บทที่ 176 เรียนหนังสือ

คู่ชะตาบันดาลรัก

“จี้เสียวอู่ๆ!” เมื่อใกล้ถึงสถานศึกษาก็มีเสียงตะโกนมาจากด้านหลัง เป็นเด็กหนุ่มรุ่นเยาว์สองสามคนเดินหัวเราะตามหลังเขามา

จี้เสียวอู่หันศีรษะไปมอง “เรียกใครจี้เสียวอู่ ข้าไม่มีชื่อเล่นหรือไง”

คนที่เรียกตบปากตนเองเบาๆ “ได้ๆ จี้เหวย เหตุใดวันนี้เจ้าถึงได้มาเข้าเรียนล่ะ ถูกพี่ชายขับไสไล่ส่งมาหรือ”

เขาช่างเข้าใจจี้เสียวอู่ดีจริงๆ…

จี้เสียวอู่ตอบอย่างเกียจคร้าน “ข้าจะเข้าเรียนมันแปลกตรงไหน ของขวัญก็มอบให้อาจารย์ไปแล้ว”

“ผู้ใดจะไม่รู้จักเจ้ากัน…” ในขณะที่คนผู้นี้หัวเราะเขาก็ถูกเพื่อนที่เดินมาด้วยกันดึงเบาๆ

เด็กหนุ่มหลายคนส่งสายตามาทางหมิงเวยแล้วหนึ่งในนั้นก็ถามเขาว่า “จี้เสียวอู่ แม่นางผู้นี้เป็นผู้ใดหรือ เหตุใดเจ้าถึงเดินมากับนางได้”

จี้เสียวอู่มองหมิงเวยจากนั้นก็หันกลับไปมองคนพวกนี้อย่างโกรธๆ “ข้าไม่ให้มอง! นางเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า!” เด็กหนุ่มหลายคนได้ยินเช่นนั้นก็รีบเปลี่ยนเป็นท่าทีเรียบร้อยแล้วคารวะทักทายนาง

หมิงเวยคารวะกลับ เห็นใบหน้าแดงๆ ของพวกเขาแล้ว จี้เสียวอู่ถลึงตาแล้วโบกมือไล่หมิงเวย “ถึงสถานศึกษาแล้วเจ้ารีบเข้าไปซะ!”

หมิงเวยคารวะเขาอีกครั้ง “เจ้าค่ะ พี่ห้า” จากนั้นก็พาตัวฝูเดินเข้าสถานศึกษาหมิงเฉิงไป

เห็นนางพูดด้วยเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลเช่นนั้นจี้เสียวอู่ก็ทั้งขนลุกและโกรธ แสร้งทำตัวเช่นนั้นต่อหน้าผู้อื่นเสมือนคนเฒ่าคนแก่ขุดหลุมให้เขากระโดดลงไป! คนอื่นที่ไม่รู้คงคิดว่านางเคารพพี่ชายอย่างเขาคนนี้มาก!

แน่นอนว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาดูอิจฉาและบางคนก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่น้องหญิง น้ำตาลใกล้มด! จี้เหวยเจ้าโชคดีมากจริงๆ”

จี้เสียวอู่แค่นหัวเราะไม่อยากคุยเรื่องหมิงเวยกับคนพวกนี้จึงหมุนตัวเดินเข้าสถานศึกษาที่อยู่ติดกัน “พวกเจ้าอย่าพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องนี้เลย ข้าไม่เข้าเรียนหลายวันเจ้าคนแซ่จ้าวคนนั้นไม่ได้ก่อปัญหาใช่หรือไม่”

จี้เสียวอู่คนนี้บอกว่าอย่าไปใส่ใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่เรื่องของคนแซ่จ้าวคนนั้นพวกเขาไม่สนใจไม่ได้ต่างคนต่างแย่งกันพูด

“วันก่อนเขาเอาการบ้านของสู่จ้งไปเปลี่ยน”

“เมื่อวานยังบอกเสวียอวี้[1]อีกว่าพวกเราแอบเล่นไพ่”

“ยังบอกอีกว่าพวกเราขี้ขลาดต้องการนัดดวลกับพวกเรา!”

จี้เสียวอู่พับแขนเสื้อ “เอาสิ นัดดวลก็นัดดวล!”

…………

เมื่อเข้าไปในสถานศึกษาหมิงเวยก็เดินทางไปรายงานตัว อาจารย์เฮ่อมีท่าทีอ่อนโยน นางเรียกเสวียอวี้ผู้ได้รับหน้าที่รับผิดชอบห้องเรียนหลิงหานมาพาหมิงเวยไปเข้าเรียน

เสวียอวี้ผู้นี้แซ่เฉิน นางอายุไม่มากน่าจะยี่สิบต้นๆ ไม่รู้ว่าบ้านไหนให้สมาชิกที่เป็นหญิงทำงานควบสองตำแหน่งกัน นางพาหมิงเวยไปที่ห้องเรียนระหว่างทางก็บอกหมิงเวยว่า “นักเรียนห้องหลิงหานส่วนใหญ่มาจากตระกูลชนชั้นสูง พวกนางจะมีนิสัยอวดดีไปหน่อย เจ้าอย่าไปมีเรื่องกับพวกนางเลย หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ให้มาหาข้า”

หมิงเวยได้ฟังก็เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้นทันที ดูเหมือนนางคงเข้ากับนักเรียนห้องหลิงหานได้ยาก! ระหว่างที่พูดคุยกันพวกนางก็มาถึงหน้าห้องเรียน และได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากด้านในห้อง

สาวใช้ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปตัวฝูจึงรออยู่ด้านนอก เฉินเสวียอวี้ผลักประตูและพาหมิงเวยเข้าไปในห้องที่มีเด็กสาวซึ่งอยู่ในวัยอันสมควร

เมื่อหมิงเวยเข้ามาในห้องนี้เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเด็กสาวมากมายรวมตัวกัน เมื่อนับดูแล้วน่าจะยี่สิบกว่าคนได้ เมื่อเห็นนางเดินเข้ามาสายตามากกว่ายี่สิบคู่จับจ้องมองไปที่หมิงเวย

บางคนก็มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนเลิกคิ้ว

เฉินเสวียอวี้พูดขึ้นว่า “นางเป็นนักเรียนใหม่ที่จากนี้ไปจะมาเรียนร่วมกับพวกเจ้า” จากนั้นก็เรียกหมิงเวย “กล่าวทักทายเพื่อนๆ สิ”

หมิงเวยย่อกายทำความเคารพและกล่าวชื่อแซ่ของตนเองด้วยรอยยิ้ม

เฉินเสวียอวี้โบกมือเรียกเด็กสาวคนหนึ่ง “นางเป็นหัวหน้าห้องชื่อซุนเว่ย หากมีปัญหาเรื่องเรียนให้ไปหานางได้เลย” จากนั้นก็เรียนซุนเว่ยให้มาดูแลเพื่อนใหม่

ซุนเว่ยมองนางอย่างเย็นชาทำแค่พยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร เฉินเสวียอวี้ชี้ไปที่โต๊ะหนังสือที่อยู่หลังสุด จัดแจงที่นั่งให้นางและเดินออกจากห้องไป

หมิงเวยนั่งลงหลังโต๊ะหนังสือจากนั้นก็หยิบพู่กัน หมึก กระดาษและสมุดออกมา ไม่ใช่ว่านางไม่เห็นสายตาของเหล่าบุตรสาวผู้สูงศักดิ์ที่มองมาเป็นครั้งคราวซึ่งดูจะไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก แต่นางไม่ได้จริงจังกับการเข้าเรียนอยู่แล้ว ช่างพวกนางเถอะ!

หลังจากนั้นไม่นานอาจารย์ผู้ช่วยก็เดินทางเข้ามาสอน หมิงเวยดูเหมือนฟังการบรรยายอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ที่จริงนางใจลอยไปบนฟ้าแล้ว

หลังจากนั่งเรียนมาครึ่งค่อนวันในที่สุดก็ถึงเวลาทานอาหาร หมิงเวยมาที่ห้องอาหารเพื่อหาที่นั่งส่วนตัวฝูไปนำอาหารมาให้

ในขณะที่นางนั่งพักปกติก็มีเด็กสาวหน้ากลมผู้หนึ่งนั่งลงฝั่งตรงข้าม “นั่นสาวใช้ของเจ้าหรือ” อีกฝ่ายถามอย่างคุ้นเคยพลางเชิดคางไปทางตัวฝู

“ใช่!” หมิงเวยตอบกลับอย่างสบายๆ จำได้ว่านางก็เป็นนักเรียนห้องหลิงหานเหมือนกัน

“เจ้าเป็นคนจากตระกูลไหนหรือ สาวใช้หน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้เหตุใดถึงได้พาออกมาให้ขายขี้หน้ากัน” ดวงตาของหมิงเวยจับจ้องไปที่ใบหน้าของนาง ผ่านไปสักพักจึงแย้มยิ้มออกมา “ไม่ทราบว่าแม่นางมีนามว่าอะไรหรือ”

“ข้าแซ่เหวิน นามหรู ท่านลุงของข้าคือเฉิงเอินโหว” อีกฝ่ายแนะนำตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ

อ้อที่แท้ก็คุณหนูจากตระกูลของฮองเฮา

“คุณหนูเหวิน” หมิงเวยพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ข้าเป็นคนจากตระกูลไหนไม่เกี่ยวอะไรกับท่านมิใช่หรือ พาสาวใช้น่าเกลียดมาอย่างไรเสียคนที่ขายหน้าก็เป็นข้า”

น้ำเสียงของนางดูเรียบง่าย แต่คำพูดหาได้มีความเกรงใจอะไร เหวินหรูมีสีหน้าเย็นชานางพูดกลับเสียงเย็น “ข้าถามท่านอย่างสุภาพเพราะพวกเราไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนจากตระกูลไหน ที่นี่มีขุนนางบู๊บุ๋นมากมาย คนแซ่หมิงก็มีเพียงตระกูลที่เพิ่งหมดอำนาจไปไม่นานไม่รู้ว่าท่านถอนตัวออกมาได้อย่างไร ฮึ ลูกหลานของขุนนางต้องอาญามาอยู่ท่ามกลางคุณหนูทั้งหลายช่างน่าละอายเสียจริง”

หมิงเวยไม่โกรธนางตอบด้วยรอยยิ้มไปว่า “ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้ว ท่านจะถามข้าทำไมหรือ ท่านคงไม่ถอดกางเกงผายลม[2] ทำเรื่องเกินความจำเป็นใช่หรือไม่”

เหวินหรูตกตะลึง “เจ้า เหตุใดเจ้าถึงพูดจาหยาบคายเช่นนี้”

หมิงเวยไม่สนใจ “คนที่พูดเป็นท่านไม่ใช่หรือ”

เหวินหรูตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรใบหน้านางก็แดงด้วยความโกรธ “เจ้ากล้าว่าข้าอย่างนั้นหรือ”

หมิงเวยเห็นว่าตัวฝูนำอาหารมาแล้วจึงพูดออกไปว่า “ข้าต้องทานข้าว คุณหนูเหวิน เชิญเจ้าค่ะ!” เหวินหรูจ้องมองนางอย่างแค้นเคืองแล้วหันหน้าเดินจากไป

ตัวฝูเดินกลับมาถึงก็มองอย่างเป็นกังวล “คุณหนูกับคุณหนูท่านนั้นคุยอะไรกันหรือเจ้าคะ นางดูโกรธมากเลย”

“ไม่มีอะไร” หมิงเวยทานอาหาร “นางไม่ได้สำคัญอะไรหรอก”

ช่วงบ่ายเป็นวิชาเลือกหมิงเวยเปลี่ยนเป็นชุดขี่ม้า จากนั้นหยิบแส้และเดินไปที่สนาม นางเข้าเรียนเพื่อให้ตนเองได้เป็นอิสระ ไม่ได้เพื่อเข้าสังคม นางจึงรำคาญที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคุณหนูผู้สูงศักดิ์พวกนั้น แสร้งเข้าเรียนสักวันสองวันให้ท่านลุงท่านป้าสบายใจ จากนั้นก็ไปให้พี่ห้าสอนนางโดดเรียนอะไรแบบนั้น…

“หมิงเวย!” นางได้ยินเสียงเรียกจึงหันกลับมา แล้วก็เห็นว่าเป็นซุนเว่ย

“หัวหน้า” หมิงเวยพยักหน้าทักทาย

ซุนเว่ยยังคงมีท่าทางเย็นชา “เจ้ามานี่หน่อย”

หมิงเวยเลิกคิ้ว “หัวหน้ามีเรื่องอะไรหรือ”

ซุนเว่ยตอบ “อาจารย์เรียกหาเจ้าน่ะ”

“อ้อ” นางพยักหน้าและเดินตามซุนเว่ยไปเงียบๆ “อาจารย์เรียกหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”

ซุนเว่ยก้มหน้าไม่ตอบ เมื่อเห็นว่าพวกนางสองคนเดินมาไกลมากขึ้นจนถึงฝั่งกำแพง หมิงเวยจึงพูดออกไปว่า “หัวหน้า อาจารย์คงไม่ได้เรียกหาข้าหรอกใช่หรือไม่”

เด็กสาวเจ็ดแปดคนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ปิดกั้นทางของนางเอาไว้ และหนึ่งในนั้นก็คือเหวินหรู

“พี่สาม นางเป็นคนพูดคำพูดพวกนั้นออกมา!” เหวินหรูชี้ไปที่หมิงเวยด้วยความโกรธ

……………

[1] เสวียอวี้ คือตำแหน่งพนักงานหรือครูผู้สอนในสถานศึกษาสมัยซ่ง

[2] ถอดกางเกงผายลม : ชอบทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก