ตอนที่ 195 ศิษย์หลานช่วยเหลือ

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

วันรุ่งขึ้น

“ศิษย์หลาน…กำลังเตรียมสอนหรือ” หยวนเจียงเดินเข้าห้องตำราอย่างช้าๆ มองดูอวิ๋นเจี่ยวที่กำลังขีดๆ เขียนๆ ยิ้มอย่างเป็นมิตร

อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้ามองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะตอบ “ไม่ใช่เตรียมสอน ข้าแค่อยากปรับข่ายพลังเปลวเพลิงดูว่าจะสามารถควบคุมให้ข่ายพลังมีพลังภายในขอบข่ายที่กำหนดหรือไม่”

“ควบคุม?” หยวนเจียงผงะ ก่อนจะพบว่าใต้มือของนางเป็นภาพของข่ายพลังซับซ้อนจำนวนมาก เขามองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกเวียนหัว “ข่ายพลังเปลวเพลิงไม่ได้มีพลังมากยิ่งดีหรือ ทำไมต้องควบคุม หรือว่า…” ทันใดนั้นดวงตาของเขาลุกเป็นประกาย “ขอบข่ายเล็กลงพลังจะมากขึ้นหรือ?!”

“ไม่ใช่!” อวิ๋นเจี่ยวส่ายหัว

“เช่นนั้นเจ้า…”

“ข้าวโพดต้องทำให้สุกแล้วไม่ใช่เหรอ” อวิ๋นเจี่ยวอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าวโพดนั้นโตเกินไป อาจารย์ปู่บอกว่าหม้อหุง…เอ่อ เตาหลอมยาเล็กเกินไป ใส่เข้าไปไม่ได้ ข้าจึงลองปรับข่ายพลังเปลวเพลิงดู”

“ดังนั้น ข่ายพลังนี้ใช้เพื่อ…”

“อบข้าวโพด!” นางโพล่งออกมาทันที

อะไรนะ?

( ̄△ ̄;)

ใช้ข่ายพลังมาอบข้าวโพด!

หยวนเจียงรู้สึกเหมือนจะกระอักเลือด เจ้าเคยนึกถึงความรู้สึกของข่ายพลังเปลวเพลิงหรือไม่ อย่างน้อยมันก็เป็นข่ายพลังระดับสูง เจ้าเคารพ ‘ศักดิ์ศรี’ ของมันหน่อยได้หรือไม่

“ได้แล้ว! เท่านี้คงจะใช้ได้” อวิ๋นเจี่ยวลงขีดสุดท้าย ก่อนจะหันไปมองหยวนเจียง “อาจารย์อาหยวนมาหาข้าเวลานี้ มีเรื่องอะไร”

หยวนเจียงผงะ ก่อนจะดึงสติกลับมา พร้อมกับพยายามไม่สนใจข่ายพลังที่ถูกปรับจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมนั้น เขากระแอมไอขึ้นมาหนึ่งที “ข้ามีเรื่อง…อยากรบกวนศิษย์หลาน”

อวิ๋นเจี่ยวเหลือบตามองเขา มองดูท่าทางที่อยากจะคุยยาวของอีกฝ่าย นางเก็บภาพข่ายพลังในมือลง ก่อนจะเชิญให้เขานั่งลงที่โต๊ะรับแขก พร้อมกับส่งน้ำชาแก้วหนึ่งไปให้ “เกี่ยวกับอาจารย์ปู่?”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เขาทำหน้าตกตะลึง

“อ่อ ท่านถูกอาจารย์ปู่ทำโทษให้คุกเข่ามาหนึ่งคืนไม่ใช่หรือ” นางพูดออกมา ไม่เพียงแต่นางรู้ ชายแก่ หรือแม้กระทั่งเกษตรกรก็แวะมาดูอยู่สักพัก

“…” อย่าแฉความลำบากของคนอื่นสิ!

○| ̄|_

หยวนเจียงรับแก้วน้ำชามาพร้อมปากที่กระตุก ก่อนจะกระแอมไอแก้เขิน “แค่ก! คืออย่างนี้ เพื่อนของข้า…คนหนึ่ง ชื่นชมอาจารย์มาเป็นเวลานาน เขาคิดจะหาโอกาสมาทำความเคารพอาจารย์อยู่ตลอด แต่ว่า…เจ้าก็รู้นิสัยของอาจารย์ เขาไม่อยากจะเจอคนนอกอย่างแน่นอน”

เขายิ่งพูดคิ้วยิ่งขมวด ดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวและพูดต่อ “ข้าเคยพูดกับอาจารย์หลายครั้ง เขาไม่เคยตอบตกลงเลย อีกทั้งยังรู้สึก…รังเกียจเพื่อนคนนั้นของข้า”

“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวตอบรับ ก่อนจะเทน้ำชาให้ตนเอง พร้อมถามขึ้น “เพื่อนสำคัญมากไหม”

“แน่นอน!” หยวนเจียงตาลุกวาว ก่อนจะพยักหน้าอย่างแรง “ศิษย์หลานอาจไม่รู้ เขาเป็นบุรุษที่แท้จริง ถึงแม้จะมีฐานะสูงส่ง แต่เขาแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่ข้า ลูกศิษย์เสวียนเหมินที่ได้บรรลุส่วนใหญ่นั้นล้วนได้รับความช่วยเหลือจากเขา เขามีเมตตาต่อคน ถึงแม้จะเป็นเทพผู้น้อย เขาก็ดูแลไม่น้อย หากศิษย์หลานได้พบเขา ก็ต้องตกตะลึงในการกระทำของเขา”

“อ่อ” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า มองดูท่าทางของหยวนเจียง รู้สึกเกิดความสนใจคนที่อีกฝ่ายพูดขึ้นมา

“ศิษย์หลานก็รู้ สามโลกในระยะเวลานี้…เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย” หยวนเจียงขมวดคิ้ว ราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะพูดต่อ “ที่จริงที่เขาอยากพบอาจารย์ครานี้ ก็ไม่ได้เป็นเพราะชื่นชมเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งสำคัญคือเพื่อสามโลก ดังนั้น…” เขาหยุดชะงักไป ก่อนจะมองไปยังอวิ๋นเจี่ยวอย่างมีความหวัง

“ท่านอยากให้ข้าโน้มน้าวอาจารย์ปู่?” อวิ๋นเจี่ยวพูด

หยวนเจียงยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าอ้อนวอน “ศิษย์หลาน อาจารย์ปฏิบัติกับเจ้าแตกต่างจากคนอื่น พวกข้าศิษย์พี่น้องรวมกันยังเทียบเจ้าไม่ได้ แน่นอนว่าความสามารถของศิษย์หลานก็…เอ่อ ทำให้คนตกตะลึง ในโลกนี้นอกจากเจ้าแล้ว คงไม่มีใครสามารถโน้มน้าวอาจารย์ได้อีกแล้ว”

“…” อวิ๋นเจี่ยวยังคงดื่มชา ไม่ตอบรับอีกฝ่าย

“อีกทั้ง…” เขายังคงพูดต่อ “ศิษย์หลานเองก็เป็นกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ไม่ใช่หรือ ข้ารับรอง หากเจ้าช่วยข้าโน้มน้าวอาจารย์ได้ เรื่องนี้จะจัดการได้อย่างรวดเร็ว โลกมนุษย์จะได้รับความสงบอย่างแท้จริง!”

“เพื่อนของท่าน…เก่งกาจถึงเพียงนี้?” อวิ๋นเจี่ยวเงยหน้ามองเขา

“เรื่องนี้ศิษย์หลานวางใจได้” หยวนเจียงพยักหน้าอย่างมั่นใจ “คนอื่นข้าไม่กล้ารับรอง แต่เขาเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น ไม่ว่าจะนิสัย พลัง อำนาจ ข้ามั่นใจว่าโลกนี้นอกจากเขาแล้ว คงไม่มีใครสามารถทำได้ดีกว่าเขา มีเพียงเขาที่สามารถทำให้สามโลกสงบ ดังนั้น…”

“ดังนั้น…” อวิ๋นเจี่ยวพูดขัดเขา ก่อนจะพูดขึ้น “เขาคือมหาเทพท่านไหน”

“…”

เอ๊ะ?!!

(⊙_⊙)

หยวนเจียงผงะ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามเช่นนี้ สายตาเต็มไปด้วยความตะลึง

“ให้ข้าลองทายดู…” อวิ๋นเจี่ยวเคาะโต๊ะอย่างเคยชิน ก่อนจะพูดต่อ “ดูท่าทางเรื่องอสูรกลืนนภาครั้งที่แล้ว คงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านเทพที่ชื่อฉู่เหยียนเท่านั้น แต่ยังมีความเป็นไปได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านมหาเทพของสวรรค์ แต่ก็ไม่รู้ว่าท่านไหน จะเป็นท่านมหาเทพที่เป็นเพื่อนท่าน หรือว่าคนอื่น”

สีหน้าของหยวนเจียงซับซ้อนขึ้นมาทันที เขากวาดตามองนางขึ้นลง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ศิษย์หลานช่างเฉลียวฉลาด…” เดิมทีเขาไม่อยากให้นางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงอ้างว่าเป็นเพื่อน ไม่คิดว่าจะทำให้ศิษย์หลานคาดเดาความจริงได้เกือบครึ่ง

“เรื่องอสูรกลืนนภานั้น ตกลงเป็นอย่างไรกันแน่” อวิ๋นเจี่ยวถาม

สีหน้าของหยวนเจียงเคร่งเครียด คิ้วของเขาขมวดมุ่น ก่อนจะพูดขึ้น “ตามที่ศิษย์หลานพูด เรื่องอสูรกลืนนภานั้น ฉู่เหยียนเพียงคนเดียวคงทำไม่ได้ ด้านหลังเขาต้องมีคนอื่น เพียงแต่เรื่องนี้…ศิษย์หลานแน่ใจว่าอยากรู้?”

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกังวล มองดูนางทีหนึ่งก่อนจะพูด “เมื่อรู้เรื่องเหล่านี้ เจ้าจะพัวพันกับเรื่องของโลกบน ถึงแม้เจ้าจะมีพรสวรรค์มาก ความสามารถก็…น่าตกตะลึง แต่ว่าเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศิษย์หลานไป๋ หาก…” เขาไม่ได้พูดต่อ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดกว่าเดิม

อวิ๋นเจี่ยวกวาดตามองเขา “อาจารย์อาพูดช้าไปหน่อยหรือไม่”

“…” หยวนเจียงผงะ หมายความว่าอย่างไร

“อสูรกลืนนภาก็ดี หรือแผนการของอาจารย์อาในวันนี้ก็ดี มีเรื่องไหนที่ไม่เกี่ยวกับสำนักชิงหยาง” อวิ๋นเจี่ยวบอกเล่าความจริง “อย่าว่าแต่โลกมนุษย์ ถึงแม้จะเป็นยมโลก มีปากก็จะถาม มีหูก็จะได้ยิน มีใครไม่รู้บ้างว่าสำนักชิงหยางมีส่วนเกี่ยวข้อง”

นางมองเขาอย่างตั้งใจ สีหน้ายังคงเคร่งขรึม สายตาสงบเงียบราวกับสามารถมองทะลุทุกอย่าง “อาจารย์อาหยวน นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ข้าจะตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วม แต่พวกข้าได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”

“…”