ตอนที่ 3 ขายลูกสาว
คำแก้ต่างนี้ยิ่งดูเลวร้ายกว่าเดิม หยุนลี่เซี่ยวทำท่าทางราวกับไก่ชนพองขน ลำคอยืดยาว ชี้หน้าตะโกนด่าหยุนลี่เต๋อทันที “ดียิ่ง! พี่รองปกติท่านเป็นคนซื่อสัตย์มาตลอด ทั้งหมดล้วนเป็นการเสแสร้ง กล้าเข้าบ่อนพนัน พอไม่มีปัญญาใช้หนี้ ยังจะลากครอบครัวเล็ก ๆ ของข้าไปร่วมชดใช้ด้วยหรือ?!”
หยุนลี่เต๋อมักจะโต้เถียงไม่ทันใครอยู่เสมอ หลังจากถูกด่า ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีดำสลับแดง ลูกกระเดือกที่คอกลิ้งขึ้นกลิ้งลง อึ้งจนแม้แต่วาจาครึ่งคำก็กล่าวออกมาไม่ได้
ในตอนนั้นเอง ด้านนอกประตูมีเสียง “ปัง ปัง” ดังขึ้น เหอยาโถวตะโกนด้วยเสียงแตกพร่าอันเป็นเอกลักษณ์ “เชวี่ยเอ๋อ ข้าเชิญหวังหลี่เจิ้งมาแล้ว!”
“มาพอดีเลย… เช่นนั้นก็มาตรวจสอบกัน พี่รอง! ท่านน่าจะรับผิดชอบเองได้ ไม่ใช่ว่าท่านมีลูกสาวสองคนรึ? ขายพวกนางใช้หนี้ไปเถิด…” พอได้ยินว่าผู้ใหญ่บ้านมาถึงแล้ว หยุนลี่เซี่ยวยิ่งตะโกนร้องขอความเป็นธรรมอย่างมั่นใจ ถลึงตาจ้องหยุนลี่เต๋อราวกับเป็นศัตรูคู่อริกันแต่ชาติปางก่อน
เสี่ยวอู่ที่ยืนอยู่ตรงฐานกำแพงพลันรู้สึกสั่นสะท้าน เขาจับมือของหยุนเชวี่ยไว้แน่น ความตื่นตระหนกปรากฎขึ้นในดวงตาไร้ระลอกคลื่น
หยุนเชวี่ยส่ายหัวเบา ๆ เพื่อปลอบใจอีกฝ่าย
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” ผู้เฒ่าหยุนลุกขึ้นมาอย่างกระทันหัน พร้อมกับตบโต๊ะอย่างรุนแรง ส่งผลให้ถ้วยชาสั่นสะเทือนขยับเปลี่ยนตำแหน่ง
“เพล้ง!” ถ้วยชาหล่นกระแทกพื้นแตกเป็นเสี่ยง
ภายในห้องพลันเงียบสงัด
หยุนลี่เซี่ยวตกตะลึง “ท่านพ่อ ท่านยังจะเข้าข้างเขาอีกหรือ เขาจะทำให้พวกเราตายกันหมด!”
“หากเจ้ายังโวยวายไม่เลิกก็ไสหัวออกไปจากตระกูลหยุนซะ เรื่องดี ๆ ไม่ทำ สร้างแต่ปัญหา!” ชายชราโมโหจนหน้าเขียว หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม ริมฝีปากสั่นระริก
“ท่านพ่อ…”
“ไสหัวไป!”
อาสามผู้นี้ชอบทำตนเป็นคนพาล แต่ความจริงแล้วหาได้มีความกล้าอันใด เมื่อเห็นว่าชายชราเอาจริง ก็รีบเปิดปากกล่าววาจาเฉไฉ ก่อนจะขยับตัวออกไปยืนฟึดฟัดอยู่ด้านข้าง
เหอยาโถวไม่รู้วิธีการใส่สีตีไข่ นอกจากจะพาหวังหลี่เจิ้งเข้ามาแล้ว ยังมีชายชาวบ้านอีกหกเจ็ดคนตามมาด้วย
ตอนนี้เองที่ห้องโถงของตระกูลหยุนหนาแน่นไปด้วยผู้คน
ผู้เฒ่าหยุนควบคุมลมหายใจ จนแทบฝืนเก็บสีหน้าแข็งกระด้างของตนเอาไว้ไม่ได้ “เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น เด็กน้อยเชวี่ยเอ๋อเพียงพูดจาเรื่อยเปื่อย รบกวนทุกท่านออกไปก่อน พวกข้า… คุยกันอีกไม่กี่ประโยค ก็ไม่เป็นไรแล้ว”
หลังจากพูดจบ ผู้เฒ่าหยุนก็โบกมือเรียกลูกชาย “เจ้ารอง… ออกไปคุยกับข้าข้างนอก”
เรื่องอันใดที่พูดต่อหน้าไม่ได้? แปดส่วนล้วนเป็นเรื่องราวฉาวโฉ่!
หยุนเชวี่ยกลอกตาไปมา พร้อมทั้งลูบศีรษะของเสี่ยวอู่และกระซิบที่หูของเขา “เจ้าไปแอบฟัง”
เสี่ยวอู่อายุเก้าปี เทียบกับร่างกายของเด็กผู้ชายทั่วไปในวัยเดียวกันแล้วค่อนข้างผอมบางและตัวเล็กกว่ามากนัก เขาไม่เคยออกไปวิ่งเล่นซุกซน ส่วนใหญ่ชอบเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ
ผู้คนในหมู่บ้านต่างกล่าวว่าเขาเกิดมาไม่สมบูรณ์ นั่นคือเกิดมาเป็นคนโง่เขลา แม้กระทั่งพ่อแม่บังเกิดเกล้าของเขายังยอมจำนนกับข้อกล่าวหานี้
ทว่าหยุนเชวี่ยได้ค้นพบว่า เมื่อใดก็ตามที่เสี่ยวอู่กำลังสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ดวงตาจะจับจ้องอยู่กับสิ่งนั้นเป็นพิเศษ โดยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย ‘อาการเหม่อลอย’ เป็นอาการที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิดของเขาเท่านั้น
นางคาดเดาว่าเสี่ยวอู่อาจจะเป็นโรคออทิสติก ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคชนิดนี้ มักจะมีด้านใดด้านหนึ่งที่ไม่เพียงไม่ได้โง่เขลา แต่อาจจะเรียกว่าเป็นอัจฉริยะเลยก็ว่าได้
เสี่ยวอู่ลอบเดินตามหลังหยุนลี่เต๋อไปยังแปลงผักทางทิศตะวันตกของลานบ้าน
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าไม่ได้ถูกรังแกใช่หรือไม่?” เหอยาโถววิ่งกระหืดกระหอบมา ลำคอขาวใสหมดจดถูกย้อมเป็นสีชมพูระเรื่อ
“อาสามเกือบตีข้า แต่ก็ทำไม่สำเร็จ” สายตาของหยุนเชวี่ยจับจ้องคนสองกลุ่มที่อยู่ในห้องโถง
ชายหน้าเข้มนั่งไขว่ห้างแกว่งขาไปมา ดื่มชาเงียบ ๆ สองนิ้วเคาะบนโต๊ะคล้ายตั้งใจแต่ไม่ตั้งใจ
หวังหลี่เจิ้งอายุกว่าห้าสิบปี เขาเป็นชายชราที่รู้หนังสือรู้อักษร เมื่อมองไปที่สัญญากู้ยืมใบนั้น ก็ถึงกับคิ้วขมวดขึ้น
“ไม่โดนตีก็ดีแล้ว” เหอยาโถวคลายลมหายใจ พอคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง “เหตุใดอาสามของเจ้าถึงช่วยเหลือคนนอก?”
“เขายังบอกอีกว่าให้ขายข้ากับพี่สาวของข้าเพื่อใช้หนี้”
ขณะที่ผู้เฒ่าหยุนออกไปด้านนอก หยุนเชวี่ยพยายามเบียดแทรกตัวเข้าหาหวังหลี่เจิ้ง แสร้งหลับตาด้วยความหวาดกลัว แต่ลอบมองสัญญากู้ยืมหนี้อย่างละเอียด
อักษรโบราณนั้นฉวัดเฉวียนและขาด ๆ หาย ๆ แทบไม่สามารถทำความเข้าใจ แต่พอคาดเดาได้ว่าผู้ยืมคือหยุนลี่เต๋อ ส่วนผู้ที่ลงชื่อค้ำประกันคือหลี่ฝูชุ่น
ลายมือที่เขียนประทับไว้นั้นดูเป็นระเบียบเรียบร้อยบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของผู้เขียน หยุนเชวี่ยกำลังจินตนาการว่าพ่อผู้งี่เง่าของนางจะใช้มือหนาหยาบกระด้างเขียนตัวอักษรประณีตสวยงามเหล่านี้ออกมาได้อย่างไร ได้แต่คิดในใจแล้วลอบส่ายหัว
หวังหลี่เจิ้งคิดว่าเด็กน้อยคงหวาดกลัว จึงกล่าวปลอบใจ “เจ้าสามพูดจาเหลวไหล นึกจะขายลูกสาวก็ขายได้ที่ไหนกัน?”
ชายหน้าดำหัวเราะเยาะขึ้นมาในทันใด เขาเลิกคิ้วขึ้นจ้องมองหยุนเชวี่ยอย่างละเอียด “เด็กคนนี้ยังใช้ไม่ได้ หากขายออกไปก็ทำได้แค่งานหยาบ ๆ เท่านั้น ค่าตัวได้มากสุดแค่เพียงสิบสองตำลึง หากอยากได้ราคาดีต้องเลี้ยงดูอีกสักปีสองปีถึงจะขายได้”
หยุนเชวี่ยถึงกับเงียบงัน
ค่าตัวนางยังถูกกว่าวัวในคอกอีกหรือ? เกิดเป็นคนแท้ ๆ แต่สู้สัตว์ที่เลี้ยงไว้ใช้แรงงานไม่ได้
“ถ้าเป็นสาวน้อยที่ยืนอยู่ข้างนอกนั่น จับมาแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดีสักหน่อย… ก็อาจจะถูกตาต้องใจแม่เล้าก็ได้”
ชายหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแสยะยิ้ม ทำให้หยุนเยี่ยนที่ยืนอยู่ตรงลานบ้านหวาดกลัวจนตัวสั่น นางจึงวิ่งหนีออกไปจนพ้นสายตา
“ลูกสาวข้า ขายไม่ได้เด็ดขาด ถ้าจะขายก็ขายข้าเถิด… ข้า ข้ายอมเป็นวัวเป็นม้า…” แม่นางเหลียนถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้นปิดหน้าร้องไห้คร่ำครวญ
ผู้เฒ่าหยุนกับหยุนลี่เต๋อเดินตามกันมาจากสวนทางทิศตะวันตกของลานบ้าน
“ข้าจะไม่ขายผู้ใดทั้งสิ้น!” หยุนลี่เต๋อก้มลงไปประคองภรรยาที่กำลังร้องไห้ขึ้นมา
อาสะใภ้สามยืนอยู่ใต้ชายคาบ้าน กลอกตาไปมาและบ่นพึมพำอย่างขัดใจ “แล้วครอบครัวของเราจะไปเอาเงินมากมายจากไหนมาใช้หนี้กว่าร้อยตำลึง?”
ชายชรานั่งลงจิบชา หลุบเปลือกตาใช้ความคิดไตร่ตองแล้วจึงออกปากพูด “เนื่องจากในใบสัญญามีการลงชื่อชัดเจน ข้าผู้เฒ่าหยุนไม่บิดพลิ้วอย่างแน่นอน”
หมายความว่ายอมรับแล้วหรือ?
หยุนเชวี่ยเหลือบมองหยุนลี่เต๋อ เห็นเขาก้มหน้าเงียบและขบกรามแน่น
“เพียงแต่เงินร้อยกว่าตำลึงมิใช่จำนวนน้อย ๆ” ชายชราเงียบไปชั่วครู่ “พอจะเลื่อนวันผ่อนผันออกไปสักสองสามวันได้หรือไม่ ให้ข้า…”
กล่าวยังไม่ทันจบ ชายหน้าดำก็ขัดขึ้นมาทันที “ผ่อนผันงั้นหรือ? ย่อมได้!”
เมื่อเห็นว่าชายหน้าดำตอบรับด้วยความยินดี ผู้เฒ่าหยุนก็รู้สึกงงงัน
ทว่าทันใดนั้นชายหน้าดำก็เปลี่ยนสีหน้า และกล่าวด้วยรอยยิ้มจอมปลอม “เพียงแต่ว่าเราต้องพูดถึงเงื่อนไขกันก่อน เย็นนี้นับเป็นหนึ่งเดือน หลังจากวันนี้ยอดหนี้ก็จะเป็น…”
เสียงดีดลูกคิดดังขึ้นอีกครั้ง “หนึ่งร้อยสี่สิบสามตำลึง”
ผู้เฒ่าหยุนถึงกับร่างกายซวนเซ ดีที่จับขอบโต๊ะไว้ทันจึงนั่งลงได้อย่างมั่นคง
เป็นหนี้ก็ต้องชดใช้ ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ผู้เฒ่าหยุนไม่อาจโต้แย้งได้ แม้แต่หวังหลี่เจิ้งที่ยืนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็พูดอะไรมากไม่ได้
“หากไม่มีเงิน ก็เอาที่นามาชดใช้ได้” ชายหน้าดำหรี่ตาลง ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ความเป็นอยู่ของตระกูลหยุนอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินว่าจะต้องขายที่ดิน หยุนลี่เซี่ยวที่สงบลงไปแล้วก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านพ่อ หากขายที่ดินหมด ครอบครัวเล็ก ๆ ของพวกเราจะทำมาหากินอะไร! หนี้ของพี่รอง ก็ให้เขาแบกรับไป เหตุใดต้องพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย!”
“ต่อไปพวกเราจะอยู่กันอย่างไร? ท่านพ่อ ท่านอย่าลำเอียงปกป้องพี่รอง จนพวกเราต้องอดตาย” สะใภ้สามเองก็กรีดร้องพร้อมตบขาคร่ำครวญ สองผัวเมียคนนึงร้องคนนึงรับ
แม้จะส่งเสียงดังโวยวายใหญ่โต แต่คนที่ซ่อนตัวทำเป็นหูหนวกอยู่ฝั่งตะวันออกของบ้านก็ยังไม่โผล่หัวออกมา
“เจ้าสาม!” ผู้เฒ่าหยุนตะโกนด้วยความโมโห “ดูแลภรรยาของเจ้าให้ดี อย่าให้นางก่อปัญหาอีก ที่ดินหลายสิบไร่พวกนี้เป็นความดีความชอบของเจ้ารองที่ทางราชสำนักมอบให้! พวกเจ้าลืมตาอ้าปากมาได้ตั้งหลายปี ยังจะโวยวายอะไรอีก? หากปีกกล้าขาแข็งนักก็ไสหัวออกไปใช้ชีวิตกันเอง!”