หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก
พบกันอีกครั้งหลังลาจาก
อวี๋ซิ่งเสวียสนับสนุนเสวี่ยหยวนจิ้งให้ได้รับตำแหน่งในกรมพิธีการของเขา
“กรมพิธีการมีตำแหน่งว่างอยู่พอดี กระหม่อมคิดว่าให้เขามารับตำแหน่งนี้ต่อก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงคิดเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หย่งหนิงปิดสมุดผลงานของเสวี่ยหยวนจิ้ง และมองอวี๋ซิ่งเสวียด้วยสีหน้าคล้ายกำลังยิ้ม
เขาอยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นหลางจงขั้นห้า และไม่ใช่ในกรมพิธีการ แต่เป็นกรมครัวเรือน
ขุนนางที่มีตำแหน่งสูงสุดในกรมครัวเรือนก็คือเซี่ยซิ่งเหยียน…
เดิมทีฮ่องเต้หย่งหนิงคิดจะให้เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นดาบข้างกายบุตรชายคนโต แต่ตอนนี้เขามองเห็นความร้ายกาจของดาบเล่มนี้ คิดจะขัดให้คมขึ้นอีกเล็กน้อย จึงต้องวางเอาไว้ในสถานที่ที่ยากลำบากยิ่งกว่านี้
หากเสวี่ยหยวนจิ้งสามารถเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก คนผู้นี้จะมีประโยชน์อย่างมากในภายภาคหน้า ไม่เช่นนั้นเขาคงได้แต่ปล่อยผ่านไป
ยิ่งกว่านั้น เพราะเรื่องของเซี่ยเทียนเฉิง เสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องอยากเอาชนะเซี่ยซิ่งเหยียนให้เร็วที่สุด การให้เขาอยู่ในกรมครัวเรือน หากฮ่องเต้คิดจะลงมือกับเซี่ยซิ่งเหยียน เสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องช่วยได้มากอย่างแน่นอน
“กรมครัวเรือนมีตำแหน่งว่างอยู่ไม่ใช่หรือ ให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปรับตำแหน่งในกรมนั้นก็แล้วกัน”
อวี๋ซิ่งเสวียตะลึงงัน ขุนนางในกรมพิธีการอยู่ในมือเขาทั้งหมด และกรมครัวเรือนก็ถูกเซี่ยซิ่งเหยียนควบคุมอย่างดีเช่นกัน ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร พระองค์คิดจะส่งคนที่มีความสามารถซึ่งหาได้ยากอย่างเสวี่ยหยวนจิ้งไปอยู่ในมือของเซี่ยซิ่งเหยียนอย่างนั้นหรือ
อวี๋ซิ่งเสวียไม่รู้เรื่องของเซี่ยเทียนเฉิง ดังนั้นในใจของเขาจึงคิดว่าฮ่องเต้หย่งหนิงลำเอียงไปทางเซี่ยซิ่งเหยียน และรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เขาเป็นคนที่มีสีหน้าตรงกับความรู้สึก หลังจากได้ยินดังนั้นสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ฮ่องเต้หย่งหนิงยังไม่อยากบอกแผนการในใจของตนแก่อวี๋ซิ่งเสวีย แต่ก็ไม่สามารถทำให้ขุนนางอาวุโสผู้นี้ใจเย็นลงได้ในขณะนี้
หลายปีมานี้เขาเองก็ใช้ประโยชน์จากอวี๋ซิ่งเสวียเพื่อมาคอยขัดขวางเซี่ยซิ่งเหยียน จึงแอบช่วยหัวหน้ากรมพิธีการอย่างลับๆ ไม่ว่าพรรคพวกของเซี่ยซิ่งเหยียนจะร้องเรียนเรื่องอวี๋ซิ่งเสวียอารมณ์บูดบึ้งผู้นี้กี่ครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่อวี๋ซิ่งเสวียจะมีความผิด
ฮ่องเต้หย่งหนิงยิ้มก่อนจะกล่าว “ข้าเพิ่งได้ยินคนเรียกชื่อลู่ลี่เซวียน ผลงานของเขาก็ไม่เลวนัก สิ่งที่หายากคือเขาสามารถทำให้ตัวเองสะอาดในสถานที่ที่ร่ำรวยอย่างเมืองเจียงซู ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ข้าว่าคนผู้นี้ใช้ได้ ตำแหน่งหลางจงในกรมพิธีการยังขาดคนอยู่ ก็ให้เขารับตำแหน่งแทนเลยแล้วกัน”
ขุนนางส่วนใหญ่ในเมืองเจียงซูเป็นคนของเซี่ยซิ่งเหยียน แต่ลู่ลี่เซวียนไม่ได้สนิทสนมกับขุนนางเหล่านั้น นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้เป็นคนของเซี่ยซิ่งเหยียน และไม่สนใจการกระทำของขุนนางส่วนใหญ่ คนแบบนี้จะทำเพื่อตนเอง
สีหน้าของอวี๋ซิ่งเสวียผ่อนคลายลง จากนั้นเขาก็กล่าวรายงานต่อฮ่องเต้หย่งหนิงเกี่ยวกับงานบ้านเมืองเรื่องอื่นๆ ก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวคำลา
คนภายนอกมักจะคิดว่าฮ่องเต้หย่งหนิงเป็นฮ่องเต้ที่เกียจคร้าน แม้แต่คนในราชวงศ์ยังบอกว่าเขาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ดีนัก เอาแต่เล่นสนุกมัวเมาทั้งวัน แต่พออวี๋ซิ่งเสวียออกไป ฮ่องเต้พลันเอนกายลงพิงพนักบัลลังก์ จากนั้นร่างก็เอียงจนแทบจะตกลงมา
ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นจึงรีบพยุงฮ่องเต้พิงหมอนรองนุ่มๆ ที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะถามด้วยความกังวล
“ฝ่าบาท ให้กระหม่อมเรียกหมอหลวงมาดูอาการดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หย่งหนิงโบกมือให้อีกฝ่าย ไม่มีใครรู้จักร่างกายนี้ดีไปกว่าเขา เกรงว่าการเรียกหมอหลวงมาก็คงไม่มีประโยชน์อะไร แต่เขายังอดทนได้
เซี่ยซิ่งเหยียนยังไม่ถูกกำจัด บุตรชายของโจวฮองเฮาตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งพอ… เขายังตายไม่ได้
หลังจากจิบชาโสมที่ขันทียกมาให้ ฮ่องเต้หย่งหนิงก็เอ่ยถามเสียงเบา “ตอนนี้นางสบายดีหรือไม่”
ขันทีได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกปวดใจไม่น้อย จึงตอบอย่างนอบน้อม “ทูลฝ่าบาท เหนียงเหนียงทรงสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทต้องดูแลพระวรกายของพระองค์ให้ดี เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว ฝ่าบาทจะได้อยู่กับเหนียงเหนียงและเหล่าพระสนมอย่างมีความสุขพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หย่งหนิงยิ้มอย่างขมขื่น หลายชีวิตในตระกูลโจวตายด้วยน้ำมือเขา เขากับโจวฮองเฮาไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เกรงว่านางคงไม่มีทางให้อภัยแม้แต่ช่วงเวลาสุดท้ายของเขา
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาก็สั่งขันที “เจ้าส่งคนไปบอกนาง ว่าลูกสาวคนโปรดของนางกลับเมืองหลวงแล้ว นางผู้นั้นสบายดี บอกนางว่าไม่ต้องกังวล”
เรื่องของโจวฮองเฮาถือเป็นความลับอย่างยิ่ง เกรงว่าต่อให้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่อยากไปเยี่ยมนางก็คงไม่กล้า เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่านางอยู่ที่ไหน
ขันทีน้อมรับคำสั่งแล้วขอให้ฮ่องเต้หย่งหนิงทรงดื่มชาโสม ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงถือถ้วยชาโสมไว้ในมือแล้วค่อยๆ จิบ
กรมพิธีการประกาศการแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการในเวลาอันรวดเร็ว และวันนี้ลู่ลี่เซวียนกำลังจะไปรายงานตัว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงรั้งเขาให้กินข้าวด้วยกันก่อน และสั่งกวนเหยียนไปเชิญตันหงอี้มาด้วย
ลู่ลี่เซวียนเป็นคนอ่อนโยนและขี้อาย แต่หลังจากทำงานในเมืองหลวงสามปี ตอนนี้เขามีนิสัยสุขุมมาก
ทุกคนล้วนมาจากเมืองผิงหยาง ในอดีตพวกเขาต่างเรียนในสำนักศึกษาไท่ชู ตอนนี้ก็ได้มาพบกันอีกครั้ง เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก
เสวี่ยเจียเยว่สั่งให้กวนเหยียนไปซื้อผักมามากมาย เธอกับฉ่ายผิงล้างผักอยู่ในห้องครัว จากนั้นเธอก็ให้กวนเหยียนนำสุราที่อุ่นแล้วไปส่งให้พวกเขา
ลู่ลี่เซวียนเพิ่งรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ทั้งยังแต่งงานกันด้วย ต่อให้ตอนนี้เขานิ่งสงบแค่ไหน ก็อดที่จะแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้
จากนั้นเขามองไปที่เสวี่ยหยวนจิ้งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มิน่าล่ะ ตอนที่เจี่ยจื้อเจ๋อสู่ขอแม่นางเสวี่ยเจ้าถึงได้โกรธมาก ที่แท้แม่นางเสวี่ยเป็นคู่หมายของเจ้าตั้งแต่ยังเด็กนี่เอง ตอนนั้นข้าเองก็ไม่รู้ ถึงขั้น…”
เขาบอกให้บิดาส่งแม่สื่อไปเจรจาสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ถึงเรือน แต่เรื่องนั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนที่ถูกปฏิเสธเขาโศกเศร้ามาก แต่เวลานี้ไม่รู้สึกอะไรแล้ว อีกอย่าง… ตอนที่เขาอยู่ในเมืองเจียงซูก็แต่งงานแล้ว และตอนนี้ลูกของเขามีอายุหนึ่งขวบ
เสวี่ยหยวนจิ้งกับตันหงอี้ได้แต่ยิ้ม ทว่าไม่พูดอะไร
ลู่ลี่เซวียนพูดถึงเจี่ยจื้อเจ๋ออีกครั้ง “…ปีนั้นเขาสอบไม่ผ่าน พอกลับบ้านเกิดได้สองวันก็ถูกพ่อของเขาบังคับให้ไปเป็นทหาร ได้ยินว่าหลายปีมานี้ต่อสู้อย่างกล้าหาญที่ชายแดน สร้างความดีความชอบในทางทหารมาไม่น้อย ตอนนี้ตำแหน่งขุนนางเกรงว่าจะสูงกว่าพวกเราแล้ว”
ระดับขั้นของแม่ทัพนั้นดีกว่าขุนนางในวังหลวงและเลื่อนตำแหน่งเร็วกว่า เพราะในสนามรบต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน
ต่อมาลู่ลี่เซวียนก็พูดถึงการแต่งตั้งตำแหน่งของพวกเขา “ใครไม่รู้บ้างว่ากรมครัวเรือนอยู่ใต้อำนาจของเซี่ยซิ่งเหยียน ภายในนั้นล้วนเป็นคนของเขา สหายเสวี่ย เจ้าไปทำงานที่กรมครัวเรือน เกรงว่าทุกก้าวของเจ้าคงยากลำบากไม่น้อย เจ้าต้องระวังตัวให้มาก”
เขายังไม่รู้เรื่องเซี่ยเทียนเฉิง หากรู้เกรงว่าจะต้องเป็นห่วงเสวี่ยหยวนจิ้งมากกว่านี้
ตันหงอี้รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงเป็นห่วงเสวี่ยหยวนจิ้งมาก แต่ยังคงเอ่ยปลอบใจ “ขอเพียงไม่หยุดลับคมมีด มันก็จะยิ่งแหลมคมมากขึ้น แม้ว่าเจ้าจะพบเจอความยากลำบากในกรมครัวเรือน ทุกก้าวเหมือนเดินอยู่บนน้ำที่เย็นจนแข็งเป็นชั้นบางๆ แต่ถ้าเจ้าทำผลงานออกมาได้ดี เส้นทางขุนนางของเจ้าจะต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน”
ตันหงอี้เข้าใจดีว่านี่คือการบีบบังคับเสวี่ยหยวนจิ้งให้เผชิญหน้ากับเซี่ยซิ่งเหยียน ถ้าชายหนุ่มอยากมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย คงต้องเอาชนะขุนนางอาวุโสผู้นั้นให้ได้
ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอะไรกันแน่ หรือว่าพระองค์ไม่ชอบฝ่ายอวี๋ซิ่งเสวีย จึงต้องการให้เสวี่ยหยวนจิ้งแสดงความภักดีต่อเซี่ยซิ่งเหยียน น่าเสียดายที่ระหว่างเซี่ยซิ่งเหยียนกับเสวี่ยหยวนจิ้งมีความแค้นต่อกัน ต่อให้ฝ่ายนั้นไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่ถ้าเขาสงสัยเสวี่ยหยวนจิ้งขึ้นมา เช่นนั้นก็ไม่มีทางปล่อยชายหนุ่มไปแน่
เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจความคิดของฮ่องเต้หย่งหนิงดี และรู้ว่าพระองค์ต้องการเริ่มแผนจัดการกับเซี่ยซิ่งเหยียนแล้ว การที่เขาได้รับตำแหน่งหลางจงในกรมครัวเรือน เพราะต้องการให้เขารวบรวมหลักฐานบางอย่างให้ได้ในช่วงเวลาสำคัญ
แต่เรื่องเช่นนี้เขาไม่เอ่ยกับตันหงอี้และลู่ลี่เซวียนอย่างแน่นอน เพียงขอบคุณสำหรับความห่วงใยของพวกเขาทั้งสอง และสนทนากันอีกสักพัก
หลังจากตันหงอี้กับลู่ลี่เซวียนกลับไปแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็เรียกฉ่ายผิงมาเก็บชามและตะเกียบ แล้วประคองเสวี่ยหยวนจิ้งเข้าไปพักผ่อนในห้อง
หลังจากหญิงสาวรู้ว่าสามีได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งใหม่เป็นหลางจงกรมครัวเรือน เธอก็รู้สึกกังวลใจมาก เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตันหงอี้กับลู่ลี่เซวียนพูดเมื่อครู่ก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก จึงเอ่ยถามเขาด้วยความเป็นห่วง
“เหตุใดถึงตั้งใจส่งท่านเข้าไปในกรมครัวเรือน เช่นนี้ก็ต้องเผชิญหน้ากับเซี่ยซิ่งเหยียนบ่อยๆ ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นท่านก็ลาออกเถอะ พวกเราไม่ต้องอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล ขอเพียงพวกเราสองคนอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มีความสุข”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มแล้วก้มลงจูบแก้มนุ่มๆ ของหญิงสาว
ไม่ต้องเอ่ยถึงอำนาจของเขา ชายหนุ่มรู้ดีว่าตอนนี้ตนสามารถปกป้องเสวี่ยเจียเยว่ได้ แต่ยังไม่รู้ว่าเซี่ยซิ่งเหยียนจะมาสร้างปัญหาให้เขาอย่างไรบ้าง ถึงอย่างนั้นเขาก็จำเป็นต้องเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้
อีกทั้งการกระทำของฮ่องเต้…
“ข้ารู้ดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” เขายิ้มแล้วปลอบโยนเสวี่ยเจียเยว่
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าเมื่อเขาตัดสินใจแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง จึงไม่กล่าวคำใดอีก เธอตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน ขอแค่เธอได้อยู่กับเสวี่ยหยวนจิ้ง นั่นคือความปรารถนาของเธอ
เธอเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องที่อยากจะไปเยี่ยมป้าโจว “…ข้าไม่ได้พบท่านแม่มาสามปีแล้ว ตั้งแต่กลับเมืองหลวง ข้าก็อยากพบนางมาโดยตลอด ท่านคิดว่าอย่างไร”
ตอนนี้พวกเขายังไม่ได้ปิดประตูห้อง เสวี่ยหยวนจิ้งจึงมองฉ่ายผิงที่กำลังยุ่งอยู่ในห้องโถง คิดในใจว่าเรื่องของเสวี่ยเจียเยว่ ป้าโจวคงรู้อย่างละเอียดแล้ว แต่เขาไม่ได้บอกภรรยา
บางเรื่องก็อย่าให้เสวี่ยเจียเยว่รู้จะดีกว่า หากหญิงสาวรู้แล้วจะไม่สบายใจได้ บางครั้งคนที่ไม่รู้ย่อมมีความสุขมากกว่า
แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถไปเยี่ยมป้าโจวได้
“เจ้าเองก็รู้ว่าเรื่องที่ป้าโจวอยู่ในวัดต้าเซียงกั๋วนั้นเป็นความลับ หากเจ้าไปเยี่ยมนางตอนนี้แล้วมีใครพบเข้า นั่นคงไม่ใช่เรื่องดีต่อนางใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปพบนางจะดีกว่า”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเธอก็เผยความผิดหวังออกมา
เสวี่ยหยวนจิ้งอดไม่ได้จึงจูบแก้มภรรยาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนไป รอวันที่ป้าโจวปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอย่างสง่าผ่าเผย เจ้าก็สามารถไปเยี่ยมนางได้บ่อยๆ”
ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอย่างสง่าผ่าเผย…
เสวี่ยเจียเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามอย่างอดไม่ได้ “ท่านพี่ ฐานะที่แท้จริงของท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบ “อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้”
เขาเองก็อยากทำให้ป้าโจวกลับไปรับตำแหน่งเดิมของนาง และถ้าจะให้ดี องค์ชายใหญ่ที่นางให้กำเนิดได้เป็นฮ่องเต้ เมื่อถึงเวลานั้นในฐานะบุตรสาวบุญธรรมของป้าโจว เสวี่ยเจียเยว่จะต้องมีฐานะที่แตกต่างจากในยามนี้อย่างแน่นอน และสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ