หมิงเวยประหลาดใจ คุณหนูกลุ่มนี้พอสู้ไม่ได้ก็ไปชักชวนพวกมารุมตนงั้นหรือ หมิงเวยคิดว่าพวกนางคงต้องการบีบตนให้ถึงที่สุด! น่าสนใจจริงๆ จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าการไปเรียนเป็นเรื่องที่น่าสนุก!
เด็กสาวที่เหวินหรูร้องเรียกนั้นดูคล้ายกับนางเล็กน้อย แต่ใบหน้ารูปไข่นั้นทำให้ดูงามขึ้นไปอีก นางมองใบหน้าของหมิงเวยด้วยความรังเกียจ
“เจ้าต่อว่าน้องสี่ของข้างั้นหรือ”
หมิงเวยประหลาดใจ นางเลิกคิ้วขึ้นดูไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก “คุณหนูเหวินพูดเช่นนั้นหรือ”
เหวินหรูชิงตะโกนขึ้นมาก่อน “เจ้าบอกว่าข้าถอด…นั่นแหละ ถ้าไม่ใช่ต่อว่าจะเรียกว่าอะไร” นางไม่สามารถพูดออกไปว่าถอดกางเกงผายลมได้จริงๆ
หมิงเวยยิ่งไม่เข้าใจ “อะไรกัน คุณหนูเหวินพูดถึงเรื่องอะไรข้าไม่เข้าใจ”
เหวินหรูกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “เจ้าอย่ามาแกล้งโง่! เจ้าเป็นคนพูดออกมาเองว่าให้ผายอะไรนั่น…”
“อ้อ!” หมิงเวยนึกออกแล้ว “คุณหนูเหวินอยากจะพูดว่าถอดกางเกงผายลมใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินนางพูดประโยคนี้ออกมาเหล่าคุณหนูก็แสดงสีหน้ารังเกียจ ยังมีคนกระทืบเท้าตะโกนออกมาว่า “เหตุใดเจ้าช่างไร้ยางอายถึงเพียงนี้! คำพูดหยาบคายเช่นนี้พูดออกมาได้อย่างไรกัน”
หมิงเวยมีสีหน้าแปลกใจ “เหตุใดต้องไร้ยางอายด้วยท่านไม่ใส่กางเกงไม่ผายลมหรอกหรือ หรือพวกท่านเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ กินลมดื่มน้ำค้างเป็นอาหาร ไม่ทานข้าวไม่เข้าห้องน้ำงั้นหรือ”
เหวินหรูตกตะลึงทำได้เพียงแค่บ่นกับพี่สาว “พี่สาม ท่านได้ยินที่นางพูดหรือไม่!” คุณหนูเหวินมีสีหน้าบึ้งตึง
คุณหนูในชุดสีเหลืองฉวยโอกาสพูดขึ้นมาว่า “คุณหนูเหวิน ไม่ต้องแปลกใจเลยเจ้าค่ะ บิดามารดาของนางเสียชีวิตทั้งคู่จึงไม่มีผู้ใดคอยดูแลสั่งสอน”
แม่นางอีกคนพูดขัดจังหวะ “ไม่เพียงแค่นั้นนะ บิดาของนางเป็นนักโทษคดีกบฏที่เพิ่งถูกตัดสินประหารชีวิตไปเอง!”
“บุตรสาวนักโทษงั้นหรือ ไม่ใช่ว่าควรเข้าเจี้ยวฟาง[1]หรอกหรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“เพราะฝ่าบาททรงมีพระเมตตาและใจกว้างยอมปล่อยสมาชิกครอบครัวที่เป็นหญิง แต่นางกลับหน้าใหญ่ สมาชิกหญิงคนอื่นแอบซ่อนตัวเพราะกลัวขายขี้หน้า แต่นางกล้าเข้ามารวมอยู่กับทุกคนในสถานศึกษาหมิงเฉิง”
“ภูมิหลังเช่นนี้เหตุใดอาจารย์ถึงไม่ไล่ออกไป ต้องมาเรียนร่วมกับนางทำให้พวกเราอับอายจริงๆ”
“ใช่! พวกเราไปบอกอาจารย์กันดีกว่า ให้คนเช่นนี้เข้าเรียนมีแต่ทำให้ชื่อเสียงของสถานศึกษาต้องอับอาย!”
หมิงเวยฟังแล้วได้แต่ยิ้ม คุณหนูผู้สูงศักดิ์เหล่านี้ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมมากมายอะไร ด่ามานางก็ไม่เจ็บไม่คัน สิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้คือคุณหนูเหวินอีกคนที่ดูจะเป็นหัวหน้าของทุกคนจะทำอย่างไรกับนางกัน
เมื่อพวกคุณหนูทั้งหลายต่อว่าเสร็จในที่สุดคุณหนูสามตระกูลเหวินก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าให้ทางเลือกเจ้าสองทาง หนึ่งคือคุกเข่ายอมรับผิดต่อหน้าน้องสี่ คำนับสามครั้งแล้วเรื่องนี้ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”
“แล้วทางเลือกที่สองล่ะ”
“ทางเลือกที่สอง…” คุณหนูสามตระกูลเหวินหัวเราะเสียงเย็น กวาดสายตามองร่างกายของหมิงเวยด้วยแววตาเยือกเย็น “ผิวกายสวยงามเช่นนี้หากเป็นรอยขึ้นมาคงไม่งาม!”
ด้วยเหตุนี้สายตาของเหล่าคุณหนูทั้งหลายจึงฉายแววดุร้าย พวกนางจ้องมองใบหน้าของหมิงเวยด้วยความรู้สึกที่อยากจะทำให้ใบหน้านั้นเป็นรอยให้เสียโฉมไปซะ ก็แค่บุตรสาวขุนนางต้องอาญาผู้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเหตุใดถึงเกิดมางดงามขนาดนี้ช่างขวางหูขวางตาเสียจริง!
“เลือกมา!” คุณหนูสามตระกูลเหวินพูดออกมาสองคำจากนั้นนางก็ไม่พูดอะไรอีก
เกิดความเงียบรอบกายชั่วขณะหมิงเวยมองสนามของสถานศึกษา ระยะห่างขนาดนี้ อีกทั้งยังถูกปิดกั้นด้วยพงหญ้าอีกจึงไม่มีผู้ใดมองเห็นที่นี่ได้ บรรดาสาวใช้ที่เหล่าคุณหนูพามาล้วนถูกทิ้งให้อยู่ด้านนอกทั้งหมด
อืม เป็นสถานที่ที่ดีมากหากมีการทะเลาะก็คงไม่มีผู้ใดพบเห็น หมิงเวยกังวลว่าหากพวกนางได้รับบาดเจ็บคงไม่สามารถอธิบายให้อาจารย์เข้าใจได้!
งูขาวเลื้อยออกมาจากแขนเสื้อเตรียมเคลื่อนไหว “นายท่านเจ้าคะ ข้าปรากฏกายได้แล้วให้ข้าจัดการพวกนางดีหรือไม่”
อืม เป็นความคิดที่ไม่เลวงูขาวฝึกตนจนประสบความสำเร็จสามารถปรากฏกายให้ผู้อื่นเห็นได้และยังสามารถร่ายคาถาง่ายๆ ได้อีกด้วย ไม่มีทางทิ้งร่องรอยไว้แน่แถมยังทำให้พวกนาง…
เสียงสวบสาบดังเข้ามาดูเหมือนว่ามีคนหลายคนเหยียบหญ้ามาทางนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น “โอ้ นั่นคุณชายห้าตระกูลจี้ไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้ถึงมาเข้าเรียนได้ ช่างหายากจริงๆ!” เสียงของเด็กหนุ่มซึ่งอยู่ไม่ไกลกันดูเหมือนจะดังมาจากอีกด้านของกำแพง เด็กสาวมองหน้ากันด้วยความงุนงงแล้วเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาได้
ด้านหน้าสถานศึกษาหมิงเฉิงอยู่ติดกับกั๋วจื่อเจียน ส่วนด้านหลังมีการแบ่งสนามม้ากับสถานศึกษาซิ่วชาน อีกด้านหนึ่งของกำแพงแน่นอนว่าต้องเป็นนักเรียนจากสถานศึกษาซิ่วชานเป็นแน่
ที่นี่อยู่ห่างไกลไม่เพียงเหล่าเด็กสาวจากสถานศึกษาหมิงเฉิงเท่านั้นที่ชอบมารังแกผู้อ่อนแอที่นี่ นักเรียนของสถานศึกษาซิ่วชานก็ชอบมาทะเลาะกันที่นี่เช่นกัน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขามีเรื่องพร้อมๆ กัน
หลังจากนั้นหมิงเวยก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระว่า “ข้าจะไปเทียบกับคุณชายจ้าวได้อย่างไร! เข้าเรียนทุกวัน แต่ดูเหมือนการสอบประเมินผลประจำปีรอบก่อนท่านจะสอบไม่ผ่านสินะ”
จี้เสียวอู่…หมิงเวยลูบหน้าผากตนเองด้วยความปลงตก
เด็กหนุ่มที่อยู่อีกฝั่งหัวเราะขึ้นมาแล้วมีคนพูดขึ้นว่า “จ้าวต้า ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านมีความมั่นใจอะไรมาเทียบกับพี่ห้า คนไร้ความสามารถเช่นท่านตั้งใจเรียนให้จบก่อนเถอะ”
“ใช่! ท่านอิจฉาที่พี่ห้าไม่เข้าเรียนก็ไม่มีใครมาตีก้นใช่หรือไม่ ผู้ใดใช้ให้เขาฉลาดกว่าท่านล่ะ! ขนาดไม่เข้าเรียนก็ยังเก่งกว่าท่านเลย!”
น้ำเสียงของจี้เสียวอู่ดูถ่อมตัว “พี่น้องข้าก็พูดเกินไป! แต่ก็เป็นความจริงก็คนมันฉลาดล่ะนะ! ฮ่าๆๆ!”
ทางด้านจ้าวต้าก็โกรธจนน้ำเสียงเริ่มเปลี่ยน “จี้เสียวอู่! เจ้ามันก็งั้นๆ พ่อเจ้าก็แค่ขุนนางเล็กๆ ยังจะกล้าอวดดีอีกหรือ”
จี้เสียวอู่ตอบอย่างเกียจคร้าน “ผู้ใดอวดดีกัน ข้าไม่เคยพูดถึงขุนนางเล็กอย่างพ่อข้าเลย หลีจู่ เจ้าได้ยินหรือไม่ สู่จ้ง เจ้าล่ะ”
“ไม่เลย! พี่ห้าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยไม่เหมือนคนบางคนพูดอยู่ทุกวันว่าพ่อตนเองเป็นผู้ตรวจการ ช่างกล้าพูด ในเขตเมืองหลวงป้ายแขวนตกลงมาก็ทับขุนนางขั้นสามตายได้ ผู้ตรวจการเล็กๆ ผู้หนึ่งไม่ต่างอะไรกับผายลม!”
“ใช่ ผู้ตรวจการไม่ใช่ขุนนางขั้นห้าหรอกหรือ” จี้เสียวอู่มองซ้ายขวา
“ใช่ ถูกเลย!”
เขายิ้มตาหยี “จ้าวต้า ต้องขอโทษจริงๆ ท่านพ่อของข้าเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นซือเยว่ของกั๋วจื่อเจียนถึงอันดับจะไม่สูงนักก็แค่ขุนนางขั้นสี่ ชั้นโท เห็นหรือไม่สูงกว่าบิดาของท่านครึ่งชั้น…”
“ฮ่าๆๆ” พวกเด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดัง
ทางฝั่งจ้าวต้าก็มีพรรคพวกเมื่อได้ยินคำพูดนั้นพวกเขาก็โต้เถียงขึ้นมา “ซือเยว่ของกั๋วจื่อเจียนเก่งแล้วงั้นหรือก็แค่อาจารย์รับจ้าง!”
“เฮอะ! ผู้ตรวจการมีอะไรเก่งกาจกันวันๆ ตรวจที่โน่นที่นี่อย่างกับสามนางหกแม่[2]!”
“เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าหาว่าพ่อข้าเป็นกลุ่มสตรีงั้นหรือ”
“แล้วจะทำไม อยากมีเรื่องนักหรือ งั้นเจ้าก็เข้ามาเลย!”
“ก็เอาสิ! ถ้าเสือไม่แสดงพลังก็เป็นแมวป่วยแล้ว!”
“เฮอะ! ข้าไม่มาตั้งหลายวันท่านก็ทำตัวเป็นใหญ่เลยหรือ ช่างหน้าใหญ่จริงๆ! วันนี้ข้าจะแสดงให้ดูเองว่าตนเองมีดีอย่างไร!”
ชั่วพริบตาเสียงต่อสู้จากอีกฝั่งของกำแพงก็ดังขึ้น
หมิงเวยฟังอยู่สักพักเมื่อมั่นใจว่าจี้เสียวอู่ไม่ลำบากอะไรก็หันหน้ามาทางฝั่งของตนเอง “ขออภัยด้วย ข้าไม่อยากโขกหัวคำนับ! คุณหนูสามช่วยทำรอยบนร่างกายข้าแทนเถอะ”
……………
[1] เจี้ยวฟาง : สถานเริงรมย์ ซึ่งเหล่าบัณฑิตได้มาพบปะ ชมการแสดง อ่านบทกวีฯ ไม่ใช่เพื่อสนองความต้องการทางเพศเป็นหลัก
[2] สามนางหกแม่ : อาชีพของอิสตรีในวงการยุทธภพที่ใช้พูดกันในวงสนทนา
三姑 ในยุทธภพ หมายถึง อิสตรี 3 จำพวกในยุทธภพได้แก่
1.หนี่กู 尼姑 หมายถึง แม่ชี ที่บวชอยู่ในพุทธศาสนามหายาน
2.เต้ากู 道姑 หมายถึง นักพรตหญิง ที่ถือบวชในลัทธิเต๋า
3.กั้วกู 卦姑 หมายถึง สตรีที่ประกอบอาชีพ หมอดู พยากรณ์โชคชะตา รวมทั้งเหล่าแม่มดหมอผี คนทรงเจ้า ที่สามารถติดต่อกับวิญญาณภูติหรือเทพได้ด้วย
六婆 หมายถึง แม่นาง 6 พวกที่มีอาชีพปรากฏในยุทธภพ ได้แก่
หยาผอ (牙婆) : คือ หญิงอาชีพค้ามนุษย์ จัดหามนุษย์ ไม่ว่าหญิง หรือ ชาย มาฝึกอบรมให้เหมาะแก่ลูกค้าที่ต้องการแรงงานทาส หรือ ใช้เป็นเมียน้อย ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ต้องการหญิงเป็นเมียน้อย
เหม่ยผอ (媒婆) : คือ อาชีพแม่สื่อ เป็นอาชีพที่เจริญรุ่งเรืองมาก มีรายได้งามจากวัฒนธรรมคลุมถุงชน พิธีกรรมสำหรับการหาคู่ จนถึงงานวิวาห์ แม่สื่อมีบทบาทและหน้าที่สำคัญ เป็นที่ยอมรับถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไป เนื่องจากแม่สื่อเปรียบเสมือนแมวมองของสังคม
ซือผอ (师婆) หญิงบริการแต่งผมและแต่งหน้า
เฉียนผอ (虔婆) คือ อาชีพเจ้าสำนักคณิกา หรือ แม่เล้าเจ้าของซ่องนางโลม
เย่าผอ (药婆) คือ อาชีพขายยาปรุงสำเร็จรูป รวมทั้ง การรักษาด้วยเวทมนตร์คาถา
เอิ่นผอ (稳婆) คือ อาชีพหมอตำแย มีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อวงการแพทย์ในการเกิดของมนุษย์ โบราณการคลอดบุตรล้วนอาศัย หมอตำแยที่มีประสบการณ์ในการทำคลอดเป็นส่วนมาก