผู้ดูแลที่สกุลเผยส่งมา อวี้ถังจึงไม่เคยถามมาก่อน คาดไม่ถึงว่าเมื่อเย็นวานพวกคุณหนูกลับเข้าไปดูกันแล้ว
นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
คุณหนูรองและอวี้ถังไม่สนิทสนมกันเท่าใด นางและคุณหนูสวีเดินอยู่ด้านหลัง ทำท่าราวกับจะตีสนิทคุณหนูสวี แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ทำให้คุณหนูสวีลอบกลอกตา แต่เห็นแก่หน้าของคุณชายหยาง นางจึงเป็นฝ่ายชวนคุณหนูรองคุย “เมื่อวานเจ้าหลับสบายหรือไม่? ข้ารู้สึกว่าในห้องเซียงฝางมีกลิ่นของจันทน์หอม อบอวลจนข้านอนไม่ได้ทั้งคืน สุดท้ายเพราะเหนื่อยเกินไป จึงค่อยสะลึมสะลือหลับไป” พูดจบ ก็ชี้ไปยังพวกคุณหนูสกุลเผยและอวี้ถังที่เดินอยู่ด้านหน้าพวกนาง “เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกนางคุยเรื่องธูปหอม สกุลพวกเจ้ามีคนที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้อย่างนั้นรึ? ยังมีกลิ่นหอมอื่นอีกไหม? ส่งให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่? ข้าให้คนไปซื้อแล้ว แต่หลินอันเล็กเพียงนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถซื้อเครื่องหอมดีๆ ได้หรือไม่”
คุณหนูรองรู้ว่าสกุลสวีเป็นสกุลอย่างไร ย่อมไม่อยากล่วงเกินคุณหนูสวี ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูสวีต้องแต่งไปสกุลอิน ทั้งคนที่แต่งยังเป็นลูกชายบ้านใหญ่คนเดียวของสกุลอิน อายุสิบเก้าปีก็สอบจิ้นซื่อ…นางรีบเอ่ยว่า “ผู้ที่ชำนาญทำเครื่องหอมคือคู่หมั้นของญาติผู้พี่บ้านใหญ่ เจ้าก็คงรู้จักกระมัง ลูกสาวคนโตบ้านรองของสกุลกู้แห่งหังโจว” นางพูดเสียงแผ่วเบา เล่าเรื่องที่พวกนางช่วยอารามดับทุกข์ทำธูปหอมให้คุณหนูสวีฟัง
คุณหนูสวีได้ยินก็สมองแล่นอย่างว่องไว รอจนคุณหนูรองพูดจบ นางก็ขานว่า ‘อ่อ’ ออกมา “ข้าไม่รู้จักคุณหนูกู้ผู้นี้ แต่ว่าข้ารู้จักกู้เจาหยางของสกุลกู้ เขาเกี่ยวข้องอะไรกับคุณหนูกู้ผู้นี้?”
คุณหนูรองแย้มยิ้ม “นางเป็นน้องสาวของกู้เจาหยาง”
คุณหนูสวีขานรับอีกครั้ง ก่อนเอ่ยว่า “หากข้าจำไม่ผิด นายหญิงของสกุลพวกเขาเป็นภรรยาที่แต่งเข้ามาใหม่? เพียงไม่รู้ว่าเป็นสตรีสกุลใด?”
นางไม่มีภาพจำอันใด ย่อมไม่ได้มีชาติกำเนิดใหญ่โตอะไร ทั้งนางเคยได้ยินมา นายหญิงบ้านรองสกุลกู้นั้นสายตาคับแคบ สามีตัวเองเรียนหนังสือไม่เก่ง ยังกดหัวพวกน้องชายลูกอนุภรรยา ยามนี้บ้านรองไม่มีบุคคลเก่งกาจอันใดแล้ว หากไม่มีกู้ฉ่าง เกรงว่าคงไม่ถูกจัดลำดับอยู่ในสกุลใหญ่ของเจียงหนานไปนานแล้ว
คุณหนูรองกลับแปลกใจว่านางรู้จักกู้ฉ่างได้อย่างไร
คุณหนูสวีเอ่ยว่า “เขาและอินหมิงหย่วนผ่านการสอบรุ่นเดียวกัน”
อินหมิงหย่วน?
คู่หมั้นของคุณหนูสวี
คุณหนูรองมองคุณหนูสวี
คุณหนูสวีผงกศีรษะ ไม่มีความเคอะเขินแม้แต่น้อย เอ่ยอย่างผ่าเผย “ข้าได้ยินว่ากู้เจาหยางเป็นผู้รอบรู้ รูปลักษณ์งดงาม ยามที่อินหมิงหย่วนไปร่วมงานชุมนุมกวี จึงให้เขาพาข้าไปดูเสียหน่อย รู้สึกว่าพอใช้ได้ ไม่ได้รูปงามเหมือนอินหมิงหย่วน แต่ก็แข็งแรงกำยำกว่าอินหมิงหย่วนอยู่บ้าง”
คุณหนูรองเห็นคนใจกล้ามามาก กลับไม่เคยเห็นใครใจกล้ายิ่งกว่าคุณหนูสวี ฟังจบก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร
คุณหนูสี่ที่เดินอยู่ข้างหน้ากลับหันศีรษะกลับมาโดยพลัน ร้อง ‘ว้าว’ ออกมา “พี่สวีเก่งจริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าไปชุมนุมกวีของพวกบุรุษ”
คุณหนูสวีโบกมืออย่างไม่คิดเช่นนั้น “ตั้งแต่เล็กอินหมิงหย่วนก็เรียนหนังสือที่สกุลของพวกเรา ข้าให้เขาพาไปงานชุมนุมกวีมีเรื่องอันใดน่าชื่นชมกัน!”
ทำให้คู่หมั้นรับปากพานางที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งไปเข้าร่วมงานชุมนุมกวีได้ นี่ก็เป็นเรื่องยอดเยี่ยมแล้ว!
พวกคุณหนูสกุลเผยต่างก็มองนางอย่างนับถือ
ความสนใจของอวี้ถังกลับพุ่งไปอยู่ที่คำว่า ‘อิน’ นางมองพวกคุณหนูสกุลเผย ขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะดึงคุณหนูสาม เอ่ยเสียงเบา “สกุลสวีมีความเป็นมาอย่างไร? อินหมิงหย่วนเป็นใครรึ?”
คุณหนูสามชำเลืองมองคุณหนูสวีแวบหนึ่ง เห็นนางจดจ่อพูดคุยกับพวกคุณหนูคนอื่น ก็รีบกระซิบว่า “ปู่เทียดของคุณหนูสวีเคยเป็นอาจารย์ของรัชทายาท รับตำแหน่งเจ้ากรมขุนนาง ปู่ทวดและปู่น้อยล้วนเคยเป็นหัวหน้าขุนนาง ยามนี้ผู้นำสกุลสวีคือบิดาของนาง รับตำแหน่งมหาบัณฑิตตำหนักอู่อิง เจ้ากรมกลาโหม มีอาเป็นผู้ว่าการมณฑลส่านซี ก่อนหน้านี้อาอีกคนก็ดำรงตำแหน่งขุนนางสำนักตรวจการ ฤดูใบไม้ผลิปีนี้โยกย้ายไปเป็นผู้บังคับการขนส่งเกลือของเจ้อเจียง อินหมิงหย่วนคือคู่หมั้นของนาง เป็นซู่จี๋ซื่อเรียนรู้งานในกรมอาญา”
ผ่านไปพักใหญ่อวี้ถังจึงค่อยเข้าใจ
ก็หมายความว่า ท่านแม่เฒ่าของสกุลหลีและนายหญิงสามสกุลหยางล้วนเป็นครอบครัวฝ่ายสามีของคุณหนูสวีในอนาคต
ไม่แปลกใจที่นางจะเคารพนอบน้อมนายหญิงสามสกุลหยางถึงเพียงนั้น
คุณหนูสามเห็นคุณหนูสวียังคงพูดคุยกับพวกพี่น้อง ก็เอ่ยอย่างรวดเร็ว “นางเป็นลูกหลง แม้ว่าอินหมิงหย่วนจะเรียนหนังสือเก่ง แต่ร่างกายกลับไม่ค่อยแข็งแรงนัก งานแต่งของสกุลสวีและสกุลอินเป็นการตัดสินใจของผู้อาวุโสรุ่นก่อน ได้ยินว่าฮูหยินสวีไม่พอใจอย่างยิ่ง เอ่ยออกมาว่า ได้ทำนายดวงชะตาให้คุณหนูสวีแล้ว คุณหนูสวีไม่อาจแต่งออกไปเร็วได้ ดังนั้นต้องรั้งนางไว้จนถึงอายุยี่สิบ ทั้งสองคนจึงยังไม่ได้แต่งงานกัน”
นี่คือกลัวว่าอินหมิงหย่วนจะด่วนจากอย่างนั้นรึ?
สกุลสวีนับว่ากล้าหาญจริงๆ!
มารร้ายในใจอวี้ถังเช็ดเหงื่อที่หน้าผากไม่หยุด ก่อนจะเหลือบมองด้านหลังอย่างรวดเร็ว เอ่ยซุบซิบกับคุณหนูสาม “เช่นนั้นสกุลอินไม่เอ่ยอันใดรึ?”
คุณหนูสามเม้มปากแย้มยิ้ม “อินหมิงหย่วนชื่นชอบคุณหนูสวี หากไม่ใช่นางก็จะไม่แต่ง”
“หา!” อวี้ถังร้องอย่างตกใจ เมื่อตั้งสติได้ก็รีบลงเสียง อดชำเลืองมองด้านหลังไม่ได้
ครั้งนี้นางไม่ได้โชคดีเมื่อที่ผ่านมา ประสานสายตากับคุณหนูสวีพอดี
อวี้ถังส่งยิ้มให้คุณหนูสวีอย่างร้อนตัว
คุณหนูสวีสมองแล่นอย่างว่องไว ทิ้งพวกคุณหนูสกุลเผย ก่อนจะสาวเท้าเข้ามาเกาะไหล่ของอวี้ถัง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องสาวกำลังสืบเรื่องข้าจากคนอื่นใช่หรือไม่? ข้าไม่ชอบกลิ่นจันทน์หอมในวัด น้องสาวส่งกลิ่นอื่นให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่!”
อวี้ถังส่งยิ้มกระดากอายให้นาง เอ่ยว่า “ข้าไม่ชอบกลิ่นของเครื่องหอม ข้าชอบน้ำปรุงดอกไม้ ไม่อย่างนั้น ข้ามอบให้เจ้าครึ่งขวดดีหรือไม่? ครั้งนี้ออกจากเรือน ข้าพกมาเพียงหนึ่งขวดเท่านั้น”
น้ำปรุงดอกไม้นี้ อวี้เหวินและนายท่านอู๋ซื้อมาเป็นของฝากให้นางยามที่ไปเยือนหนิงปัวครั้งก่อน
ได้ยินว่าเป็นกลิ่นของกุหลาบ ทั้งยังกลิ่นหอมยิ่ง
แต่น้ำปรุงดอกไม้ต้องปิดฝาให้สนิท ไม่อย่างนั้นกลิ่นก็จะจางเร็ว
ดีที่พวกนางพักอยู่ในวัดเพียงสี่ห้าวันเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแม้นางจะมอบน้ำหอมดอกไม้ให้คุณหนูสวีครึ่งขวด คาดว่าก็คงไม่มีขวดให้ใส่
คุณหนูสวีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไอหยา ในที่สุดก็พบคนที่ชอบน้ำปรุงดอกไม้เหมือนกับข้าแล้ว รอหลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว ข้าจะไปเอาที่เจ้า”
อวี้ถังรู้สึกว่าท่าทางของนางไม่เหมือนจะมาเอาน้ำปรุง กลับเหมือนจะมาสืบความลับมากกว่า…
แต่ในเมื่อรับปากแล้ว แม้ว่าคุณหนูสวีจะมาสืบความลับจากนาง อวี้ถังก็ทำได้เพียงฝืนใจต้อนรับแล้ว
ไม่นานทุกคนก็มานั่งที่โถงบุปผา
พวกคุณหนูสกุลเผยต่างก็รีบเข้าไปปรนนิบัติกตัญญูต่อหน้าท่านย่าของตัวเอง
คุณหนูห้าจึงอยู่กับอวี้ถัง
นายหญิงสามสกุลหยางนั่งอยู่ด้านข้างท่านแม่เฒ่าอี้ พูดคุยเรื่องในอดีต ฟังจากบทสนทนา คล้ายว่าผู้ใหญ่ในเรือนจะเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกับท่านผู้เฒ่าอี้
คุณหนูสวีมองซ้ายแลขวา ก่อนจะไปยืนกับคุณหนูห้าและอวี้ถัง
นางถามคุณหนูห้า “สกุลพวกเจ้ากินข้าวกลางวันเมื่อใดกันรึ?”
คุณหนูห้าสั่นศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
คุณหนูสวีทำท่าราวกับจนใจ ถามอีกครั้งว่า “เช่นนั้นปกติสกุลพวกเจ้ากินข้าวกลางวันเวลาใด?”
คุณหนูห้าเอ่ยว่า “ประมาณเกือบยามอู่”
คุณหนูสวีพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะควักนาฬิกาพกสีทองเรือนหนึ่งออกมาจากอก เปิดออกดัง ‘พลั่ก’ ดูแล้วก็เอ่ยอย่างหมดหวังอยู่บ้าง “ยังเหลือกว่าหนึ่งชั่วยาม”
ดวงตาของอวี้ถังและคุณหนูห้าล้วนพุ่งไปที่นาฬิกาพกของคุณหนูสวี คุณหนูห้ายิ่งเอ่ยว่า “นี่คือนาฬิกาพกอย่างนั้นรึ? งามจริงๆ”
คุณหนูสวีผงกศีรษะเล็กน้อย ยื่นมือออกมา “เจ้าอยากดูหรือไม่?”
คุณหนูห้ารีบส่ายศีรษะระรัว เอ่ยว่า “ท่านพ่อของข้าก็มีเรือนหนึ่ง เพียงแต่ข้าไม่เคยเห็นขนาดเล็กเท่านี้มาก่อน”
ชาติก่อนอวี้ถังก็เห็นหลี่ตวนเคยใช้ แต่หมือนกับที่คุณหนูห้าพูด ไม่เคยเห็นขนาดเล็กเช่นนี้มาก่อน
คุณหนูสวีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “เป็นเพราะสั่งทำโดยเฉพาะ แต่ยังคงเดินได้แม่นยำไม่น้อย”
คุณหนูห้าจึงเอ่ยว่า “เจ้าหิวแล้วรึ? ให้ข้าเรียกอาซานยกขนมเข้ามาหรือไม่?”
“ไม่เป็นไร” คุณหนูสวีถอนหายใจ เผยท่าทีเบื่อหน่าย เอ่ยอย่างห่อเหี่ยว “ข้าไม่หิว ข้าเพียงอยากรู้ว่าเมื่อใดพวกเราจะแยกย้ายกัน ข้าอยากไปดูทางน้องอวี้ว่านางพกน้ำปรุงดอกไม้กลิ่นอะไรมา”
เจ้ามิสู้พูดว่าเบื่อที่ต้องรวมตัวกันเช่นนี้!
อวี้ถังและคุณหนูห้าพากันกลอกตาให้นางอย่างพร้อมเพรียงกัน
นางหัวเราะ เอ่ยถามคุณหนูห้า “ญาติผู้พี่ใหญ่ของเจ้ามารึยัง? รู้หรือไม่ว่าพักอยู่ที่ไหน?”
คุณหนูห้าเอ่ยว่า “นอกจากเขาจะมาถึงแล้ว ญาติผู้พี่รองและน้องชายของข้าก็เข้ามาแล้วเช่นกัน พวกเขาคงอยู่กันที่เรือนนอก! แต่พักที่ไหนข้าไม่ได้ถาม เจ้าจะทำอะไรรึ? อยากให้ข้าตามผู้ดูแลมาถามหรือไม่?”
คุณหนูสวีกระซิบข้างหูพวกนาง “สกุลหยางคุยโวเรื่องญาติผู้พี่ใหญ่ของเจ้า กล่าวว่ามีความสามารถยิ่งกว่าอาสามของเจ้า ข้าอยากเห็นว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร”
คุณหนูห้าชะงักไป เอ่ยพึมพำ “มีความสามารถยิ่งกว่าอาสาม?”
คำพูดนี้เหตุใดฟังแล้วจึงรู้สึกอึดอัดเช่นนี้?
อวี้ถังนึกถึงเรื่องพวกนั้นในชาติก่อน คิดว่าสกุลหยางกำลังจะสร้างอำนาจให้เผยถง
ชาติก่อนนางไม่รู้ว่าเผยถงแต่งงานกับใคร แต่เขาแต่งในเมืองหลวง ชาตินี้มีความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวง ไม่รู้ว่าเผยถงจะเดินซ้ำรอยเดิมในชาติก่อนหรือไม่
คุณหนูสวีเห็นเช่นนั้นก็ถามคุณหนูห้า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าอาสามของเจ้ามักมาน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าเผยยามใด?”
คุณหนูห้าเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไม?”
คุณหนูสวีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้าก็ถามไปอย่างนั้น”
อวี้ถังเหลือบมองคุณหนูสวีไปที
คุณหนูสวีหัวเราะ เอ่ยกับอวี้ถังและคุณหนูห้า “ยามที่เพิ่งเข้ามาข้าเห็นข้างนอกมีต้นทับทิมอยู่ พวกเราไปเก็บทับทิมดีหรือไม่?”
คุณหนูห้าและอวี้ถังมองสตรีที่อยู่เต็มห้อง ก่อนจะส่ายศีรษะพร้อมเพรียงกัน
คุณหนูสวีตัดสินใจไปด้วยตัวเอง
อวี้ถังคิดว่าวัดเจาหมิงยามนี้ค่อนข้างวุ่นวาย จึงดึงคุณหนูสวีไว้ “ยามที่พระอาจารย์ให้พรเรา พวกเราก็ต้องเขียนชื่อสกุล วันเดินปีเกิดเหมือนปกติอย่างนั้นรึ? หากมีคนมาเปลี่ยนแปลงจะทำอย่างไร?”
วันเดือนปีเกิดนั้นมีความเกี่ยวพันกับหนทางและชะตาในวันข้างหน้า ปกติมักไม่บอกให้คนอื่นรู้ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง
คุณหนูสวีถูกดึงความสนใจ ก็รีบเอ่ย “เมื่อก่อนตอนที่พวกเราอยู่วัดหงหลัวก็เขียนเช่นกัน แต่จะใส่ไว้ในซองแดง ทั้งใช้วิธีพิเศษในการปิดผนึก ก่อนจะปิดไว้ในกล่องไม้อย่างมิดชิด เจ้าวางใจ ไม่อาจมีคนรู้ได้หรอก”
“เช่นนั้นก็ดี!” อวี้ถังเห็นเช่นนั้นก็คล้ายโล่งอกขึ้นมา เอ่ยขอคำชี้แนะเรื่องพิธีขอพรจากคุณหนูสวีต่อ
คุณหนูสวีเล่าประสบการณ์ของตัวเองอย่างน้ำไหลไฟดับ ไม่เอ่ยถึงเรื่องออกไปข้างนอกอีก
———————-