บทที่ 172: หอบรรพบุรุษ

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 172: หอบรรพบุรุษ

หลินฮั่นลดมือของตนลงขณะที่กวาดสายตามองเหล่านักเรียน ทุกคนก้มหน้าลงราวกับต้องการบอกว่าพวกเขาไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

ความเงียบที่น่าอึดอัดปกคลุมไปทั่วกลุ่มนักเรียน แม้แต่ซู่เฟิงก็ขมวดคิ้วยุ่งขณะที่ยกมือคลึงขมับตัวเอง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับเพื่อนร่วมทีมจอมงี่เง่าของตัวเองดี

“หากไม่ใช่เพราะว่านายแข็งแรงเหมือนวัว ฉันก็คงจะเตะนายกลับบ้านไปนานแล้ว!” ซู่เฟิงเอ่ยเสียงลอดไรฟันเบา ๆ

ในขณะนั้นเอง เสียงระฆังก็ดังขึ้น บ่งบอกว่าช่วงการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว และมันก็ช่วยทำลายสถานการณ์ที่น่าอึดอัดไปด้วยเช่นกัน ซู่เฟิงลุกขึ้นยืนพร้อมกับกระแอมเบา ๆ พยักหน้าให้กับฉินเย่และเอ่ยเสียงดัง “ตั้งแถว!”

ด้วยคำสั่งที่เรียบง่าย นักเรียนของสาขาการต่อสู้ที่ตั้งตารออยู่แล้วก็รีบจัดแถวอย่างเรียบร้อยทันที ซู่เฟิงจัดอันดับและตำแหน่งของคนทั้งหมด และไม่นาน ค่ายกลทรงสี่เหลี่ยมก็ปรากฏขึ้น ณ จุดกึ่งกลางของโรงยิม

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ! พร้อมกับเสียงอู้อี้ที่ดังขึ้นเบา ๆ ไฟทั้งสี่ดวงถูกเปิดพร้อมกัน และทุกอย่างโดยรอบก็สว่างขึ้น

สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านไปอย่างเงียบ ๆ นำมาซึ่งเสียงแว่ว ๆ ของเหล่าอาจารย์ท่านอื่นที่อยู่รอบ ๆ

บรรยากาศโดยรอบเป็นเหมือนแส้ที่กระตุ้นความกระตือรือร้นของเหล่าอาจารย์ และจุดประกายความอยากเอาชนะภายในใจของพวกเขา

ซู่เฟิงเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของค่ายกล กวาดสายตามองคนทั้งหมดและเอ่ยเสียงทุ้ม “สวัสดียามเย็นนักเรียนทุกคน เริ่มตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป พวกเราจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้และทักษะการต่อสู้เป็นประจำทุกวัน อย่างที่อาจารย์หลินได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ จะดีมากหากพวกคุณจะใช้เคล็ดวิชาสังหารของตัวเองให้น้อยครั้งที่สุด ก่อนที่จะขึ้นเป็นผู้ฝึกตนขั้นยมทูตขาวดำ”

“หากเรียงตามระดับการบ่มเพาะ ขั้นยมเทพนั้นเทียบได้กับขั้นปราณต้นกำเนิด ขั้นนักล่าวิญญาณเทียบได้กับขั้นสร้างรากฐานลมปราณ และขั้นยมทูตขาวดำคือขั้นที่พวกคุณสามารถกล่าวได้ว่าตัวเองได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางของการบ่มเพาะอย่างแท้จริง ซึ่งเทียบได้กับขั้นแก่นทองคำ…”

ขณะที่ซู่เฟิงเอ่ยอยู่ นักเรียนจำนวนหนึ่งก็เริ่มยิ้มที่สื่อความหมายบนใบหน้า เพราะสิ่งที่ได้ยินนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับคนเคยอ่านนิยายแนวจอมยุทธมาก่อน

ซู่เฟิงทำเป็นมองไม่ปฏิกิริยาของคนเหล่านั้นและเอ่ยต่อ “โดยธรรมชาติแล้ว นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น พวกเราได้ละทิ้งชื่อขั้นฝึกตนแบบเก่าไปนานมากแล้ว และเปลี่ยนไปใช้ชื่อแบบเดียวกับยมโลกแทน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชื่อเหล่านี้เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเท่านั้น สิ่งที่สำคัญก็คือการใช้เคล็ดวิชาสังหารจะสร้างภาระให้กับร่างกายของพวกคุณมาก หากระดับการฝึกตนของพวกคุณต่ำเกินไป อีกทั้งระยะเวลาในการพักฟื้นก็ช้ามาก วิญญาณหยินทั่วไปค่อนข้างอ่อนแอ ดังนั้นพวกคุณควรพยายามหลีกเลี่ยงการใช้เคล็ดวิชาสังหารของตัวเองให้ได้มากที่สุด และเปลี่ยนเป็นสู้ด้วยการใช้พลังปราณแทน”

“และหากพวกคุณต้องการใช้ร่างกายในการต่อสู้ ศิลปะการต่อสู้และทักษะการต่อสู้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี ผมมั่นใจว่าพวกคุณส่วนใหญ่คงได้เรียนรู้มาบ้างแล้วจากที่ที่พวกคุณจากมา อย่างไรก็ตาม นิกาย ตระกูล และพันธมิตรส่วนใหญ่จะสอนเพียงพื้นฐานสำหรับการใช้งานส่วนตัวเท่านั้น ในขณะที่สิ่งที่พวกเราสอนคือทักษะการต่อสู้ที่แท้จริง หรือหากพูดอีกอย่างก็คือทั้งหมดนี้คือทักษะที่ออกแบบมาเพื่อสังหารและทำลายโดยเฉพาะ”

เสียงฮือฮาดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่ดวงตากว่า 200 คู่เป็นประกายขึ้นเมื่อมองไปที่ซู่เฟิง

“ต้องยอมรับเลยว่าตัวผมเองไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เท่าไหร่นัก และอาจารย์จากสาขาของเราที่เชี่ยวชาญในการใช้ทักษะการต่อสู้มากที่สุดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาจารย์หลิน หลินฮั่น” เขาหันไปพยักหน้าให้กับเจ้าของชื่อ หลินฮั่นประสานกำปั้นคารวะอย่างเป็นเกียรติ จากนั้นจึงหันไปมองฉินเย่ด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า

ฉินเย่เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที

เจ้าหมาโง่นี่จะต้องมีความคิดที่ไม่ดีอยู่แน่ ๆ…

หลินฮั่นกระแอมเบา ๆ “นักเรียนที่รัก การที่จะให้ผมอธิบายให้พวกคุณฟังทีละคนคงจะน่าเบื่อเกินไป ดังนั้นผมขอเชิญแขกคนพิเศษ อาจารย์ฉินของเรา มาอธิบายในขณะที่ผมสาธิตให้ดูก็แล้วกัน”

อ่าาา…เขาเข้าใจแล้ว

ฉินเย่กลอกตา นี่นายยังโกรธฉันเรื่องที่ห้องโถงรวมอยู่ใช่ไหม? ช่วยรู้จักอดทนให้เป็นหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?

“อาจารย์ฉิน เชิญครับ” หลินฮั่นแย้มยิ้มขณะที่ถูฝ่ามืออย่างนึกสนุก “พวกเราจะไม่ใส่พลังปราณเข้าไปในการโจมตี ไม่ต้องห่วงผมจะหยุดลงมือทันทีเมื่อรู้ผลแพ้ชนะ”

ที่ผ่านมาเขาฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาตั้งเท่าไหร่? จะลม ฝน หรือแดด และตลอดทั้งสี่ฤดูกาลของปี เขาฝึกฝนไม่หยุดมาตลอดหลายสิบปีตั้งแต่อายุห้าขวบ ฉินเย่ยังเด็กกว่าเขา ดังนั้นอีกฝ่ายสู้เขาไม่ได้แน่!

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ศิลปะการต่อสู้และทักษะการต่อสู้ก็คือสิ่งที่สร้างขึ้นจากการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลานาน

ฉินเย่กัดฟันกรอดขณะที่เดินไปหาหลินฮั่นโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาบนใบหน้า “ผมไม่ได้คาดหวังอะไรแบบนี้จากคุณเลยนะ…นี่คุณกำลังไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า? หรือว่าแค้นอะไรผมกันแน่?”

“ไม่นี่ เปล่าเลย” หลินฮั่นฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงหู “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผมแค่อยากเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคุณก็เท่านั้น มันเป็นความผิดของคุณเองนะที่ยอมอ่อนข้อให้ผมตอนแข่งขันกันคราวก่อน”

ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่พวกอาจารย์คุยกัน หนึ่งในนักเรียนก็ผิวปากออกมาเบา ๆ อย่างตื่นเต้น ฝ่ายหนึ่งคืออาจารย์หลิน ผู้ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเรียน ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคืออาจารย์ฉิน ขั้นนักล่าวิญญาณที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ คนอื่น ๆ รีบหลีกทางให้ผู้เป็นอาจารย์ได้แสดงความสามารถ โดยล้อมพวกเขาไว้ในวงกลม “อาจารย์หลินสู้เขา!” “อาจารย์ฉินสู้เขา!” เสียงเชียร์ดังก้องไปทั่ว

อาจารย์ทั้งสองยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่ฉินเย่กวักมือเรียกอีกฝ่ายอย่างเกียจคร้าน “สามกระบวนท่า”

“ภายในสามกระบวนท่า หากคุณยังไม่ล้มลงไปนอนกับพื้นถือว่าผมเป็นฝ่ายแพ้”

ฉินเย่เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด

ปกติแล้วเขาคงไม่กล้าประกาศออกไปอย่างอาจหาญแบบเมื่อกี้แน่ หากอีกฝ่ายใช้พลังปราณ แต่เมื่อพูดถึงการต่อสู้จริง เขา…ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่มีปรมาจารย์แห่งการต่อสู้ถือกำเนิดย่อมต้องเคยเห็นยอดฝีมือสังหารศัตรูมาเป็นจำนวนมาก แล้วแบบนี้เขาจะไปกลัวหลินฮั่นได้อย่างไร?

“ช่างเป็นคำพูดที่กล้าดีจริง ๆ!” หลินฮั่นดัดคอตัวเองอย่างฮึกเหิม ทั้งสองฝ่ายประจำตำแหน่งของตัวเอง จากนั้นทันทีที่ซู่เฟิงประกาศเริ่ม หลินฮั่นก็พุ่งเข้าหาฉินเย่ทันทีราวกับสายฟ้า!

เร็วมาก!

ความเร็วนั้นเร็วมากจนพวกเขาแทบจะได้ยินเสียงอากาศโดยรอบถูกฉีกออกจากกัน นักเรียนที่ยืนดูอยู่ทั้งหมดต่างอ้าปากค้างกับความเร็วที่เหนือมนุษย์ของหลินฮั่น

สมรรถภาพทางร่างกายของผู้ที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะจะเพิ่มสูงขึ้นพร้อม ๆกับระดับการบ่มเพาะของคนผู้นั้น แต่ถึงอย่างนั้น ความเร็วของหลินฮั่นก็ยังติดอยู่อันดับต้น ๆ ของผู้ที่อยู่รุ่นราวคราวเดียวกัน

ซู่เฟิงพยักหน้าอย่างมั่นใจ เจ้ากระทิงคลั่งนี่…คงจะมีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่สามารถชนะผู้อื่นได้…

ทว่าวินาทีถัดมา เสียงโครมก็ดังขึ้น ฝุ่นตลบไปทั่ว เหล่านักเรียนยังคงตกตะลึงกับการแสดงความเร็วที่ไม่น่าเชื่อหลินฮั่นต่างรู้สึกงงงันกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น พวกเขาจ้องไปที่ร่างของฉินเย่ จากนั้นจึงหันไปมองที่พื้น

“บ้าหน่า….” หลินฮั่นยกมือขึ้นจับคอตัวเองขณะที่พยายามลุกขึ้นยืนแต่ก็ล้มเหลว เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเห็นดาวระยิบระยับเต็มไปหมด ฉันเป็นใคร? ที่นี่ที่ไหน? ใครทุ่มฉัน?

เขาเห็นแค่ว่าฉินเย่ยกมือขึ้นในเสี้ยววินาทีก่อนหน้านี้ และกว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็ลงไปนอนอยู่ที่พื้นแล้ว

“ผมอาจจะไม่สามารถเอาชนะคุณได้ในแง่ของพลังปราณ แต่ในแง่ของการต่อสู้ที่ใช้เพียงศิลปะการต่อสู้และทักษะการต่อสู้ที่แท้จริง…คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผมเลยสักนิด” ฉินเย่ปัดเศษฝุ่นออกจากชุดของตัวเองและสวมบทเป็นผู้เชี่ยวชาญ “ยังจะต่ออีกไหม?”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”หลินฮั่นพุ่งเข้าใส่ฉินเย่อีกครั้ง และครั้งนี้ ซู่เฟิง หลี่หยุนเซวี่ยรวมถึงโจวฉินเฟิ่น ต่างต้องเบิกตากว้างอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อฉินเย่และหลินฮั่นปะทะกันอีกครั้ง ทว่าสิ่งเดียวที่พวกเขามองเห็นมีเพียงร่างของฉินเย่นั้นสั่นเล็กน้อย ก่อนที่ในวินาทีต่อมาร่างใหญ่ ๆ ของหลินฮั่นก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับเสียงดังโครม!

ซู่เฟิงตกตะลึงเป็นอย่างมาก

หลี่หยุนเซวี่ยและโจวฉินเฟิ่นเองก็เช่นกัน

“พะ พวก…พวกนายเห็นหรือเปล่า?” ไม่กี่วินาทีต่อมา ซู่เฟิงก็หันไปถามเพื่อนของตน

“ไม่…” หลี่หยุนเซวี่ยมองฉินเย่ด้วยสายตาเหลือเชื่อ แม้ว่าหลินฮั่นจะโง่…ไม่ ถึงแม้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองทางสังคมของชายหนุ่มจะปัญญาอ่อนไปบ้าง แต่เขาก็ยังเป็นกองกำลังหลักในการจู่โจมของทีมเปลวเพลิง แต่เขากลับปัดป้องการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของฉินเย่ไม่ได้เลยเนี่ยนะ?

ผู้ชายคนนี้… แข็งแกร่งแค่ไหนกัน?

“ดูเหมือนว่าเขาจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณที่หายสาบสูญไปนานแล้ว” โจวฉินเฟิ่นพึมพำเบา ๆ “ฉันพอจะมองเห็น แต่…ฉันเองก็คงหลบไม่ได้เหมือนกัน การเคลื่อนไหวของฉินเย่เร็วเกินไป หลินฮั่นเองก็คงจะเห็นมันเช่นกัน แต่ร่างกายของเขาน่าจะไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา ฉันไม่เคยเห็นการต่อสู้แบบนี้มาก่อนในตลอดหลายปีที่ต่อสู้มา”

นักเรียนทั้งหมดเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราว

“สุดยอดไปเลย!” “เก่งมาก! อาจารย์ฉินจะเก่งเกินไปแล้ว!” “อาจารย์หลินเองก็สุดยอดเหมือนกัน! ความเร็วของเขามันสุดยอดมาก!”

ฉินเย่แย้มยิ้มและประสานกำปั้นกับฝ่ามือเพื่อขอบคุณคำชมจากคนทั้งหมด

เห็นหรือยังว่าตอนที่แข่งกันในคราวที่แล้วนายทำฉันไว้เจ็บแสบแค่ไหน?

มันคือกรรมตามสนองยังไงล่ะ…

“จะยังต่ออีกไหม?”

“ไปไกลๆเลย!” เจ้ากระทิงคลั่งหลินฮั่นลุกขึ้นยืนและยืดกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งของตัวเอง “พอแล้ว ให้ตายเถอะ…คุณนี่มันปีศาจชัด ๆ!”

จากนั้น ซู่เฟิงและโจวฉินเฟิ่นก็เริ่มสอนทักษะการต่อสู้ให้กับเหล่านักเรียน

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรของทางสำนัก มันไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ที่สามารถเห็นได้ในงานแสดงทั่วไป แต่มันคือศิลปะการต่อสู้ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายและสังหาร แต่ละกระบวนท่านั้นเฉียบคมเหมือนกับคมมีดและรวดเร็วดั่งลูกธนู และนักเรียนทุกคนต่างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงขณะที่มองเหล่าอาจารย์ของตนสาธิตการเคลื่อนไหวทั้งหมดให้ดู

“เอาล่ะ การสาธิตจบลงเพียงเท่านี้ ต่อไป เราจะเริ่มด้วยกระบวนท่าพื้นฐาน ฟันศอก 300 ครั้ง เริ่มได้!”

อาจารย์ทั้งหมดเดินไปตามแถวของนักเรียน แก้ไขการเคลื่อนไหวและปรับปรุงกระบวนท่าของพวกเขา หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ฉินเย่เดินออกมาจากหมู่นักเรียนพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก “การแก้ไขกระบวนท่าคนอื่นเหนื่อยมากกว่า ฝึกฝนด้วยตัวเองจริง ๆ …ให้ตายเถอะ….”

ทันใดนั้นเอง ใครบางคนก็วิ่งมาหาเขา

และมันก็เป็นคนที่เขาคุ้นเคย

จางหลินฮวาจากสภานักเรียน ฉินเย่แทบจะลืมการมีอยู่ของจางหลินฮวาไปแล้วจนกระทั่งอีกฝ่ายมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาวันนี้ ฉินเย่ถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “นายมาทำอะไรที่นี่?”

“ให้ตายเถอะ ผมอุตส่าห์สอบเข้าที่นี่ได้ แต่ผมอยู่สาขาทฤษฎี” คำตอบของเขานั้นไหลลื่นจนหลินฮั่นที่เพิ่งหยิบน้ำขึ้นมาดื่มอยู่ด้านข้างพ่นน้ำออกมาทันที จางหลินฮวาแสร้งทำเป็นมองไปเห็นท่าทีของอีกฝ่ายก่อนจะโค้งทำความเคารพเหล่าอาจารย์ทั้งหมดที่อยู่บริเวณนั้น “สวัสดียามเย็นครับอาจารย์ หัวหน้าสาขาโจวเพิ่งมีประกาศให้นักเรียนทั้งหมดฝึกซ้อมด้วยตัวเองและเรียกอาจารย์ทุกท่านให้ไปพบที่ห้องทำงานของเขาทันทีครับ”

เมื่อได้ยินคำของอีกฝ่าย ซู่เฟิงก็รีบเอ่ยสั่งนักเรียนของพวกตนให้ฝึกซ้อมด้วยตัวเองและมุ่งหน้าตรงไปยังห้องทำงานของชายสูงวัยพร้อมกับอาจารย์ท่านอื่น ๆ

ฉินเย่จงใจเดินตามหลังคนทั้งหมดและเดินไปพร้อมกับจางหลินฮว่า “เสี่ยวจาง นายรู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น?”

เขาถามออกไปโดยที่ไม่ได้หวังเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องอะไรพวกนี้ ทว่าไม่น่าเชื่อ จางหลินฮวาพยักหน้า “รู้สิครับ พวกเรายุ่งกันทั้งเช้าก็เพราะเรื่องนี้ หากพูดกันตามตรง ผมไม่คิดเลยว่าทางสำนักจะรบกวนพวกอาจารย์ด้วยเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่าทางสำนักตั้งใจที่จะระดมคนทั้งสำนัก”

ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ จากนั้นจึงพยักหน้าอีกครั้ง

ใช่แล้ว จางหลินฮวามักจะทำงานให้กับสภานักเรียนมาโดยตลอด และเขาก็มักจะได้มอบหมายให้รับผิดชอบดูแลเรื่องพวกนี้ ทางสำนักคงพิจารณาจากการที่เขาเคยทำงานกับสภานักเรียน ทั้งยังมีเครือข่ายอยู่ทั่วเมืองเป่าอัน อีกฝ่ายถึงอนุญาตให้เขาสอบเข้ามาที่นี่

จางหลินฮว่าเอ่ยด้วยเสียงที่เบาลง “คุณได้เห็นข่าวช่วงนี้บ้างหรือเปล่า?”

“เห็นสิ นายกำลังบอกว่า…” ฉินเย่ขมวดคิ้วขณะที่ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว เขาถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ “ท่านกู่ชิงน่ะหรือ?”

“ใช่แล้ว!!” จางหลินฮวากระซิบตอบ “คุณรู้หรือเปล่าว่ามันเป็นความต้องการของท่านกู่ชิงเองที่จะให้นำเถ้ากระดูกของท่านกลับมาฝังที่ใต้โรงเรียนเก่าของท่าน ผมได้ยินมาว่าในช่วงสงครามที่กองทัพญี่ปุ่นทิ้งระเบิดลงใส่เมืองเป่าอัน มีอาจารย์คนหนึ่งของท่านได้ช่วยท่านเอาไว้ พ่อและแม่ของท่านกู่ชิงล้วนเสียชีวิตจะเหตุการณ์ในครั้งนั้น และตั้งแต่นั้นมา ท่านก็เริ่มปฏิบัติกับอาจารย์คนนั้นราวกับพ่อแม่บุญธรรมของตัวเอง และแม้กระทั่งช่วยดูแลลูกของอาจารย์คนนั้นเมื่อพวกเขาโตขึ้นด้วย!”

ฉินเย่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด “แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับเรา?”

“โธ่!!! วิทยาเขตสาขาของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย…ตั้งอยู่ถัดจากโรงเรียนเก่าของเขาไงครับ!!”

“คุณรู้เกี่ยวกับหอบรรพบุรุษที่อยู่ด้านหลังของวิทยาเขตสาขาย่อยไหมครับ? บางคนเรียกมันว่าเจดียสถาน ในสมัยนั้น มันยังไม่ถูกเรียกว่าโรงเรียนปฐมด้วยซ้ำ แต่พวกเขาเรียกมันว่าโรงเรียนเอกชนแทน ตำแหน่งที่ตั้งของ หอบรรพบุรุษที่ผมพูดถึงคือตำแหน่งที่โรงเรียนเก่าของท่ากู่ชิงตั้งอยู่ นั่นคือจุดที่ท่านกู่ชิงต้องการฝังกระดูกของเขาเอาไว้!”

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายวาวขึ้น

เขาจำหอบรรพบุรุษที่ว่านั่นได้

ฉินเย่เคยได้ยินข่าวแปลกประหลาดพวกนี้ในวิทยาเขตแห่งนี้เมื่อตอนที่มาถึงที่มหาวิทยาลัยอันฮุ่ยเมื่อนานมาแล้ว ทว่ามันไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับหอบรรพบุรุษแห่งนี้เลยสักนิด และแหล่งกำเนิดของเหตุการณ์แปลกประหลาดเองก็ถูกซ่อนอยู่ภายใต้หอพักขอทางมหาวิทยาลัย

ด้วยเเหตุนี้ ฉินเย่จึงไม่เคยได้เข้าไปในหอบรรพบุรุษดังกล่าวอย่างจริงจังเลยสักครั้ง

แต่…เถ้ากระดูกของกู่ชิงจะถูกนำมาที่นี่ในอีกไม่ช้า!

เมื่อคนคนหนึ่งตาย ดวงวิญญาณของพวกเขาจะยังคงยึดติดอยู่กับร่างจนไม่สามารถไปไหนมาไหนไกลร่างตัวเองได้ หากร่างถูกทำลาย วิญญาณก็จะติดอยู่กับเถ้ากระดูกของพวกเขาแทน

หรือหากพูดอีกนัยหนึ่งก็คือนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เขาจะได้เข้าใกล้วิญญาณของกู่ชิง โดยที่เขาไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลด้วย!

แต่…เขาอยากรู้จริง ๆ ว่ามียมทูตนอกอาณาเขตอยู่กี่ตนที่จะกล้าก้าวเข้ามาในสำนักฝึกตนแห่งแรกพร้อมกับเศษเถ้ากระดูกที่ถูกขนมาของกู่ชิง?

แต่สุดท้ายแล้ว มนุษย์ก็ไม่สามารถมองเห็นยมทูตได้ ต่อให้เป็นโจวเซียนหลงก็ตาม!