ตอนที่ 6 กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 6 กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้

หยุนเชวี่ยนอนกุมศีรษะอยู่บนเตียงแล้วถอนหายใจยาว

“เชวี่ยเอ๋อ ไม่ใช่ว่าปวดหัวอีกแล้วหรือ?” หยุนเยี่ยนถอดรองเท้าโน้มตัวเข้ามาใกล้ สองมือเลื่อนลงมากดนวดหลังศีรษะของน้องสาวอย่างนุ่มนวล

“พี่สาว ท่านอยากแยกบ้านหรือไม่?” หยุนเชวี่ยถามขณะที่หลับตาด้วยความสบายตัว

มือที่กำลังนวดของหยุนเยี่ยนหยุดชะงักงัน “มีเพียงลูกหลานที่ประพฤติตัวเสื่อมเสียเท่านั้นถึงจะถูกขับออกจากตระกูล…”

“ประพฤติตัวเสื่อมเสียงั้นหรือ?”

“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด…” หยุนเยี่ยนตกใจจนเผลอเพิ่มแรงกดที่มือ

“ไม่หรอกพี่สาว ข้าหาใช่คนโง่เง่าเช่นนั้น…”

หยุนเชวี่ยหลับไปด้วยความมึนงง ขณะที่สะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงแม่เฒ่าจูกล่าววาจาสาปแช่งราวกับร้องเพลงงิ้วโรงใหญ่ “สะใภ้สาม… เจ้ามันตัวขี้เกียจทั้งยังตะกละกิน ทำอันใดก็ชักช้าไม่ทันการ! มัวแต่มองหน้าข้า จะรอให้แม่เฒ่าผู้นี้ปรนนิบัติเจ้าหรือ…”

จากนั้นก็เป็นเสียงอาสะใภ้สามเฉินซื่อ “เชวี่ยเอ๋อ! เชวี่ยเอ๋อนังเด็กคนนี้หายหัวไปไหน? ข้ากำชับว่าให้เจ้าเติมน้ำให้เต็มถัง หรือสมองเจ้าถูกสุนัขคาบไปกินเสียแล้ว? น้ำเหลือเพียงก้นถัง จะทำอาหารได้อย่างไรเล่าทีนี้!”

หยุนเชวี่ยสะดุ้งโหยงตกใจตื่น นี่ไม่ใช่ความฝัน

“เยี่ยนเอ๋อ เจ้ามัวมึนงงอันใดอยู่? ยังไม่รีบมาช่วยอาสะใภ้ตั้งเตาอีก! แม่เจ้าล่ะ? ให้นางไปหาบน้ำมาสองถัง!”

เหลียนซื่อที่กำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องได้ยินเสียงก็วางมือจากงานที่ทำ ขณะกำลังลุกขึ้นยืนก็ถูกหยุนเชวี่ยดึงชายเสื้อไว้

“ท่านแม่ จะทำอะไร?”

“ไปช่วยอาสะใภ้สามของเจ้าอย่างไรเล่า นางทำงานได้ไม่คล่องแคล่วนัก หากวันนี้อาหารเสร็จช้าจะพาลถูกท่านย่าเจ้าดุด่าเอาได้”

“ถ้าจะด่าก็ให้ด่านาง” หยุนเชวี่ยลุกขึ้น ชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างแล้วร้องตะโกนอย่างอ่อนแรง “พี่สาว ข้าปวดหัวอีกแล้ว ท่านรีบมาดูที”

“เด็กคนนี้ กลายเป็นคนเอาแต่ใจเช่นนี้ไปตั้งเมื่อไหร่” เหลียนซื่อยิ้มพร้อมส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้

“เดิมทีเป็นคราวของอาสะใภ้สามที่ต้องทำอาหาร แต่นางกลับเรียกท่านแม่ไปหาบน้ำ ให้พี่สาวไปช่วยตั้งเตา เช่นนี้จะกล่าวหาว่าข้าเอาแต่ใจได้หรือ?” หยุนเชวี่ยฮึดฮัดไม่พอใจ

ตระกูลหยุนมีสะใภ้สามคน สะใภ้ใหญ่เป็นภรรยาซิ่วไฉ สิบนิ้วไม่เคยสัมผัสน้ำเย็น ส่วนแม่เฒ่าจูนั้นตอนอายุใกล้สี่สิบก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวอีกหนึ่งคน ทั้งยังเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เป็นธรรมดาที่ต้องคอยดูแลทะนุถนอมตัวเองไว้

แน่นอนว่างานภายในบ้านทั้งหมดย่อมตกเป็นความรับผิดชอบของเหลียนซื่อและเฉินซื่อ แต่ว่าเฉินซื่อเป็นตัวเกียจคร้านที่เพลิดเพลินไปกับการกินแล้วก็นอน ทั้งยังจงใจเล่นเล่ห์บ่ายเบี่ยงให้ตนได้ทำงานน้อยกว่า

ตกลงกันชัดเจนแล้วว่าผลัดกันทำอาหารคนละวัน นางกลับคอยแต่จะตะโกนเรียกให้เหลียนซื่อมาช่วยอยู่เสมอ ฤดูร้อนให้ช่วยก่อไฟทำอาหาร ฤดูหนาวให้ช่วยล้างผัก ส่วนตนเลือกที่จะทำงานแต่สบาย ๆ

“มิใช่งานหนักหนาอะไรมากมาย อย่าได้คิดมากเลย…” เหลียนซื่อกล่าวอย่างเอื้ออารี “ครอบครัวเราทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีอยู่สิบกว่าชีวิต ถ้ามัวแต่มาคิดเล็กคิดน้อย ก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันได้”

เหลี่ยนซื่อก็ยังเป็นเหลียนซื่อที่จิตใจดีอยู่วันยังค่ำ แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องยอมให้บางคนมาเอารัดเอาเปรียบ

“ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าอาสามกับอาสะใภ้เพิ่งตะโกนร้องจะขายข้ากับพี่สาว เรื่องนี้ท่านก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรือ?”

นิสัยเสียเช่นนี้ถูกปล่อยให้กระทำจนเคยชิน ตอนนี้หยุนเชวี่ยต้องแข็งข้อกับเฉินซื่อเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นนางนึกจะรังแกผู้อื่นก็ทำได้อย่างง่ายดาย

ดวงตาของเหลี่ยนซื่อมืดดำลงในทันใด ก่อนจะค่อย ๆ กลับไปนั่งลงที่เดิม

หยุนเชวี่ยกุมหน้าผากของตนอย่างแผ่วเบา เมื่อเห็นมารดาร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิดที่หลงลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลครั้งเก่า ภาพท่านแม่ที่ร้องไห้อยู่ในขณะนี้สามารถใช้สามคำมาบรรยายได้ว่า สุดหัวใจ!

“เชวี่ยเอ๋อ ยังปวดหัวอยู่อีกหรือ? รีบนอนลง พี่สาวจะนวดให้…” หยุนเยี่ยนม้วนแขนเสื้อขึ้นขณะเดินเข้าประตู โดยไม่ได้รับรู้สถานการณ์ใด ๆ

เฉินซื่อที่อยู่ตรงลานบ้าน ตะโกนขึ้นมาอีกครั้งอย่างสุดจะทน “คนล่ะ? ไปไหนหมดแล้ว? พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้รอง…”

“ท่านแม่ไม่สบาย กำลังพักผ่อนอยู่!” หยุนเชวี่ยตะโกนออกไปยังนอกหน้าต่าง

“ทุกชีวิตล้วนมีค่า แต่ชีวิตข้าล้วนมีแต่งาน! เหตุใดข้าถึงต้องลำบากเช่นนี้…”

เฉินซื่อตลอดมามักจะพูดจาปากไม่มีหูรูด ตะโกนอยู่พักหนึ่งไม่มีใครสนใจ ก็เปลี่ยนจากบ่นเป็นกร่นด่า “…ทำลายตระกูลจนย่อยยับ ยังมีหน้าไม่ช่วยงาน อ้าปากรอคอยแต่จะให้คนมารับใช้ราวกับเป็นภรรยาขุนนาง ช่างไร้จิตสำนึกยิ่งนัก…..”

เฉินซื่อที่รู้สึกแย่จากก้นบึ้งของหัวใจ ทำได้แค่สาดน้ำลายไปทั่ว ยิ่งด่ายิ่งรู้สึกฮึกเหิม ในความคิดของนาง จากนี้ไปครอบครัวบ้านรองควรทำงานเป็นวัวเป็นม้าชดใช้ความผิดที่ก่อหนี้สิน แล้วก็อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว อย่างน้อยต่อหน้านางก็ไม่ควรกล้าแม้แต่จะเงยหน้า ถือดีอย่างไรมานอนพักผ่อนอยู่อีก?

นางเพียงต้องการด่าทอเหลียนซื่อ ทว่าวาจานั้นกลับกระทบเข้าหูของผู้ที่เป็นวัวสันหลังหวะ เมื่อได้ยินพวกเขาต่างรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ด้วยเหตุนี้ ประตูห้องทางปีกตะวันออกได้เปิดออก จ้าวซื่อในมือถือถุงเงินที่กำลังปักไว้ ฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “น้องสะใภ้สามโมโหอะไรถึงเพียงนั้น?”

เมื่อมีคนเข้าร่วม เฉินซื่อยิ่งขวัญกล้ามากขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่ พูดกันอย่างยุติธรรม ควรแล้วหรือที่พวกเราต้องมาแบกรับหนี้สินของเขาด้วย?”

“ดูเจ้าพูดเข้าสิ เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ” จ้าวซื่อพยายามไกล่เกลี่ย แต่เมื่อเหลือบมองด้วยหางตาก็เห็นได้ชัดว่ากล่าววาจาด้วยความไม่พอใจ

“ครอบครัวเดียวกัน? ข้าไม่นับญาติด้วยหรอก” เฉินซื่อกลอกตามองบน น้ำลายเกือบจะกระเซ็นลงบนหน้าจ้าวซื่อ “เผื่อแผ่ความหายนะมาให้เช่นนี้ ครอบครัวถือได้ว่าประสบแต่ความโชคร้ายไปแปดชั่วอายุคน ลากทั้งคนแก่และลูกหลานไปร่วมลำบาก หากไม่เกรงกลัวบาปกรรมก็ขอให้โดนฟ้าดินลงโทษ!”

“เอาเถิด! เจ้ารีบไปทำอาหารเถิด!” จ้าวซื่อเผยสีหน้าน่าเกลียด หันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องสะบัดประตูปิดกระแทกเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

แม้เฉินซื่อจะวางตัวไม่ดี แต่ก็ไม่กล้าโต้ตอบกับจ้าวซื่อ จึงเปลี่ยนเป็นโมโหรุนแรงกว่าเดิมซ้ำเติมใส่บ้านรอง ด่าต่อเนื่องกระทบไปถึงห้องปีกตะวันตก “กลัวจะถูกสวรรค์ลงโทษ แล้วข้าใช้ให้ผู้ใดไปก่อเรื่องกัน…”

ยังไม่ทันได้ด่าจนจบประโยค บนห้องก็มีเสียงผรุสวาทอย่างดุเดือดของหญิงชราโต้กลับมา “สะใภ้สาม! ปากเจ้าดีแต่กล่าววาจาอัปมงคล! หากยังตะโกนไม่เลิก ข้าจะให้ลูกสามหย่าขาดกับเจ้าทันที!”

เสียงสาปแช่งเงียบหายไปในทันที เฉินซื่อถึงกับเซไปข้างหลังสองก้าว เกือบจะหงายหลังเตะใส่ถังน้ำที่เหลืออยู่เพียงถังเดียวในบ้าน

“พี่สาว ท่านเคยเห็นสุนัขกัดกันเองหรือไม่?” หยุนเชวี่ยหัวเราะคิกคัก ไม่ได้สนใจเลยว่าอีกนิดเดียวจะตกจากเตียงแล้ว

หยุนเยี่ยนคว้าตัวน้องสาวและดึงกลับเข้ามาด้านใน แต่ก็อดเบ้ปากไม่ได้

“กล่าววาจาอะไรเช่นนี้ ยิ่งโตยิ่งไม่ความเป็นกุลสตรีเข้าไปทุกที” เหลียนซื่อบ่นลูกสาว

ในบรรดาลูกสามคน ลูกสาวคนรองเป็นคนที่น่าห่วงที่สุด แต่ก่อนก็ดื้อรั้นตามประสา แต่หลังจากรอดพ้นความตายมาครั้งหนึ่ง นิสัยก็ยิ่งผิดแผกไปจากเดิม เหลียนซื่ออดกลุ้มใจไม่ได้ ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ในภายหน้าจะมีใครที่ไหนกล้ามาสู่ขอ…

บนห้องใหญ่

สีหน้าของแม่เฒ่าจูมืดมน นางยังทำใจไม่ได้ที่ทรัพย์สมบัติในบ้านถูกกวาดเอาไปเกือบหมด ผู้เฒ่าหยุนเองก็ยิ่งทุกข์ใจ ลูกชายคนโตที่เขาตั้งความหวังไว้สูง กลับทำเรื่องงามหน้า ชายชรารู้สึกราวกับว่าตนเองแก่ลงไปอีกหลายปี

หยุนลี่จงและจ้าวซื่อนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างเตียง คนหนึ่งนั่งคอตกเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา อีกคนหนึ่งเช็ดน้ำตาด้วยความอัดอั้นตันใจ

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ฟังที่น้องสะใภ้สามสาปแช่งเถิด ปากคอเราะร้ายยิ่งนัก…”

เฉินซื่อแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนไร้เหตุผลอยู่แล้ว ยิ่งคราวนี้ต้องมาประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ จ้าวซื่อซึ่งเคยชินกับการแสดงท่าทางหยิ่งยโส มีหรือจะทนรับไหวกับเรื่องเช่นนี้ ประโยคสาปแช่งเหล่านั้นราวกับตบลงบนหน้าของนางเอง

“เจ้ายังมีหน้ามาร้องไห้อีกหรือ? แม้แต่เงินใส่โรงศพของข้ากับพ่อเจ้าก็เอาไปใช้หนี้จนหมดเกลี้ยงแล้ว พวกเจ้าสองคนผัวเมียต้องการบีบบังคับให้ข้าหญิงชราต้องตายโดยไม่มีแม้แต่ที่จะฝังศพเลยหรืออย่างไร!”

เมื่อเทียบกับชายชราที่ทะเยอทะยานคาดหวังถึงความสำเร็จของลูกชายเพียงใด แม่เฒ่าจูยิ่งให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพย์สินเงินทองในมือมากไปกว่านั้น

เงินตั้งหนึ่งร้อยสิบตำลึง! ทั้งหมู่บ้านจะมีสักกี่คนที่ในชีวิตเคยเห็นเงินจำนวนมากมายขนาดนี้! แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว หมดสิ้นกัน!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หน้าผากของแม่เฒ่าก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปน เจ็บปวดในอกราวกับจะขาดใจตาย!