หนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปด
ตกใจและตื่นเต้น
เสวี่ยหยวนจิ้งหยิบเงินให้หมออย่างสงบนิ่ง แล้วสั่งกวนเหยียนให้ไปส่งพวกเขา จากนั้นจึงบอกฉ่ายผิงเอาน้ำมาให้เสวี่ยเจียเยว่ล้างหน้าบ้วนปาก ตัวเขาเองก็ล้างหน้าบ้วนปากเช่นกัน ก่อนจะนอนพักผ่อนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เสวี่ยเจียเยว่เห็นท่าทางของสามีก็รู้สึกตะลึง เธอเรียกเขาอยู่หลายคราจึงได้ยินชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“อือ มีอันใดหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่พูดอะไรไม่ออก
เธอมีลูกให้เขานะ! เรื่องใหญ่เช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก อีกประเดี๋ยวก็ดีใจและหวาดกลัว แต่เสวี่ยหยวนจิ้งดูสงบนิ่งเช่นนี้ราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกไม่อยากพูดคุยกับเขาอีก เธอจึงพลิกตัวหันหลังให้เสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วหลับตาลงพร้อมจะนอนพักผ่อน
หญิงสาววางมือลงบนหน้าท้องของตน ลูกน้อยของเธออยู่ในนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง คลอดออกมาแล้วหน้าตาจะเป็นอย่างไร จะเหมือนเธอหรือเหมือนเสวี่ยหยวนจิ้ง
ทันทีที่คิดเช่นนี้ หัวใจของเธอพลันเต็มไปด้วยความชื่นมื่นและความหวัง อยากให้ลูกของตนคลอดออกมาตอนนี้เสียให้ได้…
หลายวันมานี้เธอรู้สึกง่วงตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้จะตื่นเต้น แต่ก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย
ไม่รู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่หลับไปนานเท่าไร จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่ามีคนกำลังลูบหน้าท้องของตน แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะอ่อนโยนมาก แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าในท้องมีลูกน้อยจึงตื่นขึ้นมาทันที
หญิงสาวเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งนั่งอยู่บนเตียง และกำลังลูบหน้าท้องของเธอเบาๆ
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร กระนั้นก็เอ่ยเรียกเขา “ท่านพี่” เสียงของเธอแหบพร่าเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่นนอน
เสวี่ยหยวนจิ้งส่งเสียง “อือ” เบาๆ จากนั้นก็พูดต่อ “เยว่เอ๋อร์ เรามีลูกแล้ว พวกเรามีลูกกันแล้ว”
คำแรกน้ำเสียงของเขายังนิ่งสงบ ต่อจากนั้นเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น เสวี่ยเจียเยว่มองจากท่าทางของเขาแล้วคิดว่า เหมือนชายหนุ่มอยากจะกระโดดลงจากเตียงตอนนี้ แล้วเปิดหน้าต่างตะโกนคำว่า ‘ข้ามีลูกแล้ว’
ปฏิกิริยาของเขาช่างช้าจริงๆ หรือว่าตอนนี้เพิ่งได้สติขึ้นมา
อันที่จริงไม่ใช่ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเพิ่งได้สติ แต่ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหมอ เขาพลันตะลึงจนแข็งทื่อไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าตนควรทำอย่างไร ดังนั้นท่าทางภายนอกจึงดูนิ่งสงบ แต่พอหมอกลับไปแล้วเขาก็นอนไม่หลับทั้งคืน ในหัวใจร้องตะโกนซ้ำๆ ว่า ‘เยว่เอ๋อร์มีลูกแล้ว’
ความตื่นเต้นและความสุขค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วหัวใจและแขนขา เขาลุกขึ้นนั่งอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือไปลูบท้องของเสวี่ยเจียเยว่ ในหัวมีแค่ประโยคเดียวคือ ‘ข้ามีลูกแล้ว ข้ากับเยว่เอ๋อร์มีลูกแล้ว’
เขาดีใจจนถึงกับหัวเราะคิกคัก คนที่สุขุมในยามปกติ ตอนนี้กลับหัวเราะอย่างน่าขัน
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะใช้มือค้ำบนเตียงและกำลังจะลุกขึ้นนั่ง แต่ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งกดไหล่เอาไว้
“เจ้านอนลงเถอะ อย่าลุกขึ้น”
เขาทำราวกับเธอเป็นเครื่องเคลือบลายครามที่แตกง่าย สัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย
อันที่จริงเสวี่ยเจียเยว่เองก็ยังไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าหลังจากตั้งครรภ์แล้วควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่ยังคงแสร้งทำเป็นยิ้มผ่อนคลาย
“ท่านจะมาตื่นเต้นอะไรเอาป่าน และในเมื่อท่านไม่ให้ข้าลุกขึ้น เช่นนั้นท่านก็นอนลงคุยกันเถอะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งนอนลงตามคำขอของภรรยา ทั้งยังโอบเอวนุ่มๆ ของอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขนของตน แล้วก้มหน้าลงจูบแก้มหญิงสาว ก่อนจะถอนหายใจด้วยความยินดี
“เยว่เอ๋อร์ ข้าดีใจมาก ข้าดีใจมากจริงๆ”
ถ้าไม่มีเสวี่ยเจียเยว่ เขาก็ไม่มีทางรู้ว่าตอนนี้ตัวเองจะเป็นอย่างไร คงมีความแค้นอยู่เต็มอก แต่ยามนี้หญิงสาวอยู่ข้างๆ เขา มอบครอบครัวให้เขา และพวกเขาก็มีลูกด้วยกัน…
ในใจชายหนุ่มรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นห่วงเขามาก แต่ยังพยายามสนับสนุนเขาอย่างเงียบๆ
เรื่องของเซี่ยซิ่งเหยียนก็ควรถึงเวลาต้องจัดการได้แล้ว เขาไม่อยากให้เสวี่ยเจียเยว่ที่กำลังตั้งครรภ์ต้องเป็นห่วงทุกวัน
ตอนนี้เขาเป็นแค่หลางจงขั้นห้า หากฮ่องเต้ทรงเรียกคนเช่นเขาเข้าเฝ้า ขุนนางคนอื่นๆ ต้องเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน แต่เขาก็รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดเช่นไรอยู่ เพราะอวี๋ซิ่งเสวียมาพบเขาถึงสองครั้ง และแอบแฝงเจตนาว่าอยากดึงเขาไปเป็นพวกด้วย
พื้นที่ทางชายแดนยังไม่มั่นคง ศัตรูต่างแคว้นยังไม่ถูกกำจัดให้สิ้น ฮ่องเต้จึงต้องพึ่งพาพี่น้องตระกูลเซี่ย แต่เสวี่ยหยวนจิ้งจะถอดเขี้ยวเล็บของเซี่ยซิ่งเหยียนออกอย่างช้าๆ
เซี่ยซิ่งเหยียนคิดจะผลักเขาลงหลุมแทนตัวเองที่โกงเงินภาษีกับเสบียงอาหารเมื่อหลายปีก่อน เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็รู้เรื่องนี้ แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น เขาสามารถอ้างเรื่องนี้ในการเขียนฎีกาได้ แต่ด้วยกำลังของเขาคนเดียวคงทำอะไรได้ไม่มากนัก
หลังกลับจากทำงานพรุ่งนี้เขาอาจจะไปพบอวี๋ซิ่งเสวีย และเขียนจดหมายถึงเจี่ยจื้อเจ๋อซึ่งตอนนี้ประจำการอยู่ที่เมืองติดชายแดน ได้ยินว่าอีกฝ่ายได้รับตำแหน่งทหารม้า สถานการณ์ที่ชายแดนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เขาก็บอกให้อีกฝ่ายเขียนรายงานถึงตนได้
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงหายใจเบาๆ เมื่อก้มหน้าลงมองก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่นอนหลับอยู่บนแขนของเขาแล้ว ใบหน้าของหญิงสาวซีดขาวเล็กน้อย แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก
ชายหนุ่มบรรจงจูบคิ้วของภรรยาอย่างรักใคร่ จากนั้นจึงหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา
วันต่อมาหลังกลับจากทำงาน เสวี่ยเจียเยว่ไปพบอวี๋ซิ่งเสวีย และบอกเจตนาว่าอยากเข้าร่วมกับอีกฝ่าย ทำให้อวี๋ซิ่งเสวียดีใจเป็นอย่างมาก
อวี๋ซิ่งเสวียกังวลว่ากรมครัวเรือนคงยากจะทะลวงเหมือนถังเหล็ก แม้แต่การให้คนแฝงตัวเข้าไปยังยากลำบาก ไม่นานนักก็ถูกเซี่ยซิ่งเหยียนจัดการภายในเวลาอันสั้น ทว่าตอนนี้เหมือนสวรรค์เป็นใจ ส่งเสวี่ยหยวนจิ้งผู้เข้ารับตำแหน่งหลางจงในกรมครัวเรือนมาให้ ทั้งยังอยากอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา
เสวี่ยหยวนจิ้งบอกเรื่องที่เขาสืบในกรมครัวเรือนให้อวี๋ซิ่งเสวียรู้ และบอกอีกว่าเซี่ยซิ่งเหยียนอยากให้เขาแบกรับความผิดแทน อวี๋ซิ่งเสวียกับเสวี่ยหยวนจิ้งร่วมกันวางแผน โดยคิดว่าต้องใช้แผนซ้อนแผน ทว่าตอนนี้ยังไม่ต้องเคลื่อนไหวใดๆ เพียงแอบวางแผนเพื่อรับมือในที่มืดไปก่อน รอให้เซี่ยซิ่งเหยียนลงมือโจมตีก่อน
ชายหนุ่มไม่ได้เล่าเรื่องงานของตนให้เสวี่ยเจียเยว่ฟังเท่าไรนัก เพราะเกรงว่าภรรยาจะเป็นห่วง ตอนนี้หญิงสาวตั้งครรภ์แล้ว จะให้เป็นกังวลมากไม่ได้
ช่วงนี้เสวี่ยเจียเยว่ดูเกียจคร้านมากขึ้น หญิงสาวใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน ปกติแล้วตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งออกไปทำงานหญิงสาวยังนอนอยู่ พอเขากลับมาภรรยาก็ยังไม่ตื่น เป็นเช่นนี้ก็ดี เสวี่ยเจียเยว่จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องของเขา
เมื่อผ่านช่วงชวงเจี้ยง[1] อากาศเริ่มเย็นลง ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ง่วงทั้งวันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เจียงฉงอวี้รู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ตั้งครรภ์จึงมาเยี่ยมอยู่หลายครั้ง โดยมีแม่นมตามมาด้วย เพราะหลังจากมารดารู้ว่านางตั้งครรภ์ก็ไม่วางใจ จึงส่งแม่นมมาดูแลเป็นพิเศษ
หญิงสาวบอกเสวี่ยเจียเยว่ว่าต้องใส่ใจกับเรื่องอะไรบ้าง อย่างเช่นไม่ควรกินปูที่เป็นของมีฤทธิ์เย็น ไม่ควรกินลิ้นจี่ที่เป็นของฤทธิ์ร้อน
แต่ความจริงแล้วหลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ตั้งครรภ์ เขาได้ไปหาหมอเป็นพิเศษ เรื่องที่ควรระวังต้องถามให้ชัดเจน แม้ว่าเขาจะต้องไปทำงานทุกวัน แต่อาหารของเสวี่ยเจียเยว่นั้น เขาจะทำด้วยตัวเอง ในตอนค่ำเขาจะบอกวิธีการทำอาหารต่างๆ ให้ฉ่ายผิงฟังอย่างละเอียด ต้องซื้อผักและผลไม้แห้งอะไรบ้าง อีกทั้งยังต้องประคองเสวี่ยเจียเยว่เวลาเดินไปไหนมาไหนด้วย
ทว่าการมีเจียงฉงอวี้มาพูดคุยกับเธอก็ดีเช่นกัน บางครั้งเสวี่ยหยวนจิ้งจะสั่งฉ่ายผิงให้ประคองเสวี่ยเจียเยว่ออกไปเดินเล่นที่เรือนตรงข้าม หรือเชิญเจียงฉงอวี้มาพูดคุยกับเธอที่เรือน
หลังจากผ่านช่วงเสี่ยวเสวีย[2] เก็บภาษีเสร็จเรียบร้อย เซี่ยซิ่งเหยียนคิดว่าถึงเวลาแล้ว จึงส่งสัญญาณให้คนของเขาลงมือ…
ถวายฎีกาต่อฮ่องเต้ และจัดการเสวี่ยหยวนจิ้งให้ย่อยยับ
เช้าวันต่อมา ฮ่องเต้หย่งหนิงก็ส่งคนไปเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งกับขุนนางกรมครัวเรือนคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาสอบถาม
ตั้งแต่เสวี่ยหยวนจิ้งเข้ารับตำแหน่งในกรมครัวเรือน เขาไม่เคยเห็นประตูอู่เหมิน[3] สักครั้ง ยามนี้เมื่อเดินตามขันทีไป ก็เห็นประตูอู่เหมินในลานกว้างตรงหน้า ดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ด้านหน้าเป็นตำหนักเฟิ่งเทียน[4] ขุนนางขั้นสามขึ้นไปต่างก็อยู่ในนั้น
เสวี่ยหยวนจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักเฟิ่งเทียนด้วยท่าทีนิ่งสงบ
แน่นอนว่าขุนนางที่เซี่ยซิ่งเหยียนแอบสั่งการไว้ นำหลักฐานบางอย่างออกมาใส่ร้ายเสวี่ยหยวนจิ้ง ทั้งยังกล่าวอีกว่าเดิมทีชายหนุ่มมาจากครอบครัวที่ยากจน ไม่มีภูมิหลังของตระกูล แต่กลับมีเรือนใหญ่อยู่ใกล้วังหลวง
ทุกคนรู้ดีว่าเรือนในเมืองหลวงมีราคาแพง คนที่ทำงานเป็นขุนนางมาหลายสิบปีหลายคนยังไม่อาจซื้อเรือนในแถบชานเมืองได้ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับซื้อเรือนขนาดสองส่วน ถ้าเขารับเงินรายเดือนเพียงอย่างเดียวจะซื้อได้อย่างไร ที่เรือนยังมีบ่าวรับใช้และสาวใช้ เขาเอาเงินมาจากไหน หากมิใช่โกงกินเงินภาษี
แม้ว่าฮ่องเต้หย่งหนิงจะไม่รู้จักบ่าวรับใช้ของเสวี่ยหยวนจิ้ง แต่สาวใช้คนนั้นเขารู้จักดี
ฉ่ายผิงคือคนที่เขาส่งไปรับใช้โจวฮองเฮา แต่คิดไม่ถึงว่านางจะมอบฉ่ายผิงให้เสวี่ยเจียเยว่ เช่นนี้เท่ากับว่านางให้ความสำคัญแก่บุตรสาวบุญธรรมคนนี้มาก และเรือนของเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาเองก็รู้ดีว่าน่าจะซื้อมาหลายปีแล้ว
ทว่าฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร เขานั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงตายังคงแฝงรอยยิ้มอยู่หลายส่วน อยากรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร
[1] คือช่วงที่เริ่มเกิดน้ำค้างแข็ง (ประมาณเดือนตุลาคม)
[2] คือช่วงที่เริ่มมีหิมะตก (เดือนพฤศจิกายน)
[3] ประตูที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวังต้องห้าม
[4] ตำหนักที่เป็นจุดศูนย์กลางและจุดสูงสุดของวัง