บทที่ 177 น้องเยว่ตั้งท้องแล้ว

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ด

น้องเยว่ตั้งท้องแล้ว

เมื่อเซี่ยซิ่งเหยียนรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่เพียงไม่ถูกส่งตัวออกไปนอกเมืองหลวงเท่านั้น แต่ยังได้รับตำแหน่งหลางจงในกรมครัวเรือนด้วย สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปทันที คิดในใจว่าเฉินเหวินฮั่นนั้นไร้ประโยชน์จริงๆ อยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายขวากรมพิธีการ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย

แต่พอคิดดูอีกที กรมครัวเรือนอยู่ภายใต้อำนาจของเขา เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเข้ามาทำงานแล้ว หากเขาคิดจะสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด

ตำแหน่งหลางจงในกรมครัวเรือนมีทั้งหมดสิบสามคน มีหน้าที่ดูแลเรื่องการเก็บภาษีและเสบียงอาหารในแต่ละเมือง ตอนนี้ตำแหน่งหลางจงที่ว่างอยู่คือผู้ที่ต้องดูแลเรื่องการเก็บภาษีในพื้นที่หูก่วง[1]

เซี่ยซิ่งเหยียนดูแลกรมครัวเรือนมาหลายปีแล้ว โกงกินเงินภาษีกับเสบียงอาหารไปก็ไม่น้อย และผู้คนมักเรียกพื้นที่หูก่วงว่าเป็นเมืองอุดมสมบูรณ์ ภาษีกับเสบียงอาหารนั้นมีมากกว่าเมืองอื่นๆ ที่แห้งแล้ง

หลายปีก่อนเขาเก็บภาษีรวมทั้งเสบียงอาหารมาได้จำนวนไม่น้อยด้วยการโกงกิน แม้ว่าจะสามารถปกปิดสมุดบัญชีได้ แต่เขาก็กลัวว่าฮ่องเต้จะส่งคนมาตรวจสอบ ในเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งมาเป็นขุนนางหลางจงแทนตำแหน่ง ที่ว่าง เขาก็จะสามารถผลักอีกฝ่ายลงหลุมพรางได้

เช่นนี้ไม่เพียงจะชดเชยความสงสัยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ว่าเรื่องการหายตัวไปของเซี่ยเทียนเฉิงเกี่ยวข้องกับเสวี่ยหยวนจิ้งเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้ชายหนุ่มผู้นั้นแบกรับความผิดได้ เท่ากับว่ายิงลูกธนูเพียงดอกเดียวได้นกถึงสองตัว

เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น เขาก็เรียกขุนนางคนสนิทมาสองสามคนแล้วสั่งการออกไป

ขุนนางเหล่านั้นรับคำสั่งแล้วจากไป แน่นอนว่าพวกเขาไม่เพียงจะสร้างความลำบากใจให้เสวี่ยหยวนจิ้งเท่านั้น แต่จะวางแผนใส่ร้ายเรื่องภาษีกับเสบียงอาหารในพื้นที่หูก่วงได้อีกด้วย

แต่เรื่องนี้ต้องใช้เวลาถึงจะทำสำเร็จได้

เพียงชั่วพริบตา ฤดูร้อนที่ยาวนานจนน่ารำคาญก็ผ่านพ้นไป ลมเปลี่ยนฤดูกาลพัดโชยมาทำให้เย็นสดชื่น

เสวี่ยเจียเยว่สวมเสื้อสำหรับฤดูใบไม้ร่วงนั่งปักผ้าอยู่บนเตียงไม้ข้างหน้าต่างด้านทิศใต้ เธอเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างอยู่บ่อยครั้ง… รอเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมา

เวลาเลิกงานของขุนนางยังเป็นยามเซิน แต่โชคดีที่พวกเขาซื้อเรือนไม่ไกลจากวังเท่าไรนัก เดินประมาณสองเค่อก็ถึงแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่กำลังไตร่ตรองว่าควรซื้อม้าดีหรือไม่ แม้ว่าม้าจะมีราคาแพงมาก แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะซื้อไม่ได้…

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากลานเรือน

ฉ่ายผิงเดินไปเปิดประตู ส่วนเสวี่ยเจียเยว่วางงานในมือลงแล้วเงยหน้ามองออกไปด้านนอก เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้ามาจากประตูกลาง

ตอนนี้อากาศไม่หนาวมาก อีกอย่าง… เสวี่ยเจียเยว่ชอบแสงสว่าง บนประตูจึงไม่มีม่านแขวนอยู่ หญิงสาวเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้ามาในห้องโถง จากนั้นก็เลี้ยวมาหาเธอในห้อง

เสวี่ยเจียเยว่ลุกขึ้นจากเตียงพร้อมยิ้มต้อนรับ “ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ”

เสวี่ยหยวนจิ้งส่งเสียงตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถอดชุดขุนนางออกพลางถามเสวี่ยเจียเยว่ “วันนี้เจ้าทำอะไรในเรือนบ้าง”

ชายหนุ่มกังวลว่าเซี่ยซิ่งเหยียนจะตามมาสร้างความเดือดร้อน จึงไม่เคยปล่อยให้เสวี่ยเจียเยว่ออกไปไกลจากประตูเรือน แต่เขารู้ว่าหญิงสาวเป็นคนสดใสร่าเริง เมื่ออยู่อย่างอุดอู้ในเรือนทุกวันคงจะเบื่อหน่าย ทุกครั้งที่เขากลับมาจึงมักจะถามว่าวันนี้ภรรยาทำสิ่งใดบ้าง

และนั่นก็มีความหมายว่าเขาใส่ใจภรรยาเป็นอย่างมาก

เสวี่ยเจียเยว่หยิบสะดึงปักผ้าขึ้นให้เขาดู “ข้าปักผ้าอยู่เจ้าค่ะ”

หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปดูงานที่หญิงสาวทำ

ผ้าไหมสีแดงขนาดใหญ่ปักลายปลาจิ๋นหลี่ และมีคำว่า ‘มีชีวิตที่ยาวนานร้อยปี’ เสวี่ยเจียเยว่คงปักได้ไม่นานนัก เพราะหางปลาจิ๋นหลี่ตัวแรกยังปักไม่เสร็จ

เสวี่ยหยวนจิ้งเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าทำให้ลูกของตันหงอี้หรือ”

เขาคิดว่าถ้าเสวี่ยเจียเยว่ทำให้ตัวเอง หญิงสาวจะไม่ปักลวดลายแบบนี้แน่นอน เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าทำให้เด็ก

เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มพลางพยักหน้า “วันนี้ข้าอยู่ในเรือนจนเบื่อ จึงไปหาฮูหยินตัน ตอนนี้นางตั้งครรภ์ได้หกเจ็ดเดือนแล้ว ท้องนางโตมาก หมอบอกว่านางจะคลอดช่วงสิ้นปี ตอนนี้ฮูหยินตันกำลังยุ่งอยู่กับการทำเสื้อสำหรับฤดูหนาวให้ลูกในท้องของนาง พอคิดว่าข้าเองก็ไม่มีอะไรทำ เลยจะทำเอี๊ยมให้ลูกของนางสักสองสามตัว”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่คิดคัดค้าน เมื่อเสวี่ยเจียเยว่มีงานให้ทำ เวลาก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวจะได้ไม่รู้สึกเบื่อมากเกินไป

เสวี่ยเจียเยว่ถามเขาว่าวันนี้มีเรื่องอะไรหรือไม่ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ตอบด้วยรอยยิ้ม

“วางใจเถอะ ทุกอย่างเรียบร้อย ข้าสบายดี”

เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่ากรมครัวเรือนอยู่ภายใต้การควบคุมของเซี่ยซิ่งเหยียน ข้างในล้วนเต็มไปด้วยคนของเขา เสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในนั้นจะสบายดีได้อย่างไร ต้องลำบากไม่น้อยถึงจะถูกต้อง แต่ทุกครั้งที่เธอถาม เขามักจะบอกว่าสบายดี

หญิงสาวรู้ว่าเขาไม่อยากให้เธอกังวล จึงไม่ได้ถามอะไรอีก แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“…วันนี้ตอนที่ข้าไปพบฮูหยินตัน ได้เห็นภาพวาดบนผนังเรือนของนาง เป็นภาพตุ๊กตาตัวอ้วนอุ้มปลาจิ๋นหลี่ไว้ในอ้อมกอดด้วยท่าทางไร้เดียงสา ฮูหยินตันบอกว่าเป็นภาพวาดของซือหม่าเย่อวี้ นักวาดภาพฝีมือดี หากมองตุ๊กตาตัวอ้วนนี้ทุกวัน เด็กที่เกิดมาก็จะน่ารักเหมือนเขา”

ซือหม่าเย่อวี้… ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ

เสวี่ยหยวนจิ้งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เขายังเรียนอยู่ในสำนักศึกษาไท่ชู ภาพที่เจี่ยจื้อเจ๋อให้เขาดูนั้น คนวาดเหมือนจะชื่อซือหม่าเย่อวี้ ได้ยินว่าคนผู้นี้เก่งเรื่องวาดภาพหลากหลายแบบ และตอนนี้ก็เป็นนักวาดภาพในราชสำนัก…

มุมปากของเสวี่ยหยวนจิ้งกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กล่าวคำใด

อันที่จริงชายหนุ่มจำผิด คนวาดภาพที่เจี่ยจื้อเจ๋อบอกในตอนนั้นชื่อ ‘ซือคงเย่ยวี่’ ต่างหาก

ทั้งสองสนทนากันครู่หนึ่ง ฉ่ายผิงก็เข้ามาบอกว่าทำอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว และเชิญพวกเขาไปกินข้าว

ลมฤดูใบไม้ร่วงค่อนข้างเย็นสบาย เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการกินปู วันนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงให้ฉ่ายผิงซื้อปูกลับมาสองสามตัว

วิธีต้มปูไม่ซับซ้อนเท่าไรนัก จากนั้นก็นำไปนึ่ง ตอนนี้จานปูร้อนๆ วางอยู่บนโต๊ะ จานเล็กด้านข้างมีน้ำส้มสายชูกับซีอิ๊ว ทั้งยังมีขิงสับละเอียดเป็นเครื่องเคียง

ในเรือนไม่มีอุปกรณ์สำหรับแกะปู เสวี่ยหยวนจิ้งเลือกปูตัวเมียขึ้นมาแกะออก ราดน้ำส้มสายชูกับซีอิ๊วเล็กน้อย จากนั้นจึงยื่นเนื้อปูพร้อมเปลือกสีเหลืองให้เสวี่ยเจียเยว่

เสวี่ยเจียเยว่เอื้อมมือไปรับด้วยรอยยิ้ม

เธอชอบกินปูมาก รู้สึกว่าปูสีเหลืองคือสิ่งที่สดใหม่ที่สุดในใต้หล้านี้ ปีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้กินปู แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเธอถือไว้กลับรู้สึกว่าปูตัวนี้มีกลิ่นเหม็นจนกินไม่ได้

หญิงสาวคิดว่าปูตัวนี้ไม่สด จึงเรียกฉ่ายผิงมาถาม “ตอนที่เจ้าซื้อปูพวกนี้ พวกมันยังเป็นๆ อยู่หรือไม่”

ว่ากันว่าปูที่ตายแล้วจะเป็นพิษ และไม่สามารถกินได้ในชั่วข้ามคืน

ฉ่ายผิงรีบตอบกลับไป “มันยังเป็นๆ อยู่นะเจ้าคะ บ่าวเห็นกับตาว่าทุกตัวมันยังเดินอยู่ในถัง แม้แต่ก่อนจะเอาไปนึ่ง หรือแม้แต่ตอนที่บ่าวทำความสะอาด พวกมันก็ยังเป็นๆ อยู่เลย”

หลังจากฟังจบเสวี่ยเจียเยว่ถึงได้วางใจ และสั่งให้ฉ่ายผิงกับกวนเหยียนไปกินข้าวต่อ

แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับไม่วางใจจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่ขมวดคิ้ว “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ อาจเป็นเพราะช่วงนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี จึงรู้สึกว่าปูตัวนี้มีกลิ่น”

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ช่วงนี้เธอมักจะขี้เกียจ ไม่อยากตื่น เอาแต่ง่วงนอน

เสวี่ยหยวนจิ้งยิ่งฟังก็ยิ่งกังวลมากขึ้น “ให้ข้าเรียกกวนเหยียนไปเชิญหมอมาดูอาการของเจ้าดีหรือไม่”

เมื่อเอ่ยจบเขาก็กำลังจะเรียกกวนเหยียน แต่เสวี่ยเจียเยว่รีบห้ามเอาไว้

“ว่ากันว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงผู้คนมักง่วงอย่างง่ายดาย เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึงผู้คนก็เหนื่อยง่าย เหตุใดท่านต้องใช้กวนเหยียนไปเชิญหมอด้วยเล่า ช่างมันเถิด ไม่มีอะไรสำคัญหรอก”

เธอพูดพลางหยิบปูสีเหลืองขึ้นมากิน แต่พอนำเข้าปากก็รู้สึกว่ามันมีกลิ่นคาวมากขึ้น ทำอย่างไรก็กินไม่ลง ได้แต่ปล่อยมันผ่านไป

เสวี่ยหยวนจิ้งมองภรรยาด้วยความกังวล

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ เสวี่ยเจียเยว่ยังรู้สึกว่ากลิ่นคาวนั้นวนเวียนอยู่ในจมูกของเธอ หญิงสาวอึดอัดจนทนไม่ไหว สุดท้ายจึงอาเจียนออกมา

เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นห่วงภรรยามาก จึงรีบสั่งกวนเหยียนไปเชิญหมอมาทันที

เมื่อกวนเหยียนรับคำสั่งแล้วถือตะเกียงเดินออกไป เสวี่ยหยวนจิ้งก็รินน้ำอุ่นหนึ่งถ้วยแล้วโอบเสวี่ยเจียเยว่ไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะยื่นถ้วยน้ำอุ่นให้หญิงสาวบ้วนปาก

ฉ่ายผิงยังเป็นห่วงเสวี่ยเจียเยว่จึงกล่าวอยู่ข้างๆ “แม้ว่าช่วงนี้ฮูหยินจะดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไรนัก แต่นางก็ไม่ได้อาเจียนแบบนี้ เป็นความผิดของบ่าวทั้งหมด ต้องเป็นเพราะปูพวกนั้นแน่ๆ”

“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” เสวี่ยเจียเยว่โบกมือให้นาง น้ำเสียงของเธอฟังดูไร้เรี่ยวแรง “ปูนั่นข้ากินแค่คำเดียว และพวกเจ้าต่างก็กินมัน เหตุใดถึงไม่มีใครเป็นอันใด อาจเป็นเพราะวันนี้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นสลับกัน ข้าคงไม่สบาย กินยาเข้าไปเดี๋ยวก็หายแล้ว”

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ซีดเผือดก็รู้สึกสงสารจับใจ แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ทำได้เพียงโน้มศีรษะลงแนบชิดแก้มของหญิงสาวแล้วกล่าวเสียงเบา

“เป็นความผิดของข้าเอง วันนี้ข้ายุ่งเกินไปจนไม่สนใจเจ้า ไม่รู้เลยว่าร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไร” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

เสวี่ยเจียเยว่ยกมือลูบแก้มของสามี เขาไม่อยากให้เธอเป็นกังวล เธอเองก็ไม่อยากให้เขากังวล และทุกครั้งที่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับมา เธอมักจะทำตัวร่าเริงเหมือนเมื่อก่อนเสมอ

“ไม่มีอะไรจริงๆ ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก” เธอเอ่ยปลอบเขา “บางทีช่วงนี้ข้าอาจจะขี้เกียจเกินไป ทำให้มีสภาพเช่นนี้”

ช่วงนี้เธอเองก็สงสัยว่าตนป่วยหรือไม่ แต่คนเรามักจะมีข้อห้ามบางอย่างเกี่ยวกับการรักษา กังวลว่าหากหมอมาดูอาการแล้วบอกว่าเธอเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้จะทำอย่างไร เธอจึงไม่อยากให้หมอมาตรวจอาการ และทำราวกับไม่เคยเป็นอะไร อีกไม่กี่วันเธอก็จะดีขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่นี้ตนจะอาเจียนออกมาเช่นนั้น…

เสวี่ยเจียเยว่กระวนกระวายใจมากเท่าไร ในใจของเสวี่ยหยวนจิ้งก็กระวนกระวายมากเท่านั้น เมื่อกวนเหยียนเชิญหมอมา เสวี่ยเจียเยว่ก็บอกอาการของตนอย่างละเอียด หมอเพียงพยักหน้า ก่อนจะสั่งให้คนที่ติดตามมาด้วยหยิบหมอนสีเขียวที่ทำจากผ้าไหมออกมาจากล่วมยา แล้ววางรองไว้ใต้ข้อมือขวาของหญิงสาว

ขณะที่เขาตรวจชีพจรให้เสวี่ยเจียเยว่ สายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งก็มองเขาตลอดเวลา

เมื่อหมอถูกจ้องมองเช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่หลับตาลงทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิด

เสวี่ยหยวนจิ้งมองสีหน้าเคร่งขรึมของหมอ หัวใจก็เต้นถี่รัวขึ้น

เมื่อหมอถอนมือออกมา ชายหนุ่มจึงรีบเอ่ยถาม “นางเป็นอันใดหรือไม่”

“นางไม่ได้เป็นอันใด” หมอยิ้มบาง “คนที่เพิ่งตั้งครรภ์มักจะมีอาการเหล่านี้ เพียงเดือนเดียวก็ไม่ต้องดื่มยาบำรุงครรภ์อะไรแล้ว รักษาสุขภาพของตัวเองให้ดีทุกวันก็พอ”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินคำพูดนั้น เธอรู้สึกว่ามีเสียงบางอย่างแตกดังสนั่นในหัว ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยคำใด ก่อนจะหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้ง

สามีกำลังมองมาที่เธอเช่นกัน แต่สีหน้าของชายหนุ่มนั้น…

ราวกับว่างเปล่า ไม่มีความรู้สึกใดๆ

[1] พื้นที่ที่ครอบคลุมทั้งมณฑลหูเป่ยและหูหนาน