ตอนที่ 11 เด็กอัจฉริยะ
ดวงตาของหยุนเชวี่ยจ้องมองไปยังใบหน้าของหยุนลี่จง “วันก่อนข้าได้ยินหวังหลี่เจิ้งพูดว่า ‘วิญญูชนจิตใจกว้างขวาง สงบมั่นคง ทรชนใจแคบคิดเล็กคิดน้อย ห่วงแต่จะได้หรือเสีย’ เชวี่ยเอ๋อฟังแล้วไม่เข้าใจ จึงอยากขอให้ลุงใหญ่ช่วยชี้แนะ”
“…” สีหน้าของหยุนลี่จงเปลี่ยนไปในทันที
การแสดงออกนั้นไร้เดียงสา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคมชัดและอ่อนโยน แต่วาจาจากปากนางล้วนเชือดเฉือนหยุนลี่จงอย่างจัง
“ลุงใหญ่เองก็ไม่เข้าใจหรือ?”
หยุนลี่จงเบิกตากว้าง เขาข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองให้นิ่งสงบ “คำกล่าวนี้หมายความว่า ผู้มีจิตเมตตาจะมีโชควาสนาเนิ่นนาน ไม่ว่าเกิดเรื่องราวใด ๆ ล้วนจิตใจเบิกบาน ส่วนผู้มีจิตใจคับแคบ คิดเล็กคิดน้อย มีความปรารถนาในใจมากเกินไป ภาระทางจิตใจจึงหนักอึ้ง และมักวิตกกังวลอยู่เสมอ…”
นัยตาสีเข้มของหยุนเชวี่ยราวกับมีลูกไฟดวงใหญ่ลุกโชน จนแม้แต่หยุนลี่จงยังไม่อาจสบตากับนางโดยตรงได้
เด็กสาวผู้นี้กล่าววาจาเหมือนขอ ‘คำชี้แนะ’ แต่ความจริงแล้วมันคือการตบหน้าเขาต่างหาก!
เมื่อหยุนเชวี่ยถามหนึ่งคำ หยุนลี่จงก็ตอบกลับไปหนึ่งคำ มีเพียงชายชราผู้อยู่ในห้องเท่านั้น ที่กำลังขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
“ดึกแล้ว กลับเข้าห้องไปนอนพักผ่อนกันเถิด!” ใบหน้าของเขาบึ้งตึง มองไปที่หยุนเชวี่ยด้วยท่าทางซับซ้อนยากจะอธิบาย
ในห้องทางฝั่งตะวันตก
หยุนลี่เต๋อนั่งกุมศีรษะอยู่ข้างเตียงสีหน้าหม่นหมอง เขาพูดไม่ออก ในอกร้อนรุ่มราวกับถูกไฟแผดเผา
แม่นางเหลียนเองก็สุดจะทน นางปาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาด้วยความคับข้องใจ สะอื้นไห้อย่างขมขื่น “ข้าถามตัวเองอยู่เสมอ ตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้าตระกูลหยุน ไม่เคยมีสักครั้งที่ล่วงเกินท่านพ่อท่านแม่ แต่สุดท้ายกลับถูกขับออกจากตระกูล…”
“เป็นข้าเองที่ไม่อาจะปกป้องเจ้าได้” หยุนลี่เต๋อดึงทึ้งผมและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้
หยุนเชวี่ยเหลือบตาขึ้นมองหลังคาบ้านอย่างหมดสิ้นคำพูด หากไม่เห็นแก่พ่อแม่ของนาง แน่นอนว่านางไม่มีทางทนอยู่ในบ้านหลังนี้!
หลังจากผ่านไปสักครู่ นางก็เริ่มรู้สึกทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นหยุนลี่เต๋อจมอยู่กับความโศกเศร้าเช่นนี้
“ท่านพ่อ ท่านปู่พูดแล้วว่าพรุ่งนี้เราต้องแยกบ้าน มาปรึกษากันเถอะว่าเราต้องการอะไรบ้าง”
เนื่องจากชายชราไม่ได้คัดค้าน นั่นหมายความว่าเขายอมจำนน ฉับพลันหยุนเชวี่ยก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเปิดโปงหยุนลี่จง แต่ลอบโจมตีเขาโดยไร้ความผิดดูน่าจะสะใจยิ่งกว่า
“ข้าดูก็รู้ว่าท่านปูกับท่านย่าหมายความว่าอย่างไร พวกเขาไม่ได้อยากแบ่งทรัพย์สินให้พวกเราหรอก” หยุนเยี่ยนพูดขณะก้มลงจัดที่นอน
ในห้องฝั่งตะวันตกมีเตียงนอนสองเตียง หนึ่งเล็ก หนึ่งใหญ่ คั่นด้วยผ้าม่านในตอนกลางคืน เสี่ยวอู่นอนกับพ่อแม่บนเตียงใหญ่ ส่วนพี่สาวทั้งสองนอนเบียดกันบนเตียงเล็ก
“ไม่จริงหรอก ท่านปู่คงไม่ปล่อยให้ครอบครัวเราอดตายหรอก” หยุนเชวี่ยมองไปทางหยุนลี่เต๋อ ก่อนจะหันไปกระซิบข้างหูหยุนเยี่ยน “หากพวกเขาไม่ให้ ข้าจะเปิดโปงเรื่องของท่านลุงใหญ่ รับรองว่าชาตินี้เขาไม่มีวันได้เป็นขุนนางอย่างแน่นอน”
หยุนเยี่ยนตกใจ รีบเอื้อมมือไปตะครุบปากน้องสาวอย่างรวดเร็ว “อย่าพูดจาเหลวไหล ไม่อย่างนั้นท่านปู่จะตีเจ้าจนตาย”
หยุนเชวี่ยหาได้หวาดกลัวอันใด นางเดินไปนอนที่เตียง เอามือรองศีรษะและแกว่งขาด้วยความดีใจ “พี่สาว บอกข้าที บ้านของเรามีทรัพย์สินอะไรบ้าง?”
“หลังจากชดใช้หนี้ไปยี่สิบไร่ เหลือที่ดินสามสิบสี่ไร่ มีสวนผัก ไก่สิบสามตัวและหมูอีกสี่ตัว นอกจากนี้…ข้าก็ไม่รู้แล้ว”
เงินของหญิงชรานำไปใช้หนี้หมดแล้ว น่าจะเหลืออยู่ไม่มาก แม้ว่าจะมีเครื่องประดับอยู่บ้าง แต่ก็เป็นสินสอดทองหมั้นที่เก็บไว้ให้หยุนชิ่ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสนใจ
หยุนเชวี่ยลูบคางพลางดีดลูกคิดอันเล็กในมือ แต่ก่อนที่จะคำนวณได้ ก็ได้ยินเสี่ยวอู่พูดผ่านม่านกั้นขึ้นมา
“นับหัวคน”
“ที่ดินแปดไร่เก้าเฟิน”
“ไก่สามตัวครึ่ง”
“หมูหนึ่งตัว”
หยุนเชวี่ยตกตะลึง หลังจากตอบสนองได้ก็รีบผุดขึ้นจากเตียงและโผล่หัวออกไปนอกผ้าม่าน “เสี่ยวอู่!”
ทั้งหยุนลี่เต๋อและแม่นางเหลียนต่างผงะกับน้ำเสียงประหลาดใจของนาง
“เสี่ยวอู่ ใครสอนเจ้านับเลขหรือ?” หยุนเชวี่ยจ้องมองเขาราวกับเจอสมบัติล้ำค่า
เสี่ยวอู่นอนอยู่บนเตียงแล้วส่ายหัวอย่างไร้อารมณ์
“เช่นนั้นข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง มีไก่และกระต่ายอยู่ในกรงเดียวกัน ทั้งหมดมีสามสิบห้าหัว เก้าสิบสี่ขา ในกรงจะต้องมีไก่และกระต่ายอย่างละกี่ตัว?”
คำถามจาก ‘หลักคณิตศาสตร์โดยอาจารย์ซุน’ นี้น่าสนใจมากและสามารถทำให้ผู้คนสับสนได้โดยง่าย
“ไก่ กระต่าย มีหัว มีเท้าอะไร? เจ้าสองคนหากตะกละมาก ก็ให้ท่านพ่อเจ้าหาเวลาไปล่าสัตว์ที่หลังภูเขาเถิด” แม่นางเหลียนไม่เข้าใจเรื่องราว
“ชู่ว…” หยุนเชวี่ยทำท่าทางให้เงียบ ๆ
ดวงตาของเสี่ยวอู่หรี่ลงเล็กน้อยในความมืด เคาะนิ้วตรงขอบเตียงเป็นจังหวะ เพียงครู่เดียวมุมปากของเขาก็ยกขึ้น
“กระต่ายสิบสองตัว ไก่ยี่สิบสามตัว”
หยุนเชวี่ยรีบวิ่งเท้าเปล่าไปทั้งบีบแก้มเขาด้วยความตื่นเต้น “เสี่ยวอู่ เสี่ยวอู่เจ้าเป็นเด็กอัจฉริยะ!”
เสี่ยวอู่ที่ถูกบีบเค้นราวกับเป็นแป้งซาลาเปายังคงนิ่งสงบ
หยุนลี่เต๋อเกาศีรษะอยู่นาน ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจ้องมองเสี่ยวอู่ด้วยแววตาตื่นเต้นและประหลาดใจ
เสี่ยวอู่ไม่ได้โง่ ลูกชายคนเดียวของเขาไม่ใช่คนโง่ ทั้งยังฉลาดกว่าเด็กคนอื่นทั่วไป เรื่องนี้ทำให้ความเศร้าหมองในใจของเขามลายหายไปทันที
หยุนเชวี่ยราวกับคนที่ขุดพบสมบัติล้ำค่า นางตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ หลังจากทิ้งตัวลงนอนบนเตียงก็เอาแต่พลิกไปมาจนรบกวนหยุนเยี่ยนที่นอนอยู่ข้าง ๆ
“เจ้าทำอะไรอยู่ ? ดึกมากแล้ว”
“พี่สาว หากเสี่ยวอู่ได้เรียนหนังสือ เขาจะต้องเก่งกว่าท่านลุงใหญ่และพี่หยุนโม่อย่างแน่นอน”
“…”
“ต่อให้ภายหน้าไม่ได้รับราชการ ก็ต้องมีชื่อเสียงดีงาม”
“…”
ไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา ลมหายใจของหยุนเยี่ยนค่อย ๆ สม่ำเสมอ
หยุนเชวี่ยมองดูแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง หัวใจของนางจมดิ่งไปกับความคิดของตัวเอง
แยกบ้าน
หาเงิน
ย้ายออกจากบ้านหลังนี้
ส่งเสี่ยวอู่เรียนหนังสือ
หากเป็นไปได้…
คงจะดีมากหากนางกลายเป็นหญิงสาวผู้ร่ำรวยและได้แต่งงานกับชายหนุ่มรูปงาม ไม่ต้องทนตกนรกกับผู้ชายที่กดขี่เพศหญิง
หยุนเชวี่ยนอนลืมตาด้วยใจเป็นสุขจนกระทั่งได้ยินเสียงไก่ขัน
ทันทีที่ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แม่นางเหลียนก็รีบลุกมาเตรียมอาหารให้ครอบครัวของนาง เดินวุ่นวายไปมาอยู่ในบ้าน
ผู้เฒ่าหยุนนั้นตื่นเช้าอยู่เสมอ เขามักจะเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการไปเก็บฟืน
หยุนเชวี่ยถกแขนเสื้อแล้วกระโจนเข้าไปหา “ท่านปู่ ให้ข้าช่วย”
ชายชราพยักหน้า พร้อมกับคิดว่านางเป็นเด็ก ‘เชื่อฟัง’ ตอนนี้แววตาของเขาไม่ได้มองด้วยความรังเกียจ แต่ก็ไม่ได้ใจดีหรือเป็นมิตรขนาดนั้น
“เมื่อวานเจ้าได้ยินอะไรบ้าง?” ชายชรายืนขึ้นพร้อมกับปัดฝุ่นที่มือ
นางจึงตอบกลับไปอย่างง่ายดาย “ข้าได้ยินทั้งหมดแล้ว”
“…”
“ข้ายังรู้อีกว่าคนที่ค้ำประกันให้ท่านลุงใหญ่คือหลี่ฝูชุ่น ได้ยินว่าเขาเป็นคนหมู่บ้านใกล้เคียงและทำงานอยู่ในเมือง”
ชายชราตัวแข็งทื่อ สีหน้าของเขามืดครึ้มลงทันตา
หยุนเชวี่ยหาได้ใส่ใจ นางยังคงแย้มยิ้มเผยให้เห็นลักยิ้มเล็ก ๆ ที่สองข้างแก้ม สวมผ้าคลุมสีเขียว ใบหน้าขาวผ่องมองดูแล้วช่างใสซื่อไร้เดียงสา
น่าเสียดายที่เป็นเด็กเจ้าเล่ห์ตั้งแต่อายุยังน้อย ผู้เฒ่าหยุนจ้องมองนาง อดทำหน้านิ่วขมวดคิ้วไม่ได้ เจ้ารองจะอบรมสั่งสอนเด็กผู้หญิงเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ท่านปู่” หยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตกระพริบปริบ ๆ “เรื่องเมื่อคืนที่ท่านให้ไปปรึกษาหารือกันนั้น พวกข้าคุยกันเรียบร้อยแล้ว”
“แค่จัดสรรตามจำนวนคน ครอบครัวของข้ามีห้าคน ควรจะได้ที่ดินแปดไร่เก้าเฟิน ไก่สามตัวครึ่ง และหมูอีกหนึ่งตัว”
“ข้าไม่อยากได้ไก่ครึ่งตัว จึงขอแลกเปลี่ยนเป็นไข่ยี่สิบฟองแทน ส่วนข้าวสารอาหารแห้งนั้นตามแต่ท่านปู่จะแบ่งให้ เพียงแค่ขอให้พอกินถึงช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง”
“ไม่จำเป็นต้องแบ่งสวนผัก ครอบครัวข้าแค่ขอเก็บมาทำอาหารกินตามฤดูกาลเท่านั้น…”
*หลักคำสอนของขงจื๊อที่ว่า “ผู้มีจิตเมตตาจะมีโชควาสนาเนิ่นนาน ไม่ว่าเรื่องราวใด ๆ ล้วนเบิกบานกว้างไกล ผู้มีจิตใจคับแคบคิดเล็กคิดน้อย บารมีด้อยบุญน้อยดูต้อยต่ า ไม่ว่าเรื่องราวใด ๆ ล้วนอึดอัด ตกอับคับแคบ”
*เฟิน เป็นหน่วยวัด โดย 1 เฟิน ยาวประมาณ 0.33 เซนติเมตร