หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้า
หลังจากตั้งครรภ์
เรื่องราวต่อจากนั้นเรียกได้ว่ากลับตาลปัตร เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เพียงยืนยันว่าเรือนใหญ่หลังนั้นตนเป็นคนซื้อมาเอง แม้แต่ที่มาของเงินก็อธิบายได้อย่างชัดเจน นั่นคือเงินที่เขาได้มาจากการทำกิจการในเมืองผิงหยาง จากนั้นเขาก็นำหลักฐานที่ตนรวบรวมได้มาพิสูจน์ว่านี่เป็นเพียงการร้องตะโกนเรียกจับโจร[1] เท่านั้น
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าเขาไม่อาจแตะต้องเซี่ยซิ่งเหยียนในตอนนี้ได้ เจี่ยจื้อเจ๋อส่งจดหมายมาบอกว่าการต่อสู้ที่ชายแดนยังดุเดือด ฮ่องเต้ยังต้องพึ่งพาน้องชายของเซี่ยซิ่งเหยียนปกป้องชายแดน ดังนั้นเขาจึงเล็งเป้าไปที่ขุนนางคนอื่นๆ ในกรมครัวเรือนแทน ทุกคนล้วนเป็นญาติสนิทของเซี่ยซิ่งเหยียน
ฮ่องเต้หย่งหนิงคิดจะต่อกรกับเซี่ยซิ่งเหยียนมานานแล้ว และตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งนำหลักฐานออกมาอย่างชัดเจน ทั้งยังมีอวี๋ซิ่งเสวียและขุนนางคนอื่นๆ คอยพูดให้เหตุผลอยู่ข้างๆ ตลอด ฮ่องเต้จึงสั่งให้นำตัวขุนนางในกรมครัวเรือนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปลงโทษทันที ส่วนตำแหน่งที่ว่างในกรมนั้น ขุนนางคนอื่นๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ไปรับตำแหน่งต่อ จู่โจมจนเซี่ยซิ่งเหยียนรับมือไม่ทัน แต่เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไร ทำได้เพียงเก็บความขมขื่นไว้ในใจ
หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนเริ่มเรื่องนี้ ฮ่องเต้คงไม่เรียกคนมาตรวจสอบ
เซี่ยซิ่งเหยียนเกิดความเกลียดชังในใจ เขาไม่อาจยอมให้เสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว
ขอเพียงเสวี่ยหยวนจิ้งยังอยู่ในกรมครัวเรือน เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะรับมือกับชายหนุ่มไม่ได้
แต่เซี่ยซิ่งเหยียนคิดไม่ถึงว่าสองวันต่อมานั้น จู่ๆ โจวเซ่าจวินผู้ช่วยฝ่ายซ้ายของกรมพิธีการก็ยื่นจดหมายลาออกขอกลับบ้านเกิด ฮ่องเต้จึงให้เฉินเหวินฮั่นเข้ารับตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายซ้ายแทน แล้วมีราชโองการอีกหนึ่งฉบับ ว่าครั้งนี้เสวี่ยหยวนจิ้งทำความดีความชอบ จึงให้เขาย้ายมารับตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายขวาในกรมพิธีการ
หลังจากดึงตัวเสวี่ยหยวนจิ้งออกจากกรมครัวเรือน หากเซี่ยซิ่งเหยียนคิดจะลงมือกับชายหนุ่มก็กลายเป็นเรื่องที่ยากเย็นแล้ว เขาโกรธมากจนทุบชามในมือแตกทันที แต่ก็ยังจนปัญญาอยู่ดี
เขาเข้าใจดีว่าฮ่องเต้คิดจะใช้เสวี่ยหยวนจิ้งอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะเรื่องเซี่ยเทียนเฉิง เขาคงดึงเสวี่ยหยวนจิ้งมาเข้าฝ่ายตนแล้ว นี่ก็ผ่านมาหลายปียังไม่พบเซี่ยเทียนเฉิง เขาเข้าใจดีว่าคงหาไม่พบอีกต่อไป
เซี่ยซิ่งเหยียนยังรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเสวี่ยหยวนจิ้งเสมอ ระหว่างคนสองคนมีความแค้นต่อกัน เขาจะดึงเสวี่ยหยวนจิ้งมาเป็นพวกได้อย่างไร เขาไม่ยอมอยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกันกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
แต่กรมพิธีการมีอวี๋ซิ่งเสวีย เขาไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้ ถึงแม้ว่าเฉินเหวินฮั่นจะเป็นผู้ช่วยฝ่ายซ้าย แต่ถ้าอวี๋ซิ่งเสวียมีเรื่องอะไรก็ยังคงหลีกเลี่ยงเขา และไปหารือกับเสวี่ยหยวนจิ้งเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเลือกติดตามอวี๋ซิ่งเสวียแล้ว ตอนนี้เขายิ่งยากจะลงมือกับชายหนุ่มได้
แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่ได้เล่าเรื่องในราชสำนักให้เสวี่ยเจียเยว่ฟังมากเท่าไรนัก แต่หญิงสาวก็รู้ว่าเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยฝ่ายขวาในกรมพิธีการ
เป็นขุนนางขั้นสาม คนมากมายที่เป็นขุนนางมาทั้งชีวิต จนผมหงอกก็ใช่ว่าจะเลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ แต่เสวี่ยหยวนจิ้งอายุเพียงยี่สิบสี่ปีเท่านั้น เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แล้วใครเล่าจะไม่ตกใจ
เดิมทีพวกเขาอยู่ที่นี่ก็คบค้าสมาคมกับผู้คนไม่มากนัก ทว่านับตั้งแต่เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นผู้ช่วยฝ่ายขวาในกรมพิธีการ มักจะมีผู้คนมากมายมาเยี่ยมชายหนุ่ม มีทั้งสตรีจากตระกูลขุนนางจำนวนมากและแม่สื่ออีกหลายคน
สตรีจากตระกูลขุนนางคิดอยากช่วยแคว้น จึงต้องหาทางใกล้ชิดกับเสวี่ยเจียเยว่ก่อน จากนั้นก็ให้เธอเป่าลมข้างหูพูดเกลี้ยกล่อมเสวี่ยหยวนจิ้ง ทำเช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อถึงเวลานั้นชายหนุ่มจะไม่ปรองดองกับผู้นำของตระกูลตน จากนั้นก็จะเป็นผลดีต่อแคว้น
ส่วนแม่สื่อนั้นแน่นอนว่าต้องมาเพื่อเจรจาเรื่องการแต่งงาน พอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งแต่งงานแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นบอกให้เขารับอนุสักสองสามคน
คนที่เป็นขุนนางใหญ่ เหตุใดถึงไม่มีอนุอยู่ข้างกาย อีกทั้งตอนนี้ภรรยาของเสวี่ยหยวนจิ้งยังตั้งครรภ์อยู่ ชีวิตคู่นั้นย่อมไม่เหมือนเดิม ชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่ปี ไหนเลยจะไม่ต้องการเรื่องเหล่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแม่สื่อคนหนึ่งที่คอยเกลี้ยกล่อมเสวี่ยเจียเยว่ บอกว่าตอนนี้หญิงสาวตั้งครรภ์แล้ว ก็ปรนนิบัติเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ มิสู้เอาใจใส่สามีมอบอนุให้สักคน เมื่อสามีมีความสุข เขาก็จะยิ่งเคารพเธอมากขึ้น คำพูดเช่นนี้ทำให้มือกับเท้าของเสวี่ยเจียเยว่อ่อนยวบในทันที สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาถึงเรือน ชายหนุ่มก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้พอดี สีหน้าของเขาพลันเย็นชาขึ้นมาทันใด ตวาดสั่งกวนเหยียนให้ใช้ไม้ไล่ตีแม่สื่อคนนั้นออกไป และหากใครมาขอเยี่ยมฮูหยินอีกจงอย่าให้เข้ามาในเรือน
กวนเหยียนรับคำสั่งแล้วหยิบไม้กวาดขนาดใหญ่ที่ใช้กวาดลานเรือนไล่แม่สื่อออกไป จากนั้นจึงปิดประตูใหญ่ทั้งสองบานเสียงดังปัง
ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งก็รีบไปดูเสวี่ยเจียเยว่ทันที ยามนี้หญิงสาวตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว ตอนนี้ท้องจึงโตจนเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ถึงขั้นเคลื่อนไหวลำบาก แต่ก็ยังต้องระมัดระวังให้มาก
เวลานี้เสวี่ยเจียเยว่กำลังโมโห เธอลุกพรวดพราดขึ้นจากเตียง แล้วเม้มริมฝีปากแน่นมองเสวี่ยหยวนจิ้งแต่ไม่พูดอะไร
เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นห่วงภรรยา จึงรีบเดินเข้าไปประคองทันที และเอ่ยเตือนอีกฝ่ายอย่างไม่สบายใจ “ตอนเจ้าจะลุกก็ช้าๆ หน่อย”
คนตั้งครรภ์มักมีอารมณ์แปรปรวนและจะอ้วนขึ้นกว่าเมื่อก่อน กลางลำตัวของหญิงสาวเริ่มกลมขึ้นมา เสวี่ยเจียเยว่เพิ่งเคยตั้งครรภ์ครั้งแรกจึงไม่มีประสบการณ์ หลายวันมานี้เธอรู้สึกกระวนกระวายไม่น้อย ทั้งยังสังเกตเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้แตะต้องเธอเลย เมื่อครู่แม่สื่อก็มาพูดเช่นนั้นกับเธออีก…
หญิงสาวสะบัดมือสามีออกแล้วกล่าวด้วยความโมโห “ท่านไม่ต้องมาประคองข้า ท่านมาทำอะไรที่นี่ รีบไปตามแม่สื่อมา ให้นางไปสู่ขออนุมาให้ท่านสักคนถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
เธอคงสะบัดมือแรงเกินไป จนทำให้เด็กในท้องตกใจ จึงเตะเธอหนึ่งทีอย่างไม่พอใจ
เด็กอายุห้าเดือนจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว แต่ไม่บ่อยนัก การเคลื่อนไหวก็ไม่แรงเกินไป แต่คนที่เป็นมารดา ทุกครั้งที่เด็กในท้องขยับแบบนี้มักจะรู้สึกประหลาดใจมาก โดยเฉพาะเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ลูกเริ่มเคลื่อนไหวแบบนี้
เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจความโกรธที่มีต่อเสวี่ยหยวนจิ้งทันที เธอรีบก้มหน้ามองท้องตนเอง แล้วยกมือขวาขึ้นวางบนนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยการรอคอย ประหลาดใจ และดีใจ
เมื่อครู่เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังถอนหายใจให้แก่ภรรยาที่กำลังเกิดโทสะ ทั้งที่แม่สื่อพูดแบบนั้น แต่เขาไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับเอาความโกรธมาลงกับเขา
ขณะที่ชายหนุ่มคิดจะเกลี้ยกล่อมภรรยาให้ใจเย็น จู่ๆ ก็เห็นความโกรธบนใบหน้าของหญิงสาวหายไปอย่างฉับพลัน ไม่สนใจเขา เพียงก้มหน้ามองท้องของตน
เสวี่ยหยวนจิ้งเพียงคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่สบาย จึงเอ่ยถามด้วยใจที่เต้นรัว “เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไร”
เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้ามองเขาอย่างตื่นเต้น พลางชี้หน้าท้องตัวเองแล้วพูดขึ้น “ท่านพี่ เมื่อครู่เขาเตะข้าด้วย”
ถึงอย่างไรเด็กก็ไม่ได้อยู่ในท้องของตน ดังนั้นบุรุษจึงไม่มีทางได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้ แม้เสวี่ยหยวนจิ้งจะดีใจ แต่ขณะเดียวกันก็ยังเป็นห่วงเสวี่ยเจียเยว่มาก
“เจ้าเหนื่อยหรือไม่”
เขาประคองแขนภรรยาให้นั่งลงบนเตียง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนหน้าท้อง แล้วถามพลางขมวดคิ้ว
“เหตุใดมือเจ้าถึงเย็นเช่นนี้”
ขณะที่พูดเขาก็กุมมือทั้งสองข้างของเสวี่ยเจียเยว่ไว้ในฝ่ามือของตนและลูบเบาๆ
“รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนกลัวความหนาวเย็น เมื่อถึงฤดูหนาวมือเท้าก็จะเย็นเฉียบเช่นนี้ เมื่อก่อนในห้องมักจะมีกระถางไฟขนาดใหญ่ตั้งอยู่เสมอ เสวี่ยเจียเยว่อยากจะนั่งข้างกระถางไฟทั้งวันไม่ไปไหน แต่ตอนนี้เธอตั้งครรภ์แล้วจึงได้กลิ่นไวกว่าคนอื่นๆ กลิ่นที่คนปกติดมแล้วไม่เป็นอะไร แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะอาเจียนเมื่อได้กลิ่นนั้น
ถ่านไฟเดิมทีก็มีกลิ่นอยู่แล้ว และยิ่งเพิ่มกลิ่นขนมดอกเหมยเข้าไปด้วยก็ยิ่งฉุน ไม่ต้องกล่าวถึงกลิ่นของถ่าน แม้แต่กลิ่นหอมของขนมดอกเหมย เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังทนไม่ได้ พอได้กลิ่นก็รู้สึกเวียนศีรษะจนอยากจะอาเจียน ดังนั้นในห้องจึงต้องไม่มีกระถางไฟชั่วคราว
เสวี่ยเจียเยว่เคยปลอบใจตัวเองว่าสวมเสื้อผ้าเพิ่มอีกหน่อยก็คงอบอุ่นขึ้น ตอนนี้เธอจึงสวมชุดกระโปรงผ้าฝ้าย นอกจากนั้นยังสวมเสื้อขนจิ้งจอกขาวที่เสวี่ยหยวนจิ้งซื้อมาให้เมื่อไม่กี่วันก่อน ทว่าเวลานี้มือเท้าของเธอก็ยังคงเย็นเฉียบเช่นเคย
ฝ่ามือของเสวี่ยหยวนจิ้งอุ่นมาก เมื่อสองมือของเธอถูกเขาลูบอย่างนุ่มนวลเช่นนี้ หญิงสาวก็รู้สึกสบายไม่น้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นดวงตาของเสวี่ยเจียเยว่หรี่ลงครึ่งหนึ่ง สีหน้าก็ดูสบายเหมือนลูกแมวน้อยที่ตากแดดในฤดูหนาว มุมปากเขาโค้งขึ้นอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อเห็นว่าใบหน้าเล็กๆ ของหญิงสาวซีดเผือดแทบไร้สีเลือด รอยยิ้มบนมุมปากของเขาก็จางหายไป
การอุ้มท้องเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องทนทุกข์ทรมาน หมอบอกว่าการตั้งครรภ์ในระหว่างนี้ถือว่ายังไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล แต่ภายหลังจะเริ่มลำบากขึ้น…
เสวี่ยหยวนจิ้งเริ่มกังวลขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เสวี่ยเจียเยว่ลืมเรื่องโกรธเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อครู่ไปชั่วคราว กระทั่งทั้งสองคนกินข้าวเย็นเสร็จ ตอนที่อยู่บนเตียงและกำลังจะพักผ่อนนั้น จู่ๆ เธอก็นึกถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันขึ้นมาได้ จึงรู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที ก่อนจะถามสามีอย่างคับข้องใจ
“ท่านบอกความจริงกับข้ามา ในใจท่านอยากรับอนุหรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก จะหัวเราะก็ทำไม่ได้ “ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย แต่ดูเจ้าสิ เหตุใดถึงคิดเช่นนั้นเล่า”
เสวี่ยเจียเยว่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาไม่น้อยในภพที่เธอจากมา
ความลำบากของคนเป็นภรรยาคือต้องให้กำเนิดลูกสองคน ในฐานะสามีกลับแสวงหาดอกไม้และต้นหลิว[2] อยู่นอกเรือน การทำร้ายเช่นนี้ไม่ยุติธรรมสำหรับชีวิตคนคนหนึ่ง และหลายคนในเว็บไซต์ก็สาบานนับครั้งไม่ถ้วนว่าจะไม่นอกใจ แต่ไหนเลยจะไม่มีบุรุษออกนอกลู่นอกทาง เพียงแต่สตรีไม่รู้ก็เท่านั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็ขบฟันแน่นอย่างอดไม่ได้ แล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว คำที่ใช้แทนตัวชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปเหมือนทุกครั้งที่เธอโกรธ
“เสวี่ยหยวนจิ้ง ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน หากเจ้ากล้าหาหญิงอื่นเข้าเรือน ข้าจะหย่ากับเจ้าและพาลูกไปจากเจ้า ข้าไม่เชื่อว่าผืนฟ้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ เมื่อไปจากเจ้าแล้ว พวกเราสองแม่ลูกจะไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสง่าผ่าเผยและเป็นอิสระได้ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะหาบุรุษดีๆ สักคนแต่งงานด้วย ถ้าต่อไปเจ้าพบพวกเราอีก ข้าจะไม่ให้ลูกเรียกเจ้าว่าพ่อ จะให้เขาเรียกเจ้าว่าลุง”
คำพูดประโยคนี้ทำให้สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งมืดมนลง “เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน”
ไม่ว่าใคร หากได้ยินลูกแท้ๆ เรียกตัวเองว่า ‘ลุง’ ก็ทนไม่ไหวกันทั้งนั้น แต่เสวี่ยเจียเยว่กลับพูดออกมา
ไม่รู้ว่าเหตุใดในหัวของหญิงสาวถึงได้มีความคิดไร้สาระแบบนี้
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกคับข้องใจเป็นทุนเดิม แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยเสียงต่ำเช่นนี้กับเธอ น้ำตาจึงไหลพรากออกมาทันที
[1] หมายถึง คนกระทำผิดตัวจริงสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายผู้อื่นเพื่อให้ตนพ้นความผิด
[2] หมายถึง การไปเที่ยวผู้หญิง ดอกไม้และต้นหลิวในที่นี้หมายถึงหญิงงามเมือง