ตอนที่ 9 คนหน้าเงิน
แม่นางจ้าวขมวดคิ้วและหันหน้าหนีด้วยความรังเกียจ
นางดูถูกดูแคลนแม่นางเฉินจากก้นบึ้งของหัวใจ หญิงผู้นี้ทั้งขี้เกียจทั้งตะกละ ไหนจะสกปรก หยาบคาบและหน้าหนา นางอับอายมากที่ต้องยืนเคียงข้างญาติเช่นนี้ ยังจะมีหน้ามาตั้งตารอคอยไปเสวยสุขในเมืองอีกรึ? ช่างฝันเฟื่องเสียเหลือเกิน!
“ผู้ใดมีผลประโยชน์ ก็หวังจะพึ่งพาผู้นั้น ดูตัวไร้ค่านี่สิ ยังอยากจะให้มีคนมาคอยรับใช้อีก ฮึ…” หญิงชราหรี่ตาลง ก่อนจะตวัดหางตามองสะใภ้เฉินอย่างดุร้าย จมูกพ่นลมหายใจส่งเสียงฮึดฮัดออกมาด้วยนึกรังเกียจ
นางเป็นแม่แท้ ๆ ยังไม่เคยกล่าวว่าต้องการใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ขนาดลูกสาวสุดที่รักของนางยังไม่พูดถึงเรื่องงานแต่งที่ดีเลยด้วยซ้ำ เป็นแค่สะใภ้ต่างสกุลกลับกล้าเหยียบหัวนาง ฝากไว้ก่อนเถิด!
“ท่านแม่ ดูท่านพูดเข้า…” ที่โต๊ะอีกฝั่ง อาสามเงี่ยหูฟัง กลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด จิตใจของเขาเบ่งบานราวกับดอกไม้และยิ้มออกมาด้วยความยินดี “พี่ใหญ่จะได้เป็นข้าราชการ พวกข้าสองคนก็จะได้เป็นถึงนายท่านสามกับฮูหยินสาม เหตุใดถึงไม่สามารถเรียกสาวใช้สักสองสามคนมาคอยปรนนิบัติได้ล่ะ?”
“ใช่ นี่นับว่าสมเหตุสมผล” แม่นางเฉินคีบกับข้าวเข้าปากคำโตพร้อมกล่าวสนับสนุน
“หลายปีมานี้ พี่ใหญ่ไม่เคยต้องทำไร่ไถนา ไหนจะอาหาร เสื้อผ้า ค่าเล่าเรียนก็ต้องใช้ต้องจ่าย ไม่ใช่ว่าเป็นพวกเราหรอกรึที่จะต้องทนหิวทนลำบาก? หรือคิดจะไปเสวยสุขแล้วทิ้งขว้างพวกเรา ไม่กลัวว่าจะถูกเปิดโปงที่ทำให้คนต้องแบกรับชื่อเสียงอัปยศว่าเป็นคนเนรคุณ?” อาสามเลิกคิ้วขึ้นมองหน้าหยุนลี่จง “ท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่พี่ใหญ่?”
วาจาเหล่านี้แฝงความนัยคุกคาม หยุนลี่จงได้ฟังก็ฝืนยิ้นอย่างฝืดเฝื่อน
“กินข้าว!” ผู้เฒ่าหยุนที่นั่งก้มหน้ามาโดยตลอดใช้ตะเกียบเคาะลงบนโต๊ะด้วยความรุนแรง
ห้องโถงใหญ่เงียบสนิทลงทันตา
หยุนเชวี่ยไม่อาจฝืนทนกินต้มมะเขือที่อยู่ในหม้อ จึงได้แต่กัดหมั่นโถวสองคำ กับเต้าหู้หนึ่งชิ้น
ตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมานับเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว ยังไม่เคยเห็นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์บนโต๊ะอาหารเลยสักครั้ง ความคับข้องใจที่ต้องทนอยากอาหาร ก่อเกิดความรู้สึกว่างเปล่าในร่างกายของนาง
ความรู้สึกนี้ทำให้นางหงุดหงิดเกินกว่าจะบรรยายได้
ในทางตรงกันข้าม…
หยุนเชวี่ยได้เข้าใจถึงความหมายของคำว่า ‘ดื่มน้ำเย็นทำให้อ้วน’ อย่างลึกซึ้ง
แม้อาหารจะเหลวจนเป็นซุป นางเฉินก็ยังคงก้มหน้ากินอย่างไร้มารยาท ส่งเสียงดัง ‘จ๊อบแจ๊บ’ จนไขมันสองข้างแก้มสั่นกระเพื่อมเป็นจังหวะ
หยุนเชวี่ยเหลือบมองดูกี่ครั้งก็รู้สึกสะอิดสะเอียนและกระอักกระอ่วนใจ บังเอิญไปสะดุดเข้ากับสายตามืดมนของแม่เฒ่าจูที่มองมา
หญิงชรามองดูนางอย่างไม่พอใจ
“อาหญิง เหตุใดท่านไม่กินผักบ้างล่ะ?” หยุนเชวี่ยรู้ในทันทีว่าเป็นเพราะนางเหม่อลอยจนเผลอใช้ตะเกียบคีบเต้าหู้ถึงสองคำติด ทำให้แม่เฒ่าจูมองดูแล้วขัดหูขัดตายิ่ง
จากนั้นก็ยื่นมือไปเลื่อนจานอาหารให้หยุนชิ่วทันที
“เจ้าจะมาสนใจใยดีข้าด้วยเหตุใด ช่างเสแสร้งเสียจริง” หยุนชิ่วเบือนหน้าหนีอย่างไม่เห็นคุณค่า ยังถือโอกาสโยนหมั่นโถวที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่งเข้าในบุ้งกี๋
แน่ล่ะสิ ช่วงเวลาสามถึงห้าวันที่ผ่านมานี้ได้กินทั้งขนมปังขาวและไข่ทอด ไหนเลยจะทนกินอาหารหยาบ ๆ เช่นนี้ได้
“ข้าได้ยินป้าหวังข้างบ้านบอกว่ากินเต้าหู้เยอะ ๆ ถึงจะดี โตขึ้นจะได้ขาวใสสะอาดเหมือนเต้าหู้” หยุนเชวี่ยทำหน้าตาใสซื่อไร้เดียงสากล่าววาจาไร้สาระ
“นี่เจ้าว่าข้าไม่ขาวสะอาดงั้นรึ?”
นับเป็นการจงใจหาเรื่องอย่างไร้เหตุผล ไม่มีเรื่องแต่กลับหาเรื่องมาให้
ด้านข้าง หยุนเยว่เชิดริมฝีปากสวยขึ้นเล็กน้อย แววตาใสเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ชำเลืองมองนางอย่างรู้สึกขบขัน…
“หาใช่เช่นนั้น” หยุนเชวี่ยยักคิ้ว “ไม่ใช่ว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่เพิ่งบอกหรอกหรือ หากท่านลุงได้เป็นขุนนาง ท่านก็จะได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง เปรียบเทียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่เหล่านั้นแล้วถือว่าดีกว่าด้วยซ้ำไป ท่านว่าจริงหรือไม่ พี่เยว่เอ๋อ?”
นางเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคู่ดำขลับไม่ยินดียินร้ายใด ๆ ทั้งยังเผชิญกับแววตาเย้ยหยันของหยุนเยว่ หลังจากนั้นก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก
ทันใดนั้นหยุนเยว่ก็ถึงกับเย็นยะเยือกที่แผ่นหลัง “ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว”
หยุนชิ่วเอ๋อเชิดคางขึ้น “เจ้ายังจะพูดอีกรึ?”
แม้ในใจจะรู้สึกว่ามันเป็นคำพูดที่ดีและมีผลประโยชน์ต่อนาง ทว่านางกลับไม่ชอบรอยยิ้มและสายตาเช่นนั้นของหยุนเชวี่ยเลยแม้แต่น้อย
เด็กสาวผู้นี้เฉลียวฉลาดเกินไป เห็นแล้วหงุดหงิดใจนัก
หลังจากทานข้าวเสร็จ แม่นางเหลียนก็รับหน้าที่ทำความสะอาดถ้วยจาน โดยมีหยุนเยี่ยนและหยุนเชวี่ยตามไปช่วย
ยังเหลือหมั่นโถวอยู่จำนวนหนึ่งลูกในบุ้งกี๋ แม่เฒ่าจูนับแล้วนับอีกราวกับกลัวว่าจะถูกขโมย เมื่อมั่นใจแล้วถึงค่อยวางลง
ภายในตุ่มไม่มีน้ำ หยุนลี่เต๋อหาบไม้คานกับถังไม้ออกไปไม่พูดไม่จา
กว่าจะล้างจานชามเสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว
พี่สาวน้องชายทั้งสามคนนั่งเรียงอยู่นอกห้องปีกตะวันตกเพื่อรับลมเย็น ๆ สนทนากันเป็นประโยคสั้น โดยปกติหยุนเชวี่ยจะเป็นผู้ถาม หยุนเยี่ยนเป็นผู้ตอบ ส่วนเสี่ยวอู่เป็นผู้ฟัง
“พี่สาว ท่านว่าเหตุใดท่านย่าถึงได้ขี้เหนียวนัก? เงินทองเป็นของนอกกาย ตายไปก็เอาไปไม่ได้”
“นางก็เป็นเช่นนี้มาตลอด…”
“ท่านว่านางทั้งชีวิตนี้นางจะเก็บเงินไว้ได้เท่าไหร่?”
“ข้าเองก็ไม่รู้…”
“คนหน้าเงิน ใช่แล้ว ท่านกินข้าวอิ่มหรือไม่?”
“อืม”
“พี่สาว ท่านอยากกินเนื้อหรือไม่?”
“…”
หยุนเยี่ยนไม่ทันได้เปล่งเสียง กลับเป็นเสี่ยวอู่ที่อยู่ด้านข้างกลืนน้ำลาย “อึกๆ…”
“เด็กน้อยผู้น่าสงสาร” หยุนเชวี่ยลูบหัวน้องชายด้วยความเห็นใจ
ได้กินก็กินไม่อิ่ม มิน่าล่ะถึงได้ตัวเท่าหัวผักกาด ทนอยู่แบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว…
“พี่สาว เสี่ยวอู่…”
นางดึงทั้งสองคนให้เข้ามาอยู่ใกล้กัน กำลังจะกล่าวบางอย่าง ก็มองเห็นประตูห้องชั้นบนเปิดออก “แอ๊ด…”
ท่านปู่เดินโบกมือมาจากด้านหลัง “พ่อของพวกเจ้าล่ะ?”
“ท่านไปพ่อไปหาบน้ำ น้ำในตุ่มยังไม่เต็มเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยชี้ไปทางตุ่มน้ำหน้าบ้านที่มีขนาดใหญ่กว่าเอวของอาสะใภ้เฉินถึงสามเท่า
กว่าจะเติมน้ำให้เต็มตุ่มต้องใช้เวลาหาบน้ำนับสิบเที่ยว ไม่มีผู้ใดยอมทำงานหนักเช่นนี้ นอกจากพ่อผู้ต่ำต้อยของนาง
“โอ้” ชายชรามองไปตามทางที่นางชี้ ก่อนจะพยักหน้าครุ่นคิด
“ท่านปู่ตามหาพ่อข้ามีเรื่องอะไรหรือ?”
หลังจากจบมื้ออาหาร หยุนลี่จงและแม่นางจ้าวเข้าไปในห้องชั้นบน ปิดประตูอยู่นาน จนป่านนี้ก็ยังไม่ออกมา หยุนเชวี่ยสงสัย หรือคิดวางแผนชั่วร้ายอะไรกันอีก?
“มีเรื่องนิดหน่อย” ผู้เฒ่าหยุนหันหน้าไปทางประตูใหญ่ของลานบ้าน พร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ “มีเรื่อง…”
อาจเป็นเพราะท่านปู่ไม่เคยมีท่าทีที่ดีกับหยุนลี่เต๋อ สีหน้าของหยุนเยี่ยนและเสี่ยวอู่จึงดูเป็นกังวลขึ้นมา
จากนั้นไม่นานท่านพ่อกับท่านแม่ก็เดินหอบหายใจและจูงมือกันกลับเข้ามา
“เจ้ารอง” ผู้เฒ่าหยุนที่รออยู่ตรงบริเวณลานบ้านร้องเรียก
“ท่านพ่อ มีอะไรหรือ?”
“เข้าบ้านเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” ท่านปู่กล่าวเสียงหนักแน่น สายตาเหลือบมองไปยังแม่นางเหลียน “สะใภ้รองเจ้าก็มาด้วย”
ท้องฟ้ามืดแล้ว หยุนเชวี่ยจึงมองเห็นสีหน้าของผู้เฒ่าหยุนไม่ชัดนัก ราวกับใบหน้านั้นถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกแห่งความโศกเศร้า แลดูน่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่เจ้าหนี้บุกมาทวงหนี้ถึงหน้าประตูบ้านเมื่อตอนกลางวันเสียอีก
ท่านพ่อท่านแม่ไม่กล่าววาจาใด เดินตามชายชราเข้าห้องไปอย่างเชื่อฟัง
ประตูปิดลงอีกครั้ง
“ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก…” หยุนเยี่ยนกังวลใจจนนิ้วมือประสานกันแน่น
นางกลัวเหลือเกินว่าแม่เฒ่าจูจะไม่พอใจ แล้วอยากให้ขายนางกับเชวี่ยเอ๋อ
“ดูจากสีหน้าท่านปู่แล้วข้ามั่นใจถึงแปดส่วนว่าไม่น่าจะไม่ใช่เรื่องดี” หยุนเชวี่ยพยักพเยิดไปทางหน้าต่าง “ไปแอบฟังกัน”
ร่างเล็กกระจ้อยร่อยทั้งสามหมอบเรียงกันเป็นแถวอยู่ใต้เงามืดของหน้าต่าง ภายในห้องเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่หยุนลี่เต๋อจะเปล่งเสียงออกมา “ท่านพ่อ?”
“อืม” เสียงของชายชราเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย “ข้าให้เอ้อหลางไปตามเจ้าสามแล้ว รอเขากลับมา… เจ้ารอง ตั้งแต่ยังเล็กเจ้าก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์และจิตใจดีงาม…”