ตอนที่ 4 แพะรับบาป
หยุนเชวี่ยถึงกับแคะหูเพราะสงสัยว่าสิ่งที่ตนได้ยินนั้นผิดพลาดไป
ในที่สุดผู้เฒ่าหยุนก็พูดถึงความจริงอันยิ่งใหญ่ แต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก
นั่นหมายความว่าที่ดินหลายสิบไร่เป็นของพ่อผู้ไร้ค่าของนาง ดังนั้นจึงไม่ผิดที่จะใช้มันชำระหนี้ที่เขาติดค้างอยู่?
หยุนลี่เต๋อไม่ใช่ว่าเพิ่งปฏิเสธเรื่องกู้ยืมเงินไปก่อนหน้านี้หรอกหรือ? เหตุใด จู่ ๆ ถึงยอมจำนนโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ?
“ที่ดินหนึ่งไร่… ตีเป็นเงินได้เท่าไหร่?”
ที่ดินเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงคนในตระกูล เมื่อเห็นว่าไม่อาจรักษาที่ดินไว้ได้ ชายชราราวกับได้สูญเสียครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ไปแล้ว ถึงแม้จะโมโหแต่ก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก
ชายหน้าดำแสยะยิ้มแสดงท่าทางโดยการชูนิ้วมือขึ้นมาสี่นิ้ว
“สี่ตำลึง?” ผู้เฒ่าหยุนเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรง “แต่นี่… นี่คือที่นาที่ดีที่สุดแล้ว!”
มาตรฐานการขายในตลาด สำหรับที่นาอุดมสมบูรณ์หนึ่งไร่ราคาจะอยู่ที่ห้าตำลึง แต่นี่ขาดทุนไปถึงหนึ่งตำลึง ช่างเป็นการขูดเลือดขูดเนื้อยิ่งนัก
“ทรัพย์สินจะดีแค่ไหน เมื่อเข้ามาในโรงรับจำนำย่อมราคาตก หากผู้เฒ่ารู้สึกว่าราคานี้ไม่คุ้มค่า สามารถไปขายที่ดินเองแล้วนำเงินมาชดใช้ให้ข้าหนึ่งร้อยสิบตำลึง เป็นอันหมดหนี้”
ชายหน้าดำมิได้มีเจตนาบีบบังคับให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ แต่ทุกคนรู้ดีแก่ใจว่าหากไม่สามารถขายที่ดินได้ เมื่อผ่านวันนี้ไปอีกหนึ่งวัน ราคาดอกเบี้ยจะต้องเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า
ไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่จะต้องแบกรับความคับข้องใจนี้ไว้กับตัวเอง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าหยุนจึงถอนหายใจยาวและโบกมืออย่างอ่อนแรง “ก็ได้ ก็ได้!”
ตระกูลหยุนต้องนำที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ไปชดใช้ถึงยี่สิบไร่ ตีเป็นเงินแปดสิบตำลึง และนำเอาทรัพย์สินที่เก็บไว้ใช้สำหรับบรรจุเข้าไปในโลงศพของคู่สามีภรรยาผู้เฒ่าที่พวกเขาเก็บออมไว้ทั้งชีวิตออกมา เพื่อรวบรวมให้ได้ครบหนึ่งร้อยสิบตำลึง
ชายหน้าดำโบกมือที่ถือเงินและโฉนดที่ดินก่อนจะเดินออกไปอย่างเย่อหยิ่งพร้อมกับกลุ่มชายฉกรรจ์ เหลือเพียงแต่คนในตระกูลหยุนที่สีหน้าหม่นหมอง
ผู้เฒ่าส่งหวังหลี่เจิ้งออกไปนอกประตูด้วยความสุภาพ และเดินโซซัดโซเซกลับมาอีกนิดเดียวก็จะล้มคะมำแล้ว
“ท่านพ่อ” หยุนลี่เต๋อเอื้อมมือออกไปประคอง
อาสามที่นั่งยอง ๆ อยู่ตรงฐานกำแพง ปากก็ยื่นยาวไปไกลแปดจ้าง หัวเราะออกมาแผ่วเบา “ลูกชายยอดกตัญญู ต้องขอบคุณที่ท่านพ่อไม่โมโหจนถีบท่านเข้าให้”
หยุนเยี่ยนประคองเหลียนซื่อที่ร้องไห้อย่างโง่งมมุ่งหน้าไปยังห้องฝั่งตะวันตก ส่วนเฉินซื่อแบกหน้าแบน ๆ พร้อมกับลูกตาที่กลอกไปมาเดินกระแทกเท้าออกไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตัดพ้อต่อว่าดังระงมมาจากห้องชั้นบน “โอ้สวรรค์! เคราะห์กรรมอันใด! ชั่วชีวิตนี้ของกินข้าไม่เคยทิ้ง เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่เคยขว้าง เหตุใดถึงได้เลี้ยงดูตัวล้างผลาญเช่นนี้ออกมา หรือจะต้องให้ถลกหนัง ดื่มเลือดข้ากัน!”
แม่เฒ่าจูด่าคนได้มีเอกลักษณ์นัก มือตบต้นขา พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเป็นจังหวะ และหางเสียงลากยาว งิ้วโรงใหญ่นี้ร้องได้ไพเราะเป็นอย่างมาก
หยุนเชวี่ยรู้สึกว่าแม่เฒ่าจูนั้นเจ็บปวดจริง ๆ คนตระหนี่ถี่เหนียวที่ต้มโจ๊กหนึ่งหม้อกินได้สามมื้อ กลับถูกกวาดเอาทรัพย์สินเกือบทั้งบ้านหายไปในพริบตา ราวกับถูกเอามีดมาเฉือนเนื้อเลยก็ว่าได้
เมื่อเฉินซื่อเห็นดังนั้นก็แหกปากร้องตะโกน “หมดสิ้นแล้ว! พี่รองผู้น่าสงสาร แล้วภรรยาของท่านจะมีอะไรไว้ให้ลูกหลาน”
หยุนเชวี่ยจูงเสี่ยวอู่เดินไปทางสวนผักด้านหลัง เมื่อเดินผ่านห้องปีกตะวันออกก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง
ครอบครัวของลุงใหญ่ยังทำเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวและไม่สะทกสะท้านใด ๆ
“เมื่อกี้ได้ยินอะไรบ้าง?” หยุนเชวี่ยหาที่ร่มให้เสี่ยวอู่นั่งลงบนก้อนหิน
เนื่องจากเสี่ยวอู่เป็นคน ‘โง่’ น้อยครั้งมากที่จะเปิดปากพูด ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดอะไรด้วยก็จะพยายามหลีกเลี่ยงอย่างสุดความสามารถ
“ท่านพ่อไม่ได้ทำ” เสี่ยวอู่หรี่ตาลง จ้องกลุ่มมดที่แบกซากตั๊กแตนตายแล้วเคลื่อนย้ายไปอย่างช้า ๆ โดยไม่กะพริบตา
“เป็นลุงใหญ่ ใช่หรือไม่?” หยุนเชวี่ยเคยชินแล้วกับวิธีการสื่อสารเช่นนี้
แม้แต่กับพี่สาวคนรองที่สนิทที่สุด เด็กชายผู้นี้ยังไม่เคยพูดคุยเกินสิบคำมาก่อน
เสี่ยวอู่พยักหน้าหงึกหงึก
“ท่านปู่ขอให้พ่อของเรายอมรับเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”
เสี่ยวอู่ยังคงพยักหน้า
“แล้วท่านปู่พูดอย่างไรอีก?”
เสี่ยวอู่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านปู่ร้องไห้”
“แพะรับบาป นี่มันโยนความผิดให้กันชัด ๆ” หยุนเชวี่ยรู้สึกราวกับถูกทำให้ปวดท้อง
เสี่ยวอู่เงยหน้าที่เหมือนซาลาเปากลม ๆ ขึ้นมา มองนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“เพราะคนที่ซื่อสัตย์เช่นท่านพ่อของเรา ย่อมเต็มใจรับผิดแทนผู้อื่น” หยุนเชวี่ยกอดอกอธิบาย พลางคิดในใจถึงคำว่า ‘คนซื่อสัตย์’ นั้นไม่ใช่คำที่ดีอะไรเลย
หยุนลี่จงกล้าใช้ชื่อของหยุนลี่เต๋อยืมเงินกู้ดอกเบี้ยสูง ส่วนผู้เฒ่าหยุนร้องไห้อ้อนวอนเพียงไม่กี่คำเพื่อช่วยให้เขาพ้นผิด ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความซื่อสัตย์และจิตใจดีของเขาหรอกหรือ?
ลองเปลี่ยนให้อาสามคนถ่อยผู้นั้นเป็นแพะรับบาปดูสิ? ผู้คนทั้งแปดหมู่บ้านในระยะสิบลี้ได้รู้กันหมดและพวกเขาต้องหาคนรับผิดได้อย่างแน่นอน
หยุนเชวี่ยรู้สึกหน่วงในอก
เสี่ยวอู่พยักหน้าอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจแล้ว
“ข้างนอกแดดแรง กลับเข้าบ้านกันเถิด” หยุนเชวี่ยหยิกแก้มของเสี่ยวอู่แล้วถามอีกครั้ง “เสี่ยวอู่ เจ้าโกรธหรือไม่?”
เสี่ยวอู่จับปลายนิ้วของนาง และไม่โต้ตอบอันใด
สองพี่น้องจับมือกันยังไม่ทันได้ผลักบานประตูห้องด้านปีกตะวันตกให้เปิดออก ก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของเหลียนซื่อดังขึ้น
“ท่านแม่ เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อยเถิด” หยุนเยี่ยนที่กำลังยกอ่างน้ำ เมื่อมองเห็นน้องชายน้องสาวเข้ามาใกล้ ก็รีบเช็ดมือจนสะอาด ล้วงเข้าไปในกระเป๋าข้างตัวแล้วหยิบก้อนหมั่นโถวธัญพืชออกมาแบ่งครึ่ง ยื่นให้ทั้งสองคน “หิวรึยัง? มากินนี่ก่อน”
หยุนเชวี่ยถือหมั่นโถวที่แห้งแตก ฉับพลันก็รู้สึกฝืดคอราวกับเป็นไข้
อาหารในบ้านอยู่ภายใต้การควบคุมของแม่เฒ่าจูที่ให้เพียงแค่โจ๊กใส ๆ จนแทบจะเป็นน้ำเปล่า หยุนเยี่ยนก็ยังจะชอบเก็บอาหารของตนไว้แล้วแบ่งให้นางกับเสี่ยวอู่
เด็กสาววัยสิบสี่ปี ถึงช่วงวัยที่ร่างกายเจริญเติบโตแล้ว ทว่านางกลับมีรูปร่างผอมแห้งราวตะเกียบ กางเกงที่ใส่บนร่างกายก็สั้นเต่อเหลืออยู่แค่ครึ่งนึง
“รีบกินซะ” เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยังคงนิ่ง หยุนเยี่ยนจึงเอ่ยเร่งพร้อมกับเทน้ำให้สองแก้ว “ระวังสำลัก”
“ข้าไม่หิว” หยุนเชวี่ยหันหน้าไปมองหยุนลี่เต๋อที่นั่งอยู่ข้างเตียงคล้ายกับหมียักษ์ ฉับพลันก็รู้สึกปวดใจ
เสี่ยวอู่เลียนแบบท่าทางของนาง นำหมั่นโถวยัดคืนใส่มือของหยุนเยี่ยน ดวงตาดำขลับทั้งสองข้างนิ่งสงบไร้ระลอกคลื่น
“เหตุใดพวกเจ้าสองคนถึงมองข้าเช่นนั้น?” รับรู้ได้ถึงสายตาที่ซ่อนความขุ่นเคืองของลูกสาว และสายตานิ่งสนิทของลูกชาย หยุนลี่เต๋อก็รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ชอบกล
“ท่านพ่อ ในหนังสือสัญญาไม่ใช่ท่านที่เป็นคนลงชื่อและท่านก็ไม่ได้เป็นคนกู้เงิน”
ประโยคคำพูดที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจทำให้หยุนลี่เต๋อถึงกับตกตะลึง เสียงร้องไห้ของเหลียนซื่อก็พลันหยุดชะงัก สูดลมหายใจย้อนกลับจนถึงสะอึก
หยุนเชวี่ยมองได้ทะลุปรุโปร่ง ชี้ตรงใจคน ขณะที่ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกัน หยุนลี่เต๋อในใจรู้สึกผิดจึงผินหน้าหลบไปด้านข้าง “พูดจาเหลวไหล”
“ท่านพ่อ หากท่านไม่คิดถึงตัวเอง ก็สงสารข้ากับพี่สาวบ้างเถิด…” หลายวันที่ผ่านมานี้ นางเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าพ่อผู้ต่ำต้อยของนางมีนิสัยที่ยอมอ่อนข้อให้ผู้อื่น แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธเคือง แต่ปากยังคงอับจนคำพูด มีโอกาสเสียเปล่ากลับไม่ลงมือทำจะมีประโยชน์อันใดกัน “อาสามอยากขายข้า ต่อไปภายหน้าอาจจะไม่ได้เจอท่านพ่อท่านแม่อีกแล้ว…”
จะแสดงงิ้วทั้งทีก็ต้องเล่นใหญ่ ถึงอย่างไรร่างนี้ก็คือเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุสิบสองปี หยุนเชวี่ยคิดได้จึงกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของเหลียนซื่อ กอดเอวของนางไว้แล้วทำเสียงร้องไห้ดัง ๆ โดยที่ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลออกมา
“ท่านแม่ เชวี่ยเอ๋อกลัว…”
“เชวี่ยเอ๋อ ไม่อยากแยกจากท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สาวและเสี่ยวอู่”
“ท่านแม่… ฮือ ฮือ ฮือ…”
เหลียนซื่อไร้ความสามารถอื่นใด นอกจากหลั่งน้ำตาราวกับน้ำตก แม้จะยังเห็นภาพที่เกิดขึ้นไม่ชัดเจน แต่เมื่อเห็นท่าทางอันน่าเวทนาของลูกสาวก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“พี่สาว…” หยุนเชวี่ยที่ลำคอเปียกชื้นไปด้วยน้ำตาของมารดา ทว่าไม่ลืมหันไปจับหยุนเยี่ยนเอาไว้ด้วย
หยุนลี่เต๋อมีสีหน้าเจ็บปวด เมื่อมองดูหญิงสาวทั้งสามต่างกอดคอกันร้องไห้ จากนั้นก็หันไปมองใบหน้าไร้อารมณ์ของเสี่ยวอู่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างขุ่นเคือง