ตอนที่ 7 เนรคุณ
“หยุดโวยวายเสียที ยังขายหน้าไม่พออีกหรือ!” ผู้เฒ่าหยุนสีหน้าทะมึน แววตาขุ่นมัวเหมือนบ่อน้ำแห้งเหือด มองดูหยุนลี่จงที่ในใจเต็มไปด้วยความขลาดกลัว
“ใจดำอำมหิตยิ่งนัก เขาขูดเลือดขูดเนื้อข้าไปหมดแล้ว! สวรรค์ ท่านสร้างปีศาจตนใดขึ้นมา ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร สู้ตายไปเสียไม่ดีกว่าหรือ…” แม่เฒ่าจูตบต้นขา ทำท่าจะเอาหัวโขกกำแพง
“ยังไม่รีบหยุดแม่เจ้าอีก!” ชายชราห้ามปรามเพราะเกรงจะเกิดเรื่องเกิดราวขึ้น
หลังจากร่วมเตียงกันมามากกว่าครึ่งชีวิต นิสัยใจคอของแม่เฒ่าจูเป็นอย่างไร เขาล้วนกระจ่างแจ้งแก่ใจ แม้ว่าจะไม่ถึงกับฆ่าตัวตายจริงๆ แต่ในเวลานี้ หากนางยังไม่ยอมรับกับสิ่งที่ไม่ได้ดังใจ ก็จำเป็นต้องหยุดการก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตนี้ก่อน
“ท่านแม่ ท่านจะทำอะไร?” ‘ตุ้บ’ หยุนลี่จงคุกเข่าลงกับพื้น กอดขาแม่เฒ่าจูทั้งน้ำตา “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้ว! ลูกจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ภายหน้าหากลูกได้เป็นขุนนาง ท่านแม่ก็จะได้เป็นฮูหยินผู้เฒ่า ลูกจะไม่มีวันลืมบุญคุณท่านทั้งสองอย่างแน่นอน…”
แม่นางจ้าวเองก็ชุลมุนวุ่นวายกับการฉุดรั้งตัวแม่เฒ่าจู “ท่านแม่ หากในใจท่านยังโกรธเคือง เช่นนั้นก็ทุบตีข้าเถิด อย่าได้ทำร้ายตัวเองเลย…”
หลังจากกล่าววาจาเกลี้ยกล่อม ทั้งสองก็คุกเข่าก้มหน้าจรดพื้นเพื่อแสดงความสำนึกผิด แม่เฒ่าจูหยุดอาละวาดแล้ว นางนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาทำเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา
“ลุกขึ้นเถอะ” ชายชราพูดพร้อมโบกมือ
“ท่านพ่อ…” หยุนลี่จงยังคงไม่ขยับและหยุดพูดไป
“มีเรื่องอะไรอีก?”
“ท่านพ่อ การสอบชิวเหวยในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่จัดขึ้นทุก ๆ สามปี ใกล้จะเริ่มแล้ว ครานี้ข้ากับเพื่อนร่วมสำนักทั้งสองได้เชิญอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการสอบมาช่วยแนะนำ เมื่อไม่กี่วันก่อนที่เดินทางเข้าเมืองไปก็เพราะเรื่องนี้ ท่านพ่อ อีกไม่นานข้าก็จะทำสำเร็จแล้ว”
หยุนลี่จงก้มหน้าลงเพื่อยืนยันคำพูดของเขา ในที่สุดผู้เฒ่าหยุนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “นับว่าเป็นเรื่องดี!”
ตราบใดที่สอบได้ตำแหน่งชิวเหวยนี้ ก็ถือว่าขาข้างหนึ่งก้าวเข้าสู่หนทางการเป็นขุนนางแล้ว แม้ในภายหน้าจะสอบไม่ผ่าน ก็ยังมีโอกาสเปิดสำนักวิชาการและเป็นเจ้าหน้าที่ระดับนายอำเภอได้
“ตระกูลหยุนของเรานับว่ามีความหวังแล้ว!”
เมื่อครั้งผู้เฒ่าหยุนยังเป็นหนุ่ม เขาเคยทำงานเป็นผู้ตรวจการบัญชีในร้านค้ามาก่อน ถือได้ว่าเป็นคนมีความรู้มีประสบการณ์ จึงรู้แจ้งแก่ใจว่าอาชีพชาวนานั้นจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ เมื่อผลผลิตดีถึงจะมีรายได้มาประทังชีวิต
แต่ละอาชีพล้วนรายได้น้อย เว้นแต่ว่าได้เล่าเรียนเป็นบัณฑิตเท่านั้นถึงจะได้ค่าตอบแทนสูง
ตราบใดที่ในตระกูลนี้มีหนึ่งคนได้รับราชการ คนรุ่นหลังก็จะค่อย ๆ ก้าวหน้าเจริญรอยตาม ชายชราวาดหวังถึงแผนการใหญ่ที่จะให้ตระกูลหยุนมีชื่อเสียงเกียรติยศขจรไกลไปถึงสิบลี้แปดเมือง
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ ชิ่วเอ๋อน้องสาวข้ามองดูก็ถึงวัยแต่งงานแล้ว รอข้าสอบได้ครานี้ นางก็สามารถหาตระกูลขุนนางดีๆ…..”
หยุนชิ่วเอ๋อเป็นดังแก้วตาดวงใจของแม่เฒ่าจู หยุนลี่จงวาดความหวังให้แก่สองผู้เฒ่า ฉับพลันก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เผยสีหน้าลำบากขึ้น “แต่ว่า…”
“แต่อะไร?” แม่เฒ่าจูถามอย่างเป็นกังวล
หยุนลี่จงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นบิดา ในใจของเขารู้ดี แม้เงินทองของตระกูลนี้จะอยู่ในมือหญิงชรา แต่แท้ที่จริงแล้วอำนาจการตัดสินใจต่างๆยังคงเป็นของผู้เฒ่าหยุน
“บอกท่านพ่อไปตามตรงเถิด ถึงอย่างไรทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว ท่านพ่อต้องเข้าใจพวกเราแน่” แม่นางจ้าวใช้ศอกสะกิดหยุนลี่จง
เขาถอนหายใจก่อนจะกล่าวต่อ “ท่านพ่อ ท่านก็น่าจะรู้ว่าแม้ข้าจะสอบได้ แต่เมื่อถึงคราคัดเลือกขุนนาง สิ่งสำคัญในการพิจารณาคือชื่อเสียงในตระกูล ถ้าหากว่า… ท่านพ่อ นี่ก็เพื่อครอบครัวของเรา ข้า ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก…”
กล่าวจบ น้ำตาก็ไหลพรั่งหรูออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง เขาดึงแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างเศร้าสร้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายและเสียใจต่อการกระทำผิด ช่างน่าสะเทือนใจจนยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้
“เจ้าใหญ่ มีอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ จะพูดจาอ้อมโลกไปเพื่อเหตุใด คิดว่าเจ้าเก่งกาจมากนักหรือ?”
วาจานี้ของหยุนลี่จง แม่เฒ่าจูฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ผู้เฒ่าหยุนเข้าใจชัดเจน เขาไม่เอ่ยปากพูดสักคำ เพิ่งจะรู้สึกผ่อนคลายได้ไม่เท่าไหร่กลับต้องขมวดคิ้วให้กับปัญหาที่ยากจะแก้ไขอีกครั้ง
แม่นางจ้าวลอบสังเกตใบหน้าของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าชายชราไม่กล่าวอะไร ก็รีบกระตุ้นแม่เฒ่าจู “ท่านแม่ หากลูกชายคนโตของท่านอยากเป็นขุนนาง และท่านอยากเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ก็จำเป็นที่จะต้อง…แยกบ้านรองออกไป…”
ยังไม่ทันได้กล่าวจบ แม่เฒ่าจูก็เลิกคิ้วแล้วกล่าวเสียงสูง “อะไรนะ? แยกบ้าน? หากแยกบ้านรองออกไปแล้วงานบ้านใครจะทำ? ที่นาใครจะปลูก อาศัยพวกเจ้าตัวเกียจคร้านคงได้อดตายกันพอดี!”
วันนี้หญิงชราอารมณ์ไม่ดีนัก เมื่อแม่นางจ้าวถูกตำหนิก็ชะงักไปเล็กน้อย เพียงชั่วขณะก็กลับมากล่าวด้วยนอบน้อม “ท่านแม่อย่าโกรธเลย จะไม่ดีต่อสุขภาพ ท่านฟังข้าพูดก่อน…”
“ท่านเองก็หวังให้ลูกชายคนโตมีหน้าที่การงานที่ดี ชิ่วเอ๋อจะได้แต่งกับตระกูลขุนนางเป็นฮูหยินที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ข้าพูดถูกหรือไม่?” แม่นางจ้าวเอ่ยถาม
แม่เฒ่าจูพยักหน้าอย่างสงสัย
หยุนชิ่วเอ๋อเป็นลูกสาวที่ได้มาตอนนางมีอายุมากแล้ว อยู่ที่บ้านก็ฟูมฟักเป็นอย่างดี บรรดางานหนักทั้งหลายไม่เคยได้แตะต้อง หากนางแต่งเข้าบ้านชาวนา ก็จะต้องทำนาเลี้ยงสัตว์ คอยดูแลคนแก่และลูกหลานภายในบ้าน มีหรือที่นางจะตัดใจให้ลูกสาวแต่งออกไปได้
“ท่านแม่ การคัดเลือกขุนนางนั้นถือเป็นเรื่องจริงจังนัก หากเรื่องตอนเที่ยงวันนี้เล่าลือออกไป ท่านก็ได้ยินวาจาที่สะใภ้สามด่ากราดเสียงดัง ไม่แน่ว่าชาวบ้านข้างนอกนั่นอาจจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว…”
“พวกเราไม่มีทั้งคนหนุนหลังและทรัพย์สินเงินทอง หากอยากเป็นขุนนางก็ต้องอาศัยประวัติครอบครัวที่ขาวสะอาด น้องรอง…เขาเป็นคนจิตใจดีงาม เขาต้องมีน้ำใจต่อครอบครัวของเราอย่างแน่นอน อีกอย่าง จากนี้ไปพวกเราไม่อาจปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไร้ความเป็นธรรมได้อีกแล้ว”
“ท่านแม่ ท่านเองก็คงไม่อยากให้เกิดเรื่องผิดพลาดกับหนทางข้างหน้าของลูกชายคนโตและทั้งชีวิตของชิ่วเอ๋อ ใช่หรือไม่?”
แม่นางจ้าวตวัดลิ้นได้อย่างชาญฉลาด ทั้งประจบสอพลอเลือกใช้คำพูดมากระตุ้นความรู้สึกอันอ่อนไหวของแม่เฒ่าจูได้อยู่หมัด เพียงแต่ว่าชั่วชีวิตนี้ของหญิงชราไม่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่อาจยืนยันความคิดเห็นของตนแต่เพียงผู้เดียว นางทำได้เพียงแค่มองไปที่ผู้เฒ่าหยุน รอเขาเอ่ยปากพูด
“เฮ้อ!”
จากนั้นไม่นานชายชราก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะโบกมือขึ้นลงและสวมรองเท้าผ้าเดินออกจากประตู
“ตาเฒ่า เจ้าคิดเห็นอย่างไร พูดอะไรสักหน่อยเถิด?”
“…” ผู้เฒ่าหยุนหยุดไปชั่วขณะ “ไม่มีความคิดเห็น เพียงแต่ในใจของข้ารู้สึกผิดต่อเจ้ารองนัก”
เช้าวันรุ่งขึ้นหยุนลี่เต๋อออกไปที่สวนเพื่อรดน้ำพืชผัก กว่าจะกลับถึงบ้านก็เหงื่อโซมกาย ทันทีที่เดินเข้าไปในลานบ้านก็เห็นชายชราก้มลงซ่อมแซมเล้าไก่
“ท่านพ่อ” หยุนลี่เต๋อปลดไม้คานลงจากบ่าและรีบไปคว้าเอาไว้ “ท่านไปพักเถิด ข้าทำเอง”
ชายชราโบกมือปฏิเสธ “ยังไม่ถึงเจ็ดสิบแปดสิบ แค่นี้ไม่ถึงกับเหนื่อยหรอก”
หยุนลี่เต๋อไม่กล่าวอะไรอีก เขาเช็ดเหงื่อที่ชุ่มโชกและรีบมาช่วยจัดระเบียบเล้าไก่ โดยไม่แม้แต่จะพักดื่มน้ำ
สองมือใหญ่ของเขาหยาบกร้านเนื่องจากตรากตรำทำงานหนัก ใบหน้าที่ตากแดดทั้งดำทั้งมันวาว เมื่อเห็นท่าทางทุ่มเทพลังแรงกายในการทำงานแล้ว ชายชรายิ่งรู้สึกโศกเศร้าและเจ็บปวดใจขึ้นมาทันใด
“เจ้ารอง ในใจของเจ้ากล่าวโทษพ่ออยู่หรือไม่?”
หยุนลี่เต๋อตะลึงงัน จากนั้นก็ยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวเรียงกันเป็นแถว “ท่านพ่อ ท่านทำเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวเรา ข้าเข้าใจดี”
“พ่อติดค้างเจ้าแล้ว เจ้าใหญ่บอกว่าการสอบชิวเหวยในฤดูใบไม้ร่วงครานี้ค่อนข้างมั่นใจ… จากนี้ไปเขาจะไม่มีวันลืมบุญคุณ…” ดวงตาขุ่นมัวของผู้เฒ่าหยุนสะท้อนภาพดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า ยิ่งให้รู้สึกโศกเศร้าอย่างอธิบายไม่ได้
“ขอรับ!” หยุนลี่เต๋อตอบ ชายผู้หยาบกระด้าง ไม่ได้มีความคิดละเอียดอ่อนถี่ถ้วนอันใด เขายังคงยิ้มออกมาอย่างจริงใจไร้เล่ห์เลี่ยม
“…” สุดท้ายแล้วผู้เฒ่าหยุนก็ไม่ได้กล่าวประโยคนั้นออกมา เขาปัดฝุ่นที่เลอะมือออกแล้วถอนหายใจ “ไปพักผ่อนเถิด อีกสักครู่ค่อยกินข้าว”