ตอนที่ 8 ศึกชิงอาหาร

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 8 ศึกชิงอาหาร

ตระกูลหยุนมีสมาชิกในครอบครัวค่อนข้างมาก เมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร จะมีโต๊ะไม้สองโต๊ะในห้องโถงใหญ่ ชายหญิงนั่งแยกฝั่งกันคนละโต๊ะ ในจานมีเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่ปริมาณอาหารสำหรับผู้หญิงและเด็กจะน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

อาหารบนโต๊ะประกอบไปด้วยหม้อเต้าหู้และมะเขือยาว ในบุ้งกี๋สีเข้มมีบะหมี่ที่ทำจากถั่วและหมั่นโถว แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของแม่นางเฉิน

สะใภ้สามผู้นี้ทำสิ่งใดมักไม่ค่อยพิถีพิถัน หมั่นโถวนึ่งลูกใหญ่บ้างเล็กบ้าง ทั้งยังมะเขือยาวในหม้อที่ต้มจนเละน้ำมันลอยท่วมเป็นชั้น ทำเอาคนเห็นพาลไม่อยากอาหารเสียดื้อ ๆ

หยุนเชวี่ยนึกรังเกียจอยู่ในใจ แต่ท้องกลับส่งเสียงดัง ‘โครก’ อย่างควบคุมไม่ได้

มารยาทบนโต๊ะอาหารของตระกูลหยุนคือต้องให้ผู้เฒ่าหยุนเริ่มใช้ตะเกียบคีบอาหารก่อน ตามด้วยแม่เฒ่าจู จากนั้นลูกหลานถึงสามารถทานได้

ด้วยเหตุนี้ จึงมักจะมีการแสดงหน้าม่านก่อนมื้ออาหารเสมอ

ป้าสะใภ้ใหญ่กับหยุนเยว่และหยุนเซียงลูกสาวทั้งสองของนาง มักจะวางมาดเป็นฮูหยินและคุณหนูตระกูลใหญ่ สำรวมกริยารักษากฏระเบียบ

ส่วนอาสะใภ้สามสายตาจับจ้องหมั่นโถวลูกใหญ่ที่สุดในบุ้งกี๋ โดยมีหยุนหรงนั่งกลืนน้ำลายอยู่ข้าง ๆ

ด้วยความที่อายุยังน้อยเสี่ยวอู่จึงได้นั่งข้าง ๆ แม่นางเหลียนผู้เป็นมารดาที่โต๊ะฝั่งเด็กและสตรี หยุนเยี่ยนนั้นก้มศรีษะลงเล็กน้อยด้วยท่าทางอ่อนโยน ไร้ข้อโต้แย้งอย่างที่เป็นมาเสมอ

“ข้าขอกล่าวสักเล็กน้อย” ผู้เฒ่าหยุนซึ่งนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะเอ่ยปากขึ้น

ในสายตาของชนชั้นชาวนา ‘การกิน’ ถือเป็นเรื่องใหญ่ หากจะมีเรื่องใดที่ต้องกล่าวก่อนกินข้าวนั้น แสดงว่าต้องเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

พี่ใหญ่หยุนลี่จงอดไม่ได้ที่จะเหยียดหลังตั้งตรง เหลือบมองไปที่หยุนลี่เต๋อซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะย้ายสายตากลับออกมาอย่างรวดเร็ว

“แค่ก” ผู้เฒ่าหยุนวางท่าจริงจังและกระแอมเล็กน้อย “สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มิใช่เรื่องดีงาม เราอาจจะถูกคนนอกมองว่าไม่สามารถจัดการเรื่องภายในครอบครัวได้ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนในบ้าน อย่าได้พูดถึงมันอีก…”

หยุนเชวี่ยมั่นใจถึงแปดส่วนว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับวาจาร้ายกาจของอาสะใภ้เฉินที่รุนแรงเกินไป จนทำให้ป้าสะใภ้จ้าวทนไม่ได้ต้องไปวิ่งเข้าห้องไปฟ้องพวกผู้เฒ่า

ผู้เฒ่าหยุนกำลังให้ท้ายครอบครัวลูกชายคนโต

“สะใภ้สาม ได้ยินที่ท่านพ่อเจ้าพูดหรือไม่? ระวังปากของเจ้าให้ดี ทั้งวันไม่รู้จักจำเหมือนลาหูยาว” หญิงชราหรี่ตามองสะใภ้เฉินอย่างโกรธเคือง เมื่อเห็นท่าทีไร้สำนึกของนาง จึงกล่าวซ้ำอีกรอบ “ปากที่ยื่นออกมานอกจากทำได้แค่กินแล้วก็ดีแต่พูดจาไร้สาระ รู้เสียบ้างว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด”

หยุนเชวี่ยพบว่าแม่เฒ่าจูนั้นไม่สามารถพูดด้วยถ้อยคำธรรมดาและสงบจิตใจได้ เมื่อกล่าววาจาใดออกมาล้วนแฝงไปด้วยถ้อยคำเสียดสี การด่าของนางช่างมีเอกลักษณ์นัก

แม่นางเฉินเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่หมั่นโถวในบุ้งกี๋ หาได้แยแสกับวาจาที่กล่าวเสียดสีตน ทั้งยังทำหน้าด้านแสยะยิ้ม “ข้าฟังอยู่ ท่านแม่รีบกินข้าวเถิด  หากรอจนมืดค่ำจะต้องจุดไฟ สิ้นเปลืองน้ำมันตะเกียงอีก”

“ทำตัวเหมือนผีหิวโหยกลับชาติมาเกิด” แม่เฒ่าจูแสดงสีหน้ารังเกียจ

หยุนเชวี่ยนึกชื่นชมท่าทีการวางตัวของนางเสียจริง ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ขอเพียงเชื่อมั่นในตัวเองและรักษาใจให้เยือกเย็น

“แค่นี้แหละ กินข้าวกันเถอะ” ชายชรายกตะเกียบขึ้นมาเคาะลงบนโต๊ะ

“ท่านพ่อ…” หยุนลี่จงอยากจะพูดแต่ก็ต้องหยุดปากไว้

“กินข้าว” ชายชราไม่แม้แต่จะชายตามองเขา

“…”

ทางด้านแม่เฒ่าจู เพิ่งจะคีบเต้าหู้ขึ้นมาหนึ่งก้อน ยังไม่ทันได้เอาเข้าปาก แม่นางเฉินก็อดใจรอต่อไปไม่ไหวยื่นมือไปยังหมั่นโถวลูกใหญ่

แต่นางไม่คาดคิดว่าหมั่นโถวจะถูกคว้าไปต่อหน้าต่อตา

“พี่สาว อันนี้ให้ท่าน” หยุนเชวี่ยหยิบหมั่นโถวลูกใหญ่ที่สุดในบุ้งกี๋แล้วยัดให้หยุนเยี่ยน

แม่เฒ่าจูจอมขี้เหนียว เคร่งครัดเรื่องปริมาณอาหารการกินเป็นอย่างมาก เนื่องจากลูกสะใภ้ถือเป็นแรงงานสำคัญ จึงสามารถกินหมั่นโถวได้มื้อละสองลูก ส่วนเหล่าเด็กสาวกินได้แค่หนึ่งลูกเพียงเท่านั้น

อย่ามองว่าสิ่งนี้เป็นจำนวนที่มากพอ สำหรับคนที่มีแต่น้ำอยู่ในท้อง ยังไม่สามารถประทังความหิวได้เลยด้วยซ้ำ

แม่นางเฉินไม่พอใจเป็นอย่างมาก “เชวี่ยเอ๋อ เจ้าไม่รู้จักกฏระเบียบเลยหรืออย่างไร?”

“อาสะใภ้สามพูดเรื่องอะไร?” หยุนเชวี่ยทำทีไม่เข้าใจ กระพริบตาดำวาววับ ทั้งยังเลือกหยิบหมั่นโถวที่เหลืออยู่ในบุ้งกี๋อีกสามชิ้นออกมาให้กับแม่ของนาง  เสี่ยวอู่และตนเอง

แม้หมั่นโถวนี้จะทั้งแห้งและฝืดคอ แต่ก็ดีกว่าต้องทนหิว

“เจ้ากับเยี่ยนเอ๋อและเสี่ยวอู่ พวกเจ้าทั้งสามคนไม่ได้ทำงานอะไร เหตุใดถึงต้องกินหมั่นโถวลูกใหญ่? อาสะใภ้สามทำอาหารมื้อนี้อย่างยากลำบาก เหนื่อยจนเอวแทบหัก เด็กคนนี้ไม่มีมโนธรรมเลยรึ? เจ้า…”

เดิมทีแม่นางเฉินอยากจะกล่าวคำว่า ‘มีมโนธรรมเหมือนอย่างพ่อจอมล้างผลาญของเจ้า’ แต่ก็สามารถอดทนสงบปากสงบคำลงไปได้ ดวงตาทั้งสองข้างหันกลับมาจ้องเขม็งไปทางหมั่นโถวที่อยู่ในมือของหยุนเยี่ยนอย่างขุ่นเคือง

เมื่อหยุนเชวี่ยเห็นเช่นนั้น ก็ก้มหน้าลงไปกัดหมั่นโถวโดยไม่พูดไม่จา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปทางอาสะใภ้เฉินแล้วพูดอย่างคลุมเครือ “ไม่ใช่ว่าอาสะใภ้สามเป็นคนนึ่งหมั่นโถวนี้หรือ? แล้วแต่ละลูกมันต่างกันอย่างไร?”

“…” นางเฉินถึงกับสำลัก

นางจงใจทำเช่นนี้บ่อยครั้งด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าแม่เฒ่าจูจะตำหนิอย่างไร ก็ทำเป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แล้วปล่อยผ่านไป

อีกอย่าง หมั่นโถวลูกเล็กและลีบแบนที่สุดไม่ใช่ว่าล้วนแล้วแต่ให้บ้านรองกินหรอกหรือ?

“พี่สะใภ้รอง ท่านก็ไม่รู้จักอบรมสั่งสอนเชวี่ยเอ๋อลูกของท่าน กลับปล่อยให้นางมาแย่งอาหารเช่นนี้! เอาแต่กินแล้วยังเกียจคร้าน หากวันหน้าหาสามีแต่งเข้าบ้านไม่ได้ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” แม่นางเฉินกลอกตาแล้วหันไปพลิกบุ้งกี๋ไปมาเพื่อเลือกหมั่นโถว

“…”

แม่นางเหลียนนั้นหน้าบางยิ่งนัก เมื่อถูกเยาะเย้ยใบหน้าก็ถึงกับแดงเถือก ขณะจะเปิดปากพูดก็ถูกแม่นางจ้าวเอ่ยขัดเสียก่อน

“ขอข้าพูดสักหน่อยเถิด น้องสะใภ้สาม เจ้าจะทะเลาะกับเด็กไปเพื่ออะไร?”

แม่นางจ้าวนั้นแตกต่างจากหญิงสาวชาวนาในหมู่บ้านไป๋ซีแห่งนี้ นางสวมใส่ชุดกระโปรงที่มีผ้าดิ้นเงินดิ้นทองผูกที่เอว หวีมวยผมขึ้นพร้อมกับปักปิ่นหางหงส์สีทองแดงบนเส้นผมที่เรียบลื่นเงางามของนาง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวแต่งหน้ารวมไปถึงพฤติกรรมที่แสดงออก ทั้งหมดล้วนราวกับฮูหยินตระกูลใหญ่

แม่นางเฉินเหยียดยิ้ม “ข้าหาได้ทะเลาะอันใดกับนาง เพียงแต่เกรงว่าบ้านรองจะปล่อยให้เด็กคนนี้เสียนิสัยจนเคยตัว ต่อไปภายหน้าจะไม่มีสามีบ้านไหนกล้ามาสู่ขอ”

“เป็นไปไม่ได้แน่นอน” แม่นางจ้าวอมยิ้มสายตาหยุดลงบนใบหน้าหยุนเชวี่ยชั่วครู่ “เชวี่ยเอ๋อเติบโตมาอย่างงดงาม รอจนถึงปีนี้หลังจากลุงใหญ่ได้รับราชการ รับรองว่าจะต้องหาตระกูลร่ำรวยให้แต่งกับนางได้”

ขณะที่พูด ก็ยังไม่วายเหลือบสายตามองไปทางชายชราคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ

หยุนลี่จงกำลังจะได้รับราชการแล้ว?

ไม่ใช่ว่ากว่าสิบปีที่ผ่านมาเขาสอบไม่ผ่านหรอกหรือ?

ฟังจากน้ำเสียงของนางจ้าว ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะมั่นใจมาก?

ไม่ใช่ว่าเล่นเล่ห์อะไรอีกหรอกนะ?

หน้าผากของหยุนเชวี่ยเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

“หือ? ปีนี้พี่ใหญ่จะได้รับราชการแล้วหรือ?” ดวงตาของแม่นางเฉินเป็นประกายขึ้นมาทันใด ก่อนจะย้ายร่างไปอยู่เคียงข้างแม่นางจ้าวเพื่อเอาอกเอาใจ

แม่นางจ้าวยิ้มอย่างสำรวม ไม่พูดมากความ “หากว่าราบรื่นดี ก็อีกไม่นานเกินรอ”

ทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยดี แน่นอนว่ารวมถึงการขับไล่บ้านรองที่เป็นแพะรับบาปออกจากตระกูล และตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขาโดยสิ้นเชิง

มือที่คีบตะเกียบของผู้เฒ่าหยุนชะงักไปเล็กน้อย

“พี่สะใภ้ใหญ่ ถ้าเช่นนั้นภายหน้าท่านก็จะได้เป็นฮูหยินของขุนนาง มีชีวิตที่สุขสบายแล้ว ท่านต้องอย่าลืมพวกเรา เอ้อหลางของข้าเพิ่งจะถึงวัยแต่งงาน จากนั้นอีกไม่นานก็ซานหลาง ซื่อหลางและหรงเอ๋อ ว่าแต่… ครอบครัวของเราทั้งหมดจะได้ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ในเมืองหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่า ที่บ้านของขุนนางจะมีสาวใช้กับแม่นมมาคอยรับใช้ สิ่งใดล้วนแต่ไม่ต้องทำเอง…”

แม่นางเฉินมักจะเอ่ยถึงวันคืนที่ชีวิตสุขสบายไม่ต้องทำงาน ช่างสวยงามราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์  นางเขยิบเข้าใกล้แม่งนางจ้าว พร่ำพรรณาด้วยความสุขเสียจนน้ำลายแทบจะพ่นใส่หน้าคน