ตอนที่ 5 สิ่งหนึ่งย่อมมีชัยชนะเหนืออีกสิ่งหนึ่ง
“ท่านปู่ของเจ้า… ไม่ขายเจ้ากับเยี่ยนเอ๋อหรอก” เมื่อมองดูภรรยากับลูกสาวกอดกันร้องไห้เป็นกลุ่มก้อน หยุนลี่เต๋อก็ปากหนักพูดไม่ออกว่าจะกล่าวคำปลอบโยนอย่างไรดี
ไม่มีผู้ใดสนใจเขา
“อาสามของเจ้าเพียงแต่ขู่ให้กลัว อย่าสนใจคำพูดของเขาเลย”
หยุนเชวี่ยยังคงสะอึกสะอื้นและก้มหน้าคร่ำครวญต่อไป
“…” หยุนลี่เต๋อเงียบงันอย่างอับจนหนทาง
หลังจากลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้ยกฝ่ามือหนาขึ้นมาลูบหลังศีรษะของหยุนเชวี่ยเบา ๆ “ผู้ใดก็อย่าแม้แต่จะคิดขายลูกสาวของข้า พ่อไม่มีทางเห็นด้วย”
หยุนลี่เต๋อเป็นคนทึมทื่อ แม้ไม่ค่อยพูดมากแต่ก็มีความจริงใจต่อผู้คน ในความทรงจำของร่างนี้ หยุนเชวี่ยพบว่าเขาไม่เคยมีท่าทีแสดงความรักอย่างใกล้ชิดกับลูกชายลูกสาวเช่นนี้มาก่อนเลย
แน่นอน ย่อมไม่มีใครตีบทแตกได้อย่างนางมาก่อน
ในที่สุด หยุนเชวี่ยก็ค่อย ๆ ออกมาจากอ้อมกอดของเหลียนซื่อ เงยหน้าที่แดงเล็กน้อยและปาดน้ำตาที่พยายามบีบเค้นออกมาอย่างยากลำบาก แล้วกระซิบกระซาบ “คนสร้างปัญหาคือลุงใหญ่ ถ้าจะขายก็ควรขายพี่สาวหยุนเยว่”
หยุนลี่เต๋อถึงกับตกตะลึง…
“ท่านปู่ตั้งใจให้ท่านพ่อเป็นแพะรับบาป ยังจะกล้าเอาข้ากับพี่สาวไปขายใช้หนี้แทนลุงใหญ่อีกหรือ?”
แม้ชายชราจะต้องการทำเช่นนั้นจริง แต่ก็กลัวว่าลูกชายผู้ซื่อสัตย์จะโวยวายใหญ่โตจนส่งผลให้ชื่อเสียงของหยุนลี่จงมีปัญหา
“เจ้าไปได้ยินมาจากไหน?” หยุนลี่เต๋อรีบปิดหน้าต่างที่อยู่ใกล้ตัวและบอกให้หยุนเชวี่ยพูดเบา ๆ
“ที่ท่านปู่คุยกับท่านพ่อข้างสวนผัก เสี่ยวอู่ได้ยินหมดแล้ว ท่านปู่ต้องการปกป้องลุงใหญ่…” หยุนเชวี่ยเบะปาก ในใจหนาวเหน็บ ตาแก่นั่นในใจเอนเอียงไปแล้ว
เสี่ยวอู่พยักหน้า
เมื่อหยุนลี่เต๋อเผชิญหน้ากับลูกชายลูกสาว ก็ถึงกับใบ้กินไปชั่วขณะ
แม้แต่เหลียนซื่อที่สมองบรรจุน้ำเอาไว้มากมายยังเข้าใจได้ในทันที นางดึงแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่รินไหลไม่รู้จักหมดสิ้นและตั้งคำถามขึ้น “ที่เชวี่ยเอ๋อพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือ?”
อย่าคิดว่าหญิงสาวที่ท่าทางภายนอกดูอ่อนแอจะถูกรังแกได้โดยง่าย ทว่าเมื่อปิดประตู แม้แต่ชายอกสามศอกอย่างหยุนลี่เต๋อก็ยังต้องยอมถอยให้ นี่สินะที่เรียกว่า ‘สิ่งหนึ่งย่อมมีชัยชนะเหนืออีกสิ่งหนึ่ง!’
หยุนลี่เต๋อโดนทั้งสี่คนจ้องเขม็ง ไม่ปริปากพูดคำใดสักคำ
ครู่ต่อมา เหลียนซื่อกุมหน้าอกแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น “ฮือ…”
น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลนั้นคร่ำครวญด้วยความเศร้าโศก หยุนเชวี่ยได้ยินแล้วรู้สึกสั่นสะเทือนไปถึงตับเลยทีเดียว
“เพราะเหตุใด… ท่านทั้งสองต่างก็เป็นบุตรชายตระกูลหยุนเหมือนกัน… แต่มาทำร้ายท่านเช่นนี้ได้อย่างไร!”
เหลียนซื่ออายุสามสิบหน้าตางดงามตามวัย ผิวขาวสะอาด คิ้วเรียวยาวดุจใบหลิว ดวงตากลมดั่งเมล็ดซิ่ง ท่วงท่าขยับเคลื่อนไหวก็ชดช้อยมีสเน่ห์ ยามร้องไห้ยิ่งงามราวกับดอกหลี่ต้องฝน เห็นแล้วก็ให้อดสงสารมิได้
หยุนเชวี่ยกู่ร้องอยู่ในใจ ท่านพ่อ! ปลุกสัญชาตญาณความต้องการปกป้องของลูกผู้ชายให้ตื่นขึ้นมาสักทีเถิด! รีบไปบอกตาแก่นั่นว่าขอแยกครอบครัว! เร็วเข้า! รีบไปสิ!
แต่ทว่า…
หยุนลี่เต๋อรู้สึกสับสน คิดอยากจะก้าวไปข้างหน้าแต่พออยู่ต่อหน้าเด็ก ๆ กลับอับอายจนทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงยืนอย่างโง่งมแล้วยื่นมือใหญ่ออกไปทั้งสองข้าง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าอย่ากล่าวโทษท่านพ่อเลย… หากมิใช่ว่า… ในภายหน้าพี่ใหญ่จะต้องเข้ารับราชการเป็นขุนนาง… จึงไม่อาจปล่อยให้มีเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงแพร่กระจายออกไป… ที่ท่านพ่อทำไปทั้งหมดก็เพื่อครอบครัวของเรา…”
เมื่อมองดูท่านพ่อผู้ต่ำต้อยแสดงสีหน้าซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยม หยุนเชวี่ยก็กลอกตาด้วยความโมโห ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงที่เตียงนอน ในอกรู้สึกปวดร้าวราวกับโดนสายฟ้าฟาดจนอยากอาเจียนออกมาเป็นเลือด
“ชื่อเสียงของพี่ใหญ่นั้นสำคัญ ส่วนพวกเราจะอับอายขายหน้าอย่างไรก็ได้เช่นนั้นหรือ? ไม่ได้ยินที่เจ้าสามกับภรรยาของเขาด่าว่ารึ… เหตุใดท่านถึงโง่เง่าเยี่ยงนี้?”
“ข้ามิได้อยากเป็นขุนนาง” หยุนลี่เต๋อนั่งลงอย่างหมิ่นเหม่อยู่ข้างเตียง “อีกอย่างเจ้าไม่รู้หรือว่าอารมณ์ของท่านแม่เป็นอย่างไร? นางกับท่านพ่อต่างรู้ดีแก่ใจ และพี่ใหญ่… ย่อมจดจำน้ำใจของเรา เขายังบอกอีกว่าหากภายหน้าได้เป็นขุนนาง จะไม่ลืมพวกเราอย่างแน่นอน…”
หยุนเชวี่ยไร้คำจะกล่าวโดยสิ้นเชิง จึงคว้าเอาหมอนมาปิดหน้า
เหลียนซื่อถอนหายใจสะอื้น “ข้าไม่เคยคิดพึ่งพาอาศัยบารมีผู้อื่น หวังเพียงแค่ครอบครัวของเราจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ท่านพ่อน่ะแท้จริงแล้วเขา…”
เหลียนซื่อเป็นลูกสะใภ้ยอดกตัญญู แต่งเข้าตระกูลหยุนมากว่าสิบปี ไม่เคยสักครั้งที่จะพูดจาต่อว่าพ่อแม่สามี นางมองหยุนลี่เต๋ออย่างขื่นขม และกล้ำกลืนคำพูดอีกครึ่งหนึ่งลงไป
“แท้จริงแล้วเป็นคนลำเอียงที่สุด” หยุนเชวี่ยโยนหมอนทิ้งและผุดลุกขึ้นนั่ง “ท่านพ่อ มิใช่ว่าท่านปู่คอยพูดกับครอบครัวของเราอยู่ตลอดหรือว่าควรประพฤติตัวอย่างเหมาะสม ต้องนั่งตัวตรง มีความรับผิดชอบ? เหตุใดพอเป็นลุงใหญ่กลับไม่ถือสา?”
หยุนลี่เต๋อเงียบงัน…
“ที่ดินของครอบครัวเราเป็นสิ่งที่ราชสำนักมอบให้ท่านพ่อ แต่ดูเถิด สิ่งที่ท่านแม่ เสี่ยวอู่ รวมถึงพี่สาวสวมใส่เป็นอย่างไร? แล้วเสื้อผ้าที่ครอบครัวลุงใหญ่สวมใส่เป็นอย่างไร?”
“…”
“ยังมีป้าสะใภ้ใหญ่อีก จานชามสักใบไม่เคยล้าง นางถือสิทธิ์อันใดมาเรียกใช้ท่านแม่ของข้าอยู่เสมอ? ท่านปู่ยังจะปกป้องพวกเขาอีกหรือ?”
ความน้อยเนื้อต่ำใจของเหยียนซื่อถูกหยุนเชวี่ยปลดปล่อยออกมา นางจึงร้องไห้และทุบตีไปที่แผ่นหลังกว้างของหยุนลี่เต๋อผู้น้ำใจงาม
“ท่านย่ายังทอดไข่และทำขนมปังขาวให้ครอบครัวลุงใหญ่กินอีกด้วย” หยุนเยี่ยนบีบหมั่นโถวแห้ง ๆ ในมือ พร้อมกระซิบแผ่วเบา “ครั้งก่อนตอนที่ข้าขึ้นเขาไปเก็บฟืน แต่กลับมาเร็วจึงได้บังเอิญเห็น”
“หลังจากนั้นล่ะ? นางแบ่งให้พี่สาวกินหรือไม่?” หยุนเชวี่ยถาม
หยุนเยี่ยนหรี่เปลือกตาลง “ท่านย่าบอกว่าลุงใหญ่ลำบากตรากตรำศึกษาตำรา…”
จากที่หยุนเชวี่ยรู้ สมัยหยุนลี่จงยังไม่แต่งงานเขาสอบได้ขั้นซิ่วไฉ เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังอยู่ในวัยหนุ่มเลยทีเดียว ไม่แปลกใจที่ผู้เฒ่าจะตั้งความหวังกับเขาไว้สูงมาก
แต่สิบปีต่อมา เมื่อเขากลับมาที่บ้านเกิดเพื่อสอบเข้ารับราชการขุนนาง ก็ยังเป็นได้แค่ระดับซิ่วไฉ แต่ละวันไม่เคยต้องทำไร่ไถนา ทุก ๆ สามถึงห้าวันก็จะเข้าไปเที่ยวเล่นในเมืองกับเหล่าเพื่อนร่วมสำนัก ลำบากกับมะเขือน่ะสิ!
“ท่านพ่อ ถึงอย่างไรท่านปู่กับท่านย่าก็ไม่ชอบพวกเราอยู่ดี…” หยุนเชวี่ยลอบสังเกตุสีหน้าของหยุนลี่เต๋อและพูดอย่างไม่แน่ใจ “ไม่เป็นการดีกว่าหรือ หากแยกบ้านออกไป”
หยุนลี่เต๋อเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง “เชวี่ยเอ๋อ เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลอันใดอีกแล้ว?”
ตั้งแต่ลูกสาวผ่านคราวเคราะห์จากประตูผีมาได้ในครานั้น เมื่อนางฟื้นขึ้นมาก็มีท่าทีผิดแปลกราวกับถูกมารร้ายเข้าสิง ตลอดครึ่งเดือนนี้นางกล่าวเรื่องแยกบ้านถึงสามครั้ง
“ท่านพ่อ…”
“เชวี่ยเอ๋อ จากนี้ไปเจ้าห้ามพูดเรื่องนี้อีก หากคนนอกได้ยินเข้า จะคิดว่าเจ้าเป็นคนอกตัญญู!”
หยุนลี่เต๋อมักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอ เขาแทบไม่เคยขึ้นเสียงกับภรรยาและลูก ๆ ทว่าพอกล่าวถึงเรื่อง ‘แยกบ้าน’ กลับมีท่าทีเด็ดเดี่ยวเป็นพิเศษ
หยุนเชวี่ยยังไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ก็ถูกขัดขวางเสียแล้ว จึงทำได้เพียงเอนตัวไปพิงซบอกเหลียนซื่ออย่างน่าสงสาร “ท่านแม่…”
“ท่านตะคอกใส่ลูกได้อย่างไร? หากอารมณ์ร้อนเช่นนี้ เหตุใดไม่ไปตะโกนสู้กับท่านพ่อที่ห้องฝั่งตะวันออกโน่นล่ะ?”
เมื่อเหลี่ยนซื่อปกป้องลูกสาว หยุนลี่เต๋อถึงกับห่อเหี่ยวในทันใด เขาถูฝ่ามือหยาบไปมา ปากอยากจะกล่าววาจาแต่ก็อดกลั้นเอาไว้
“เชวี่ยเอ๋อ พ่อของเจ้าย่อมทำเพื่อเจ้า” ท่านแม่เหลือบมองขึ้นข้างบนเพื่อกลั้นน้ำตา “ท่านปู่ท่านย่าเองก็แก่มากแล้ว พวกเราต้องกตัญญูรู้คุณ หากลูกสาวบ้านใดถูกคนตราหน้าว่าอกตัญญู ต่อไปจะมีตระกูลดี ๆ ที่ไหนกล้ามาสู่ขอ…”
หยุนเชวี่ย…
นางเพียงแต่กล่าวถึงการ ‘แยกบ้าน’ ถึงกับต้องถูกตราหน้าว่า ‘อกตัญญู’ ทั้งยังลากโยงไปถึงเรื่องแต่งงาน…
หมดปัญญาจะสื่อสาร…
ปวดใจ…
ท้อแท้…
อาจจะต้องหันกลับไปคิดไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
หรือมันจะเร็วเกินไป? เดิมทีนึกว่านึกว่านี่จะเป็นโอกาสอันดีสำหรับการเปลี่ยนแปลง…
เป็นเพราะนางประเมินค่า ‘ความกตัญญูอันโง่เขลา’ ของหยุนลี่เต๋อต่ำเกินไป หรือเป็นเพราะคนในสังคมนี้ด้อยค่าลูกที่กตัญญูกันแน่?
แต่ถ้าหากอยากมีชีวิตที่ดีในภายภาคหน้า ก็ต้องกำจัดเจ้าพวกแมลงเม่าที่เกียจคร้านนี้เสียก่อน เพราะแมลงพวกนี้คือตัวการที่ทำให้โลกวุ่นวาย…
แต่จะทำอย่างไรดี? ปวดหัวยิ่งนัก!