ตอนที่ 10 ขับออกจากตระกูล
หยุนเชวี่ยไม่รู้ว่ามโนธรรมของผู้เฒ่าคือการทำร้ายกันหรืออย่างไร แต่นางก็โกรธจนปวดไปถึงตับ
คนซื่อสัตย์จิตใจดี? จึงสมควรต้องถูกบีบคั้นและข่มเหงรังแก!
“เจ้ารอง เรื่องนี้เป็นพี่ใหญ่ที่ผิดต่อเจ้า…”
ชายชราเป็นผู้เริ่มหัวข้อสนทนา ส่วนหยุนลี่จงรีบตอบรับอย่างไม่รอช้า “ใช่ พี่ใหญ่จะจดจำไว้ว่าติดค้างเจ้าอย่างไร จากนี้ไปจะไม่มีทางทำให้ครอบครัวเจ้าต้องสูญเสีย ท่านพ่อ วันนี้ขอให้ท่านเป็นพยาน”
ขณะที่พูดก็ลุกขึ้นยืนชูสามนิ้วออกมาอย่างเคร่งขรึม ทำท่าทางตั้งสัตย์สาบานต่อฟ้า
“นี่…” หยุนลี่เต๋อตกใจลนลาน “ท่านพ่อ มิใช่ว่าเรื่องนี้จบไปแล้วหรือ? นี่มันอะไรกัน?”
“เป็นเพราะการสอบในฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังจะมาถึง หลังจากสอบผ่านจะมีการคัดเลือกขุนนาง จึงไม่อาจปล่อยให้เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของพี่ชายเจ้าได้…” ผู้เฒ่าเงียบไปอีกครั้งหลังจากกล่าวประโยคนี้
ภายในห้องไม่มีคนส่งเสียงอะไรออกมาอีก
ทางฝังตรงข้ามหน้าต่าง หยุนเชวี่ยสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันชวนหดหู่
ความหมายของผู้เฒ่าและหยุนลี่จงคืออะไรกันแน่?
เป็นเพียงการกล่าวขอโทษ หรือต้องการตักเตือนให้หยุนลี่เต๋อกับนางเหลียนระมัดระวังและปิดปากให้สนิท?
แล้วเหตุใดถึงต้องเรียกหยุนลี่เซี่ยวมาด้วย?
ไม่ทันรอให้หยุนเชวี่ยได้ทำความเข้าใจ คู่สามีภรรยาบ้านสามที่ทิ้งหน้าที่รับผิดชอบหลังจากทานอาหาร เพื่อออกไปเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ ก็เดินกลับมาอย่างสบายใจ
“มีเรื่องอันใดถึงไม่สามารถพูดกันในตอนกลางวัน? ฉือซื่อเพิ่งล่ากระต่ายมาได้เมื่อตอนบ่าย ข้ายังไม่ได้จับมันเลย…”
อาสามจิ๊ปากด้วยความขัดใจ ทันทีที่เห็นหยุนลี่เต๋อเขาก็กลอกตาพร้อมกับแสยะยิ้ม “พี่รอง ท่านดูสิ ตอนนี้บ้านเราไม่เหลือทั้งที่ดินและเงินทอง ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณท่าน หากยังพอรู้ดีชั่วอยู่บ้าง ก็ควรขึ้นเขาไปล่าสัตว์เพื่อเป็นการชดใช้”
หยุนลี่เต๋อไม่กล่าวคำใดออกมา
เขาลองย้อนคิดดู งานที่ทำในไร่นาล้วนเป็นเขาที่จัดการทุกอย่าง ยุ่งทั้งวันตั้งแต่เช้าจวบจนพลบค่ำ ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาทำอะไรได้อย่างสบายใจ!
“หุบปาก แล้วนั่งลงซะ จะได้พูดคุยกันเสียที!” ชายชราขู่เสียงต่ำ
อาสามทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ นั่งเอนตัวไขว่ห้างและกระดิกขาไปมาอย่างไร้ความอดทน
ผู้เฒ่าหยุนยกชาขึ้นดื่มจนหมดในรวดเดียว จากนั้นก็เริ่มกล่าว “เจ้ารอง เพื่ออนาคตของพี่ชายเจ้าและครอบครัวของพวกเรา จำใจต้อง… ทำผิดต่อเจ้าแล้ว!”
หยุนลี่เต๋อ…
“เรื่องที่เจ้าใหญ่สอบคัดเลือกตำแหน่งขุนนางในฤดูกาลที่จะถึงนี้ ไม่อาจยอมให้มีความผิดพลาดอันใดเกิดขึ้นได้ นี่คือสิ่งที่ข้าคาดหวังมาชั่วชีวิต ลูกรอง เจ้าเข้าใจความเจ็บปวดของพ่อหรือไม่?”
หยุนลี่เต๋อกำมือแน่น เขาพยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไร
“หากเจ้าเข้าใจก็ดี เช่นนั้นก็ดี…” ตั้งแต่ต้นจนจบชายชราหลุบตาลงมองต่ำ ไม่กล้าสู้หน้าหยุนลี่เต๋อ น้ำเสียงที่ใช้ดูเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง “เจ้ารอง เพียงแต่ตอนนี้ เจ้าต้องย้ายออกไปก่อน…”
ย้ายออก…?
แยกบ้าน?!
หลังจากมั่นใจแล้วว่าฟังไม่ผิด หยุนเชวี่ยแทบจะทุบกำแพงด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ในตอนที่พยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้แยกบ้านกลับทำไม่สำเร็จ แต่จู่ ๆ ก็ได้สมหวังโดยไม่ต้องลงแรงอะไร!
นางเหน็ดเหนื่อยจากการทำทุกวิถีทางเพื่อโน้มน้าวใจให้พ่อผู้ไร้ค่า เมื่อลงเอยเช่นนี้นับว่าดียิ่ง ตอนนี้ถูกตาเฒ่านั่นขับออกจากตระกูลแล้ว!
ความขุ่นเคืองเล็กน้อยในหัวใจของหยุนเชวี่ยสลายไปในพริบตา และยังรู้สึกปิติยินดีราวกับได้รับพรจากสวรรค์
“พี่สาว ท่านได้ยินหรือไม่? ท่านปู่กำลังจะขับไล่พวกเราออกจากตระกูลแล้ว!” ความสุขท่วมท้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางจึงอดไม่ได้ที่จะกำมือของหยุนเยี่ยนไว้แน่น
หยุนเยี่ยนเม้นริมฝีปากล่าง สีหน้าของนางค่อนข้างซับซ้อน
‘โดนขับออกจากตระกูล’ ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักนิด นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเชวี่ยเอ๋อถึงได้มีความสุขมากถึงเพียงนี้ เมื่อหันกลับไปมองเสี่ยวอู่ก็ดูเหมือนว่าจะเห็นความปิติฉายชัดออกมาจากแววตาไร้ระรอกคลื่น…
ภายในห้อง
ทั้งหยุนลี่เต๋อและแม่นางเหลียนต่างตกตะลึง
“ท่านพ่อ…” เขาเปิดปาก เปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
“เจ้ารอง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจถึงความยากลำบากของพ่อ” ผู้เฒ่าหยุนเงยหน้าอันหม่นหมองขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแกมขอร้อง
“…” หยุนลี่เต๋อรู้สึกถึงความร้อนในลำคอ ไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาใด
แม่เฒ่าจูทำราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน นางก้มศีรษะเข้าใกล้ตะเกียงเพื่อเย็บปักถักร้อย ภายในมือปักชุดแต่งงานให้ลูกสาว
แม่นางเหลียนนั้นเจ็บปวดยิ่งนัก ดวงตาแดงก่ำด้วยความคับข้องใจ นางอดทนอดกลั้น บีบมือตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อไม่ให้น้ำตาไหลรินออกมา
“ท่านพ่อ จะแยกบ้านอย่างไรดีล่ะ?” อาสามยืดตัวขึ้น ละทิ้งท่าทีขลาดกลัวแล้วเอ่ยถาม
ส่วนลึกในจิตใจของเขาไม่อยากจะให้แยกบ้าน พี่ใหญ่นั้นเป็นบัณฑิต ตลอดทั้งปีไม่เคยทำงาน กลับให้พี่รองที่ขยันหมั่นเพียรไม่แม้แต่ตะปริปากบ่นย้ายออกไป ถ้าเช่นนั้นไม่ใช่ว่าเหลือแค่เขาหรอกหรือ?
“เจ้าสาม เจ้าคงไม่อาจเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น” หยุนหลี่จงชำเลืองมองหยุนลี่เต๋ออย่างระมัดระวัง และกล่าวคำสัตย์สาบานขึ้นมาอีกครั้ง “ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าจะไม่มีทางปฏิบัติตนอย่างไม่ยุติธรรมต่อครอบครัวของน้องชายตนเอง”
“ข้าไม่เข้าใจอันใด พี่ใหญ่ท่านกล่าวมาได้เลย” อาสามยังคงยืนกราน
“เจ้าจะทำอะไรได้นอกจากเที่ยวเล่นไปวัน ๆ? ตอนนี้เจ้าใหญ่กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ขอเพียงเจ้าช่วยอยู่นิ่ง ๆ ไม่สร้างปัญหา…”
ชายชราทิ้งคำพูดไว้เพียงครึ่งประโยค ส่งสายตาห้ามปรามไปยังหยุนลี่เซี่ยว จากนั้นจึงหันไปถามหยุนลี่เต๋อด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าสอง เจ้าคิดอย่างไร?”
ในหัวของหยุนลี่เต๋อว่างเปล่า
เขาทั้งผิดหวังและคับข้องใจ ทว่ารับรู้ได้ถึงแววตาเป็นทุกข์ที่แสดงให้เห็นความละอายใจอย่างหนักหน่วงของบิดา ฉับพลันเขาก็รู้สึกอับจนหนทางขึ้นมา
“ข้า… เห็นควรตามที่ท่านพ่อพูด!” หยุนลี่เต๋อก้มหน้าลงและพูดอย่างมืดมน
ชายชราเหยียดหลังขึ้นและเอนตัวเล็กน้อย “เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็เชิญหวังหลี่เจิ้งมาเป็นพยาน”
“อืม” หยุนลี่เต๋อรับคำเพียงสั้น ๆ โดยไม่มีข้อโต้แย้งอันใด
เมื่อผู้เฒ่าโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณว่าแยกย้ายกันไปได้ ทันใดนั้นหยุนเชวี่ยก็พรวดพราดขึ้นมาจากข้างหน้าต่าง
“ท่านปู่ ท่านจะจัดสรรทรัพย์สินสำหรับการแยกบ้านของข้าอย่างไร?”
“…” สีหน้าของผู้เฒ่าและหยุนลี่จงถึงกับชะงักงัน
พวกเขาต่างไม่รู้ว่าเด็กสาวผู้นี้ฟังอยู่นานเพียงใดและได้ยินอะไรไปบ้าง
“หรือท่านปู่คิดจะให้พ่อข้าออกจากบ้านตัวเปล่า?” สองมือของนางเกาะอยู่บนลูกกรงหน้าต่าง พลางเอียงศีรษะเอ่ยถามด้วยสีหน้าขลาดเขลา
“…”
ผู้เฒ่าหยุนถึงกับสำลัก ยังไม่ทันได้กล่าว อาสามก็กระโจนออกมาถลึงตาแยกเขี้ยวใส่หยุนเชวี่ยแล้ว “พ่อของเจ้าทำลายครอบครัวจนย่อยยับ ยังต้องการอะไรอีก ไม่เอาเจ้าไปขายก็ดีแค่ไหนแล้ว! ไม่รู้จักสำนึก…”
หยุนเชวี่ยไม่อยากเสวนากับคนผู้นี้ จึงทำเมินเฉยเหมือนไม่ได้ยินที่เขากล่าว เพียงจ้องมองและยิ้มให้ผู้เฒ่าหยุนราวกับรอฟังคำตอบ
“จะจัดสรรทรัพย์สินในบ้านอย่างไร… คงต้องพิจารณากันให้รอบคอบก่อน ตอนนี้ดึกแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกัน” ชายชรามุมปากกระตุก กล่าวออกมาอย่างลำบากใจ
“อืม” หยุนเชวี่ยพยักหน้าอย่างรู้ความ “เช่นนั้นพวกข้าจะกลับเข้าบ้านไปปรึกษากันให้ดี”
“ปรึกษาอะไรกัน!?”
เมื่อพูดถึงการแบ่งสรรปันส่วนทรัพย์สินในครอบครัว แม่เฒ่าจูก็โมโหและวางกรรไกรในมือลงบนโต๊ะด้วยความรุนแรง “แต่ละคนล้วนใจดำอำมหิต! คงหวังจะให้ข้าอดตายไปเสียโดยเร็ว! เด็กเนรคุณ! ไม่ช้าก็เร็วต้องได้ชดใช้กรรม…”
หญิงชราสาปแช่งลูกหลานของตนราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหมือนกินข้าวมื้อหนึ่ง เพียงเปิดปากคำด่าทอก็พรั่งพรูออกมา หยุนเชวี่ยฟังจนชินเสียแล้ว ทั้งยังรู้วิธีการรับมือกับนางอีกด้วย
เพียงสี่คำ อย่า ได้ ใส่ ใจ
ความโมโหฉุนเฉียวก็ดี คำนินทาว่าร้ายก็ช่าง ถือเป็นแค่ลมพัดผ่านไป คิดว่ามันคือเงาลวงของแสงจันทร์กลางน้ำ ทำอะไรเราไม่ได้ก็เท่านั้น
หยุนเชวี่ยกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ท่านย่า รีบเข้านอนเถิด อย่าทรมานสายตาเลย”
“…” แม่เฒ่าจูโกรธจนแทบหงายหลัง เกือบจะนั่งนิ่งไม่ไหวติง นางสูดกลั้นลมหายใจเข้าลึก ๆ จนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวและนิ่งอึ้งอยู่นาน
หยุนเชวี่ยกระโดดจากด้านหลังหน้าต่างมาที่หน้าประตู เพื่อจับมือแม่นางเหลียน แต่ยังไม่ทันเดินถึงสองก้าว ก็หันกลับมาพูดกับหยุนลี่จง “ลุงใหญ่ ท่านเรียนหนังสือมานาน ข้ามีคำถามที่อยากจะถาม”
“…” ทุกคนในห้องต่างหันมามองนางด้วยสีหน้างุนงง
เขาแกร่งปล่อยเขาแกร่ง ลมโชยพัดขุนเขา เขาร้ายปล่อยเขาร้าย จันทร์กระจ่างกลางน้ำ*
*ความโมโหฉุนเฉียวก็ดี คำนินทาว่าร้ายก็ช่าง ถือเป็นแค่ลมพัดผ่านไป คิดว่ามันคือเงาลวงของแสงจันทร์กลางน้ำ ทำอะไรเราไม่ได้