บทที่ 171: ประวัติที่ยาวเหยียด…
เขาได้คิดทุกอย่างโดยละเอียดแล้ว
หากเขาต้องการจะแย่งชิงวิญญาณพิเศษมาจากยมทูตนอกอาณาเขต สิ่งแรกที่เขาต้องรู้ให้ได้ก็คือชื่อของวิญญาณตนนี้
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในเมืองเป่าอันยังมียมทูตนอกอาณาเขตอยู่อีกมากเท่าไหร่ หากตัวตนของวิญญาณพิเศษคือใครบางคนที่สามารถสร้างประโยชน์ในการก่อตั้งยมโลกได้ บุคคลที่เก่งในด้านมนุษยศาสตร์ เขาก็เตรียมพร้อมที่จะยอมแพ้ในการชิงวิญญาณตนนั้นกลับมาแล้ว
เพราะท้ายที่สุด มันก็ไม่คุ้มกันหากเขาไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงขุมทรัพย์ของกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ อีกทั้งมันยังทำให้ชีวิตของตัวเขาเองตกอยู่ในอันตราย
“สวัสดีครับท่านผู้ชม” เสียงพูดคุยในห้องโถงรวมเงียบลงทันทีที่ผู้ประกาศข่าวชายเอ่ยขึ้น
“วันนี้วันที่ 6 มีนาคม ฤดูใบไม้ร่วง ขอต้อนรับทุกท่านสู่การรายงานข่าวในช่วงเย็น”
ผู้ประกาศข่าวชายแย้มยิ้ม “อันดับแรกเราจะมาพูดถึงพาดหัวข่าวสำคัญสำหรับคืนนี้กันครับ”
ดวงตาของฉินเย่จับจ้องไปที่หน้าจอตั้งใจฟัง เหล่าอาจารย์ที่อยู่ข้าง ๆ เขา รวมถึงหลินฮั่นต่างก็จ้องไปที่ฉินเย่ด้วยสายตาประหลาดใจ ทำไมจู่ ๆ คนที่ไม่เคยก้าวเท้าเข้ามาในห้องโถงรวมอย่างเด็กหนุ่มคนนี้ถึงสนใจความเป็นไปของโลกขึ้นมา? หรือว่าสงครามโลกครั้งต่อไปกำลังจะมาถึงแล้ว?
“เลขาธิการทั่วไปผู้ซึ่งได้เป็นประธานใหญ่ในการประชุมสามัญเกี่ยวกับการปฏิรูปครั้งที่ 24 และเหล่าคณะกรรมการกลางได้ตัดสินใจที่จะดำเนินการปฏิรูปโดยปราศจากการประนีประนอมใด ๆ หวังจ้าวซง หลี่หยานชิ่ง เฉิงหยางและสมาชิกคนอื่นต่างก็เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้”
“ท่านนายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมของเหล่าผู้นำจีน-ยุโรปครั้งที่ 9 เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทางสหราชอาณาจักร”
“ท่านกู่ชิง อดีตรองอธิบดีของสำนักงานบริหารการวางผังเมืองส่วนกลางได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 92 ปีจากอาการป่วย งานฌาปนกิจศพจะถูกจัดขึ้นที่สุสานชิงหลงชานในเวลาเช้าตรู่ จากนั้นจะส่งไปศพของเขายังเมืองเป่าอัน มณฑลอันฮุ่ยเพื่อจัดงานศพในตอนเที่ยงของวันครับ”
เขานี่เอง!
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นทันที ขณะที่ความคิดภายในหัวของเขาเริ่มทำงานอย่างรวดเร็ว
หลังจากได้ใช้ชีวิตมาเป็นเวลานาน เขารู้ดีว่าเรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องขบคิดอะไรมาก เพราะข้อมูลที่ขาดหายไปจะเดินทางมาหาเขาด้วยตัวของมันเอง
เหมือนกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้
สำนักงานบริหารการวางผังเมืองส่วนกลาง…เขาจำได้ว่าทุกเมืองจะต้องมีสำนักงานวางผังเมืองเป็นของตนเอง และสำนักงานบริหารการวางผังเมืองส่วนกลาง…ก็คือสถานที่ประสานงานของสำนักงานทั้งหมด และในฐานะของรองอธิบดีผู้นี้…อาจกล่าวได้ว่าในหลายสิบปีที่ผ่านมา งานวางผังเมืองของเมืองต่าง ๆ ทั่วทั้งแผ่นดินจีนล้วนผ่านมือของเขามาแล้วทั้งสิ้น!
การวางผังเมืองไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการตรวจสอบและอนุมัติแบบร่างเท่านั้น
เมืองจะต้านน้ำท่วมได้อย่างไร? จะสามารถกักเก็บน้ำได้หรือไม่? การออกแบบนั้นเหมาะสมกับสภาพอากาศและปัจจัยอื่น ๆ หรือเปล่า? หากมีการขยายเมืองในอนาคตจะสามารถขยายเขตเมืองได้อย่างไร? พื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานของเมืองจะสามารถรองรับการติดตั้งเทคโนโลยีระดับสูงการและการพัฒนาเมืองและหมู่บ้านบริเวณใกล้เคียงได้หรือไม่?
แผนผังของเมืองแต่ละแห่งล้วนเกิดจากน้ำพักน้ำแรง หยาดเหงื่อและหยาดน้ำตาของนักออกแบบและนักวางแผนจำนวนนับไม่ถ้วน!
ถึงแม้ว่า 99% ของเมืองในจีนจะถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของเมืองโบราณที่ตั้งอยู่แต่เดิม แต่การพัฒนาขึ้นใหม่ก็ยังเป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างไม่น่าเชื่อ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมยมโลกอื่น ๆ ถึงยอมเดินทางหลายพันไมล์เพียงเพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณของชายผู้นี้! ตัวตนของเขานั้นน่าอัศจรรย์จนสามารถติดอันดับสามของพาดหัวข่าวได้!
นี่มันปลาตัวใหญ่ชัด ๆ!
ฉินเย่ยังคงนั่งดูข่าวต่ออย่างเงียบ ๆ
รายละเอียดการเสียชีวิตของคนใหญ่คนโตแบบนี้จะต้องประกาศให้ผู้คนได้รับทราบผ่านการรายงานข่าวระดับชาติแน่นอน
บริเวณโดยรอบเงียบจนฉินเย่สามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นและจังหวะการหายใจที่เร็วขึ้นของตัวเอง เขาปรับท่านั่งของตัวเองเมื่อผู้ประกาศข่าวพูดสรุปรายงานข่าวสองหัวข้อแรก และทันทีที่เตาเผาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ เด็กหนุ่มก็ยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว
“ท่านกู่ชิง อดีตรองอธิบดีของสำนักงานบริหารการวางผังเมืองส่วนกลางได้เสียชีวิตจากอาการป่วยด้วยวัย 92 ปี”
“นายกู่ชิงเกิดเมื่อปีค.ศ. 1938 ท่านเป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิชาการกลุ่มแรกที่ได้ไปศึกษาในต่างประเทศหลังจากการก่อตั้งของประเทศจีนและจบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมจากคณะสถาปัตยกรรมบาร์ตเล็ตต์ของ Univercity of Lodon”
“ตั้งแต่เดินทางกลับมายังประเทศจีน ท่านก็ได้รับตำแหน่งในฐานะผู้อำนวยการของสำนักงานบริหารการวางผังเมืองประจำเมืองเป่าอัน รองนายกเทศมนตรีประจำเมืองเป่าอัน ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารการวางผังเมืองของเมืองไดซาน ผู้อำนวยการของสำนักงานบริหารการวางผังเมืองประจำมณฑลอันฮุ่ย….”
ฉินเย่ข่มความรู้สึกตื่นเต้นที่เอ่อล้นขึ้นมาภายในใจ ขณะชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสีย เขาไม่สามารถระบุได้ว่าตอนนี้มียมทูตจากยมโลกแห่งอื่นอยู่มากเท่าไหร่ที่พยายามแทรกซึมเข้ามาในเมืองเป่าอัน และคนเหล่านั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้หากเขาลงมือทำอะไรสักอย่าง
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เขาสามารถระมัดระวังและซ่อนตัวอยู่ในหน่วยสอบสวนพิเศษราวกับหนูแฮมสเตอร์ตัวน้อยได้ ดังนั้นเขาจะต้องหาจุดกึ่งกลางระหว่างบทบาทหน้าที่ของเขาทั้งสองอย่างให้ได้เสียก่อน
เห็นได้ชัดว่าผู้ประกาศข่าวไม่ได้สนใจความคิดภายในใจของฉินเย่เลยสักนิด และเขายังคงอ่านข่าวต่อไปโดยไม่เสียจังหวะ “ในปีค.ศ. 1973 ในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานบริหารการวางผังเมืองของเมืองไดซานท่านได้เป็นหัวหน้านักออกแบบที่รับผิดชอบในการวางผังเมืองโดยรวมของเมืองหลงเจียง….”
ฉินเย่อ้าปากค้าง เหมือนกับหนูที่ได้เห็นชีสก้อนโต ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ไม่น่าเชื่อ…” อาจารย์ผู้สอนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาขณะที่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “เมืองหลงเจียง…หัวหน้านักออกแบบ น่าเสียดายจริง ๆ ที่พวกเราต้องสูญเสียผู้มีความสามารถระดับแนวหน้าแบบนี้ไป”
“นั่นสิ หัวหน้านักออกแบบของเมืองหลงเจียง เขาเป็นที่รู้จักในระดับสากลเลยไม่ใช่หรือ?”
ฉินเย่เพียงยิ้มกับคำพูดของคนทั้งหมด
เมืองหลงเจียงคือเมืองแห่งแรกที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ หลังจากการปฏิรูปได้เริ่มขึ้น และใช้เวลาเพียงสามทศวรรษในการเปลี่ยนจากพื้นที่รกร้างเป็นเมืองแห่งนวัตกรรมอันโด่งดัง!
เราไม่คิดเลยว่าทั้งหมดนั้นจะเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของผู้ชายคนนี้!
ต้องแย่งเขากลับมาให้ได้!
นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจได้ในที่สุด
ตอนนี้ยมโลกของเขาไม่มีใครเหมาะไปมากกว่าชายผู้นี้อีกแล้ว! มันคือความเสี่ยงที่เขาเต็มใจจะรับมา!
ทว่ามันยังไม่หมดเพียงเท่านั้น
ผู้ประกาศข่าวยังคงรายงานถึงความสำเร็จเพื่อเป็นเกียรติแก่การจากไปของเขาอย่างต่อเนื่อง!
“ในปีค.ศ. 2001 ท่านได้นำทีม 4 และทีม 8 ของบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งประเทศจีนเดินทางไปที่ประเทศแอฟริกา ที่ซึ่งพวกเขาได้ช่วยงานก่อสร้างในซูดาน นูเบีย ซิมบับเว โรดีเซีย โมซัมบิก มาดากัสการ์และไนจีเรีย รวมถึงเมืองหลวงสามแห่งและโครงการใหญ่ ๆ อีกสองสามโครงการ ทั้งหมดนี้ล้วนถูกดำเนินการภายใต้ความดูแลของท่านทั้งสิ้น”
เป็นปลาที่ตัวใหญ่อะไรขนาดนี้!
เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงปลาคาร์ฟ แต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นวาฬเพชฌฆาตเองเหรอเนี่ย?!
ฉินเย่ขจัดความรู้สึกประหลาดใจของตัวเองออกไปและนั่งฟังข่าวอย่างตั้งใจ “ตามปรารถนาของผู้เสียชีวิต เถ้ากระดูกของท่านจะถูกย้ายไปไว้ที่บ้านเกิดของท่านในเมืองเป่าอันตอนเที่ยงวัน ท่านรองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการของสำนักงานบริหารการวางผังเมืองส่วนกลางคนปัจจุบัน ท่านผู้ว่าราชการมณฑลและรองเลขาธิการประจำมณฑลอันฮุ่ย นายกเทศมนตรีและเลขาธิการของเมืองเป่าอัน…และแขกผู้มีเกียรติท่านอื่น ๆ จะเดินทางไปเข้าร่วมพิธีศพของท่านกู่ชิงด้วยตัวเองครับ…”
“และตอนนี้เราจะมาพูดถึงข่าวต่อไปกันครับ…”
ฉินเย่ยกยิ้มให้กับหน้าจอโทรทัศน์ ไม่กี่วินาทีต่อมา หัวใจของเขาก็เต้นแรงด้วยความดีใจ เด็กหนุ่มก็อดใจไม่ไหวหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฮ่า ๆๆๆๆ!!!” อาจารย์อีกคนท่านที่นั่งอยู่ด้วยกันต่างมองเขาราวกับเพิ่งเห็นผี
เขาเสียสติไปแล้วหรือ?
นี่มัน…เรื่องนี้ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับนายเลยสักนิด นอกจากนี้…เรากำลังพูดเรื่องการเสียชีวิตของบุคคลระดับสูงและพิธีศพของเขาอยู่ไม่ใช่เหรอ? นายจะไม่เคารพผู้ตายมากไปหน่อยหรือไง?
“ฮ่า ๆ ๆ…เอ่อ…” หลังจากหัวเราะเสียงดังมานานกว่าสองวินาที ฉินเย่ก็สัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่ามีบางสิ่งผิดปกติ และเขาก็รีบกระแอมออกมาก่อนจะหันไปมองหลินฮั่นด้วยแววตาเกี้ยวโกรธ “คุณเป็นอะไรเนี่ย?! อายุเท่าไหร่แล้ว? ทำไมต้องมาจั๊กจี้ผมโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ด้วย? นั่งดูข่าวเฉย ๆ จะตายหรือไง?”
ทักษะในการหันเหความสนใจเต็มสิบ!
หลินฮั่นมองฉินเย่ด้วยสีหน้ามึนงง
“ช่างเถอะ หยุดแกล้งคนอื่นแล้วดูข่าวต่อได้แล้ว” ฉินเย่เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก่อนจะหันไปสนใจโทรทัศน์ต่อ
อะไรของนาย?!
ใช้เวลากว่าสองวินาทีเต็มกว่าหลินฮั่นจะเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเขาก็ลุกขึ้นยืน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะยอมปล่อยไปแน่!
“ให้ตายเถอะ ผมจะ…”
“ชู่ววว” พร้อมกับสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมา ฉินเย่ดึงให้หลินฮั่นนั่งลงตามเดิมโดยที่ไม่ละสายตาออกจากหน้าโทรทัศน์ “นั่งเงียบ ๆ แล้วดูข่าวไป อย่ารบกวนคนอื่น เข้าใจไหม?”
สีหน้าของเขาฉายชัดถึงความไม่พอใจ
“ผม…”
“ก็ได้ ก็ได้ ไปเถอะ มันก็แค่แผนการสอนเท่านั้น…คุณจะกังวลอะไรขนาดนั้น…” ฉินเย่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าโมโหขณะที่โบกมือก่อนจะเดินจากไป
แต่ละก้าวของเขานั้นแผ่วเบาและนุ่มนวล
สามวินาทีต่อมา
“อาจารย์หลิน คุณเป็นอะไร?”
“ทำไมคุณถึง…มีสีหน้าแบบนั้น?”
“ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่นี้พวกคุณกำลังคุยเรื่องแผนการสอนกันอยู่หรอกเหรอ? แล้วนี่คุณไม่ตามเขาไปอีกเหรอ?”
“อย่ายุ่งกับผมเลย…ผมแค่อยากอยู่คนเดียว…ผมอยากดูโทรทัศน์เงียบ ๆ…”
ฉินเย่จะไปสนใจคนที่เขาเคยหักอกได้อย่างไร? เหล็กขั้วเดียวกันย่อมผลักกันเป็นธรรมดา ฉินเย่เข้าใจข้อเท็จจริงเรื่องนี้ดี ดังนั้นเรื่องของหลินฮั่นจึงหายไปจากหัวของเขาทันทีที่เขาเดินกลับไปที่ห้องพัก
เขารีบเปิดดูตารางการสอนของตัวเองและตรวจดูอย่างละเอียดทันที
ตอนนี้เขารู้ชื่อของวิญญาณพิเศษตนนั้นแล้ว ต่อไปก็คือการตรวจสอบจำนวนยมทูตนอกอาณาเขตที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองเป่าอันในตอนนี้ แต่การที่จะทำสิ่งนี้ เขาจำเป็นจะต้องออกไปจากอาณาเขตของสำนักฝึกตนแห่งแรกให้ได้เสียก่อน
น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกวิทยาเขตได้ทั้งนั้น พวกเขาได้รับอนุญาตให้สามารถหยุดได้แค่เดือนละหนึ่งวันเท่านั้นเนื่องจากทางสำนักเอากฎระเบียบแบบเดียวกับค่ายทหารมาใช้
ดังนั้นตัวเลือกเพียงอย่างเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือตรวจดูตารางการสอน
“สำนักฝึกตนเริ่มเปิดภาคการศึกษาแรกในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ หรือพูดอีกอย่างก็คือเดือนแรกของการสอนจะจบลงในวันที่ 17 มีนาคม…” นิ้วของเขาไล่ไปตามตารางการสอนและหยุดลงที่วันที่มีเครื่องหมายสีแดง “วันนี้แหละ!”
มันคือวันที่ทำการทดสอบประเมินเบื้องต้นของเหล่านักเรียน!
ทุกมหาวิทยาลัยและโรงเรียนล้วนมีการประเมินที่คล้ายกันนี้ทั้งสิ้น และสำนักผู้ฝึกตนแห่งแรกเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ที่สำคัญที่สุด…
เขาคืออาจารย์ของสาขาการต่อสู้!
และการทดสอบประเมินเบื้องต้นของนักเรียนในสาขาการต่อสู้ทุกคนก็จำเป็นจะต้องดำเนินการผ่านขั้นตอนการต่อสู้จริงเท่านั้น!
“ตามปกติแล้วพวกเราอาจจะไม่ได้รับโอกาสให้มีการต่อสู้จริง แต่ตอนนี้…” เขาหัวเราะเบา ๆ และชี้ไปที่ตารางสอน “พวกเจ้าอาจจะเป็นยมทูตจากยมโลกตนเอง…และแม้ว่าพวกเจ้าจะพยายามไม่สร้างความวุ่นวายหรือเป็นจุดเด่นไม่แค่ไหน แต่…พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของพวกเจ้าทั้งหมดจริง ๆ”
“ที่นี่มีวิญญาณเร่ร่อนอยู่มากมาย ไม่ต้องพูดถึงพวกวิญญาณอาฆาตที่ยังไม่ได้รับการปัดเป่า ทันทีที่พวกมันตนใดสัมผัสได้ถึงพลังของยมทูต พวกมันก็จะพุ่งเข้าหาราวกับแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟเชียวล่ะ นี่เป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณพื้นฐานที่ต้องการจะขับไล่ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าพวกมัน และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้พวกมนุษย์ค้นพบการมีอยู่ของเชาโยวเต๋า พวกเจ้าคิดว่าตัวเองจะได้รับการยกเว้นอย่างนั้นเหรอ?”
เขาพิจารณาถึงความเป็นไปได้อื่น ๆ และเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น หลังจากตัดสินใจได้แล้วเขาก็ทิ้งความกังวลทั้งหมด และหันไปสนใจหน้าที่ของตัวเองในฐานะอาจารย์ต่อ
การเรียนรู้ด้วยตนเองประจำวันจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เย็นนี้เป็นต้นไป เพื่อเห็นแก่คะแนนการสอน อาจารย์ผู้สอนเกือบทุกคนต่างมาดูแลการฝึกซ้อมการต่อสู้ของนักเรียนตัวต่อตัวอย่างใกล้ชิด ฉินเย่เองก็ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปที่โรงยิมทันทีหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ และเขาก็พบว่ามีนักเรียนกลุ่มใหญ่ในชุดรายพรางได้ไปถึงที่นั่นก่อนเขาแล้ว
เขาไม่ได้มาถึงเร็วนัก และอาจารย์คนอื่นของสาขาการต่อสู้ล้วนอยู่ที่นั่นก่อนแล้วเมื่อเขาไปถึง หลินฮั่นยืนอยู่ตรงกลางวงของนักเรียนทั้งหมดและกำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่
“แม้ว่าสำนักฝึกตนแห่งแรกจะยังไม่ได้แนะนะวิธีการฝึกตนให้พวกคุณอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะถึงตอนนั้นพวกคุณห้ามลืมพื้นฐานของตัวเองโดยเด็ดขาด ต่อให้พวกคุณจะประสบความสำเร็จในการขึ้นเป็นผู้ฝึกตนขั้นยมเทพแล้วก็ตาม พลังและวิชาที่พวกคุณปล่อยออกมาล้วนขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวทั้งสิ้น และยิ่งเป็นวิชาที่มีระดับความแข็งแกร่งสูง ระยะเวลาที่ใช้ในการทำให้ร่างกายเย็นลงก็จะยิ่งนาน และอาจจะมีผลเสียต่อร่างกายได้ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกคุณต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่งทั้งในเรื่องของศิลปะการต่อสู้และการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน”
“อาจารย์หลิน ศิลปะการต่อสู้จะใช้ได้ผลกับพวกวิญญาณได้หรือเปล่าครับ?”
“ไม่นะ…ตอนที่อยู่ในตระกูลฉันแทบไม่ได้สนใจเรียนศิลปะการต่อสู้เลยสักนิด…”
“ต่อยผีเนี่ยนะ? นั่นมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
หลินฮั่นปล่อยกำปั้นของตัวเองออกไปกลางอากาศ “ไม่เลยสักนิด เมื่อพวกคุณขึ้นเป็นขั้นยมเทพ พวกคุณจะสามารถใส่พลังปราณเข้าไปในหมัดและลูกเตะของตัวเองในทุกครั้งที่ปล่อยออกไป และพวกวิญญาณก็จะไม่สามารถต้านการโจมตีของพวกคุณได้”
“คุณจะคิดแบบนี้ก็ได้ เขตไล่ล่าแต่ละแห่งจะมีวิญญาณที่จำเป็นจะต้องใช้การเคลื่อนไหวที่ทรงพลังของพวกคุณในการจัดการ แต่แท้ที่จริงแล้วมีสถานที่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ได้รับการจัดระดับจากทางรัฐบาลให้เป็นเขตไล่ล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่อัตราการเกิดเหตุการณ์เหนือธรรมชาติพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก
นั่นทำให้สถานที่บางแห่งไม่ควรจะเรียกว่าเขตไล่ล่าด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นสถานที่เหล่านั้นก็ยังอันตรายต่อประชาชนทั่วไปอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าพวกมันต้องได้รับการกำจัด พวกคุณหลายคนจะพบว่าตนเองต้องรับมือกับวิญญาณจำพวกนี้ในอนาคตอันใกล้ แล้วพวกคุณแน่ใจหรือว่าตัวเองต้องการใช้เคล็ดวิชาสังหารกับวิญญาณที่อ่อนแอพวกนี้ทุกครั้งที่พวกมันปรากฏตัวขึ้น? พวกคุณอาจจะหมดแรงก่อนที่จะปัดเป่าพวกมันทั้งหมดเสียด้วยซ้ำ!”
เขายื่นแขนของตัวเองออกไปทันทีที่พูดจบ และชั้นพลังปราณสีขาวจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับการเกร็งกล้ามเนื้อ ก่อนที่เขาจะส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ และทำท่ากดหมัดของตัวเองลงไปที่พื้น สนามที่มีพื้นที่ประมาณหนึ่งตารางเมตรเบื้องหน้าของเขาจมลงไปพร้อมกับเสียง ‘ครืนนนน’ ที่ดังขึ้น
หางตาของซู่เฟิงกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่เอ่ยเบา ๆ ว่า “หลิน…อาจารย์หลิน ในฐานะเพื่อน ผมขอเตือนด้วยความหวังดีว่าคุณจะต้องชดใช้ค่าเสียหายสำหรับการทำลายทรัพย์สินสาธารณะด้วยตัวเองนะครับ…เพราะฉะนั้นครั้งหน้าคุณช่วยใช้หัวของคุณคิดก่อนจะทำอะไรลงไปได้หรือเปล่า?!”