บทที่ 180 ความคิดอันบ้าคลั่ง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยแปดสิบ

ความคิดอันบ้าคลั่ง

แม้เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งจะยังโกรธ แต่ทันทีที่เห็นเสวี่ยเจียเยว่ร้องไห้ ความโกรธนั้นก็หายไปจนหมดสิ้น

เขารู้ว่าตอนนี้ภรรยาอุ้มท้องลูกของพวกเขาอย่างยากลำบาก อารมณ์ของหญิงสาวจึงแปรปรวน ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจไปกระทบกระเทือนจิตใจได้ เขาจึงต้องหาวิธีที่อ่อนโยนร้อยแปดวิธีมาเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย

โชคดีที่ความโกรธของเสวี่ยเจียเยว่มาเร็วและไปเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่งความโกรธนั้นก็หายไป กลายเป็นอารมณ์ดี จากนั้นจึงนอนลงและหลับไป

เช้าวันต่อมา เสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในเรือนเพื่อคอยดูแลเสวี่ยเจียเยว่

เสวี่ยเจียเยว่ถามหมอก็รู้ว่าวันคลอดนั้นคือประมาณเดือนสี่ถึงเดือนห้าในปีหน้า จึงคิดจะใช้โอกาสตอนที่ยังทำอะไรสะดวกเย็บเสื้อผ้าเด็กอีกสองสามตัว

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นภรรยานั่งอยู่บนเตียงข้างหน้าต่าง ก้มหน้าเย็บเสื้อเด็กตัวเล็กๆ อย่างขะมักเขม้น แสงอาทิตย์สีทองอ่อนๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างด้านหลัง ตกกระทบลงบนร่างบอบบาง ดูแล้วเป็นบรรยากาศที่สงบสุขยิ่งนัก

ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นในใจ ก่อนจะเดินไปดูเสื้อเด็กตัวอื่นๆ ที่เสวี่ยเจียเยว่เย็บเรียบร้อยแล้ว

เนื้อผ้าอ่อนนุ่ม และทุกตัวก็เล็กยิ่งนัก…

เมื่อคิดถึงเวลาที่ลูกของพวกเขาจะได้สวมชุดเล็กๆ เหล่านี้ มุมปากของเสวี่ยหยวนจิ้งก็โค้งขึ้นทันที

จากนั้นเขาก็พูดกับเสวี่ยเจียเยว่ “กว่าเจ้าจะคลอดยังอีกหลายเดือน ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งทำเสื้อผ้าทุกวันก็ได้กระมัง นั่งนานไม่ค่อยดีนัก ลุกขึ้นเดินไปมาบ้าง”

ชายหนุ่มพูดจบก็เอื้อมมือไปหยิบชุดเด็กที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังเย็บอยู่ ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้ แล้วจูงมือหญิงสาวออกไปเดินเล่นนอกเรือน

แม้ว่าวันนี้จะมีแสงแดด แต่ก็เบาบางเหมือนสายน้ำ ส่องกระทบร่างกายแล้วไม่ได้ให้ความอบอุ่นแต่อย่างใด แต่โชคดีที่ไม่มีลม อากาศก็ไม่เย็นมาก

เสวี่ยหยวนจิ้งประคองแขนเสวี่ยเจียเยว่ เดินวนอยู่ในลานเรือนหลายรอบอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงประคองหญิงสาวไปดูต้นเผินจิ่งที่วางอยู่ข้างระเบียงทางเดิน

ใบทับทิมกับดอกตู้เจวียนร่วงหล่นไปนานแล้ว เหลือเพียงกิ่งก้านเปลือยเปล่า แต่ต้นเผินจิ่งยังเขียวชอุ่ม ดอกไม้บางส่วนในกระถางยังบานและส่งกลิ่นหอม

แม้ว่าจมูกของเสวี่ยเจียเยว่จะไม่ได้ไวต่อกลิ่นเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่กล้าเข้าใกล้ดอกไม้มากเกินไป เพียงยืนดูอยู่ข้างๆ หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย จึงบอกเสวี่ยหยวนจิ้ง อีกฝ่ายรีบไปยกเก้าอี้วงกลมออกมาจากห้อง ปูผ้าให้อย่างระมัดระวังก่อนจะประคองเสวี่ยเจียเยว่ไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ จากนั้นเขาจึงยกเก้าอี้กระเบื้องมานั่งลงข้างๆ และนวดขาให้ภรรยาเบาๆ

หมอเคยบอกไว้ว่ายิ่งอุ้มท้องนานเท่าไร ขากับเท้าก็จะค่อยๆ บวมขึ้น แม้แต่รองเท้าก็สวมไม่ได้ ต้องเดินให้มากๆ และนวดให้บ่อย

เสวี่ยเจียเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าทางของท่านแล้ว ทำราวกับว่าข้าอ่อนแอมาก แต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิง แรกเริ่มท่านใจร้ายกับข้ายิ่งนัก”

ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าการใช้ชีวิตเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกสงบใจไม่น้อย ใบหน้าจึงเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้ม

เพราะรู้ดีว่าบุรุษผู้นี้จะคอยอยู่เคียงข้าง คอยดูแลเธอ และจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนในอดีตอีก

ใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีรอยยิ้มใดๆ มีเพียงความรู้สึกผิดอยู่ในใจ

เขายื่นมือไปลูบใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ถ้าข้ารู้ว่าเป็นเจ้า ข้าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าลำบากแม้แต่น้อย”

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ แต่ไม่คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่เอ้อร์ยา เพียงคิดว่าเขารู้สึกผิดเท่านั้น จึงยกมือขึ้นบีบแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เช่นนั้นต่อไปท่านต้องดูแลข้ากับลูกให้ดี”

ขุนนางขั้นสามที่อายุน้อยที่สุดในราชสำนัก เมื่ออยู่ข้างนอกสีหน้าของเขามักจะเคร่งขรึมเสมอ ใครก็ตามที่ได้มองต่างรู้สึกหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขากลับถูกเสวี่ยเจียเยว่บีบแก้ม ทว่าชายหนุ่มไม่ได้หลบแต่อย่างใด ปล่อยให้ อีกฝ่ายบีบแก้มเขาเช่นนั้น ก่อนจะพยักหน้าพร้อมเอ่ยอย่างจริงจัง

“อือ ข้าจะดูแลเจ้าและลูกของเราให้ดีที่สุดไปตลอดชีวิต”

ชีวิตเขาเป็นของภรรยากับลูก ยังจะมีสิ่งใดที่เสวี่ยหยวนจิ้งให้ไม่ได้อีกเล่า

เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มแย้มพลางดึงมือกลับมาและกล่าวต่อ “เมื่อคืนข้าฝัน ข้าฝันว่าข้ายืนอยู่ที่หน้าต่าง ตอนนั้นเป็นฤดูหนาว แต่ทันใดนั้นก็มีผีเสื้อตัวเมียลวดลายงดงามบินมาตรงหน้าข้า ข้าเอื้อมมือออกไป ผีเสื้อตัวนั้นหยุดลงที่ปลายนิ้วของข้า กระพือปีกไปมา ราวกับว่ากำลังมองมาที่ข้าด้วยรอยยิ้ม ในตอนนั้นข้ารู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก ท่านพี่ ข้าคิดว่าเด็กในท้องของข้าน่าจะเป็นผู้หญิงนะเจ้าคะ”

เมื่อกล่าวจบเธอก็มองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยดวงตาเป็นประกายราวกับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยิ้มเช่นกัน ก่อนจะก้มลงจูบใบหน้าของภรรยา และกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส

“เป็นเด็กผู้หญิงก็ดี พอนางโตขึ้น เจ้าจะได้สอนนางให้เย็บปักถักร้อย ส่วนข้าก็จะสอนนางเล่าเรียนดีหรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ปรึกษาเรื่องชื่อของลูกกับอีกฝ่ายอย่างมีความสุข

ขณะที่พูดคุยกันพวกเขาเห็นฉ่ายผิงยกจานสาลี่กับส้มที่ปอกเปลือกพร้อมหั่นมาเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามา

นางเพิ่งออกไปซื้อผักและเห็นคนขายสาลี่กับส้มพอดีจึงซื้อกลับมาด้วย ก่อนจะนำมาล้างทำความสะอาด ปอกเปลือกและหั่นจนเรียบร้อยแล้วจึงยกมาให้คนทั้งสอง

เสวี่ยหยวนจิ้งรับไว้ และหยิบส้มหนึ่งกลีบส่งให้เสวี่ยเจียเยว่กิน

ฉ่ายผิงยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้เดินจากไป สักครู่นางก็กล่าวขึ้นมา “เมื่อครู่ตอนที่บ่าวกลับมา ก็เห็นบ่าวรับใช้ของใต้เท้าตันวิ่งออกมาเกือบจะชนบ่าว บ่าวจึงดึงคนผู้นั้นไว้แล้วเอ่ยถาม ถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนฮูหยินของเขาใกล้คลอดแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่คลอด คุณชายขอให้เขาไปเชิญหมอมาเจ้าค่ะ”

เสวี่ยเจียเยว่ที่กำลังจะกินส้มพลันหยุดชะงักทันที

เมื่อสองวันก่อนเธอเพิ่งไปพบเจียงฉงอวี้ เห็นนางท้องโตราวกับตะกร้าไม้ไผ่ การเคลื่อนไหวก็ไม่สะดวกนัก เธอกับนางเพิ่งพูดคุยกันว่าไม่รู้จะคลอดออกมาเมื่อไร แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ใกล้จะคลอดออกมาแล้ว

ตั้งแต่กลับมาที่เมืองหลวง เสวี่ยเจียเยว่กับเจียงฉงอวี้ก็ไปมาหาสู่กันตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอตั้งครรภ์ หัวข้อการสนทนาระหว่างกันก็ยิ่งมีมากขึ้น ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าเจียงฉงอวี้ใกล้คลอด เสวี่ยเจียเยว่จึงอยากไปดู

เสวี่ยหยวนจิ้งกดไหล่ภรรยาให้นั่งลง “คนในตระกูลตันเดิมทีก็มีมาก ฮูหยินตันเพิ่งตั้งครรภ์ครั้งแรก สาวใช้และแม่นมที่ล้อมรอบนางต้องมีมากมายแน่นอน ตอนนี้เจ้าเองก็ตั้งครรภ์อยู่ เจ้าไม่ควรไปในที่ที่มีคนมากมาย ถึงเจ้าไปก็ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้อยู่ดี นั่งอยู่ในเรือนดีกว่า”

แม้จะรู้ว่าเขาพูดถูก แต่เสวี่ยเจียเยว่ยังเป็นห่วงเจียงฉงอวี้อยู่ดี เมื่อคิดไปคิดมา ในที่สุดก็ขอให้ชายหนุ่มไปดู

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยากให้หญิงสาวเป็นกังวล จึงเรียกฉ่ายผิงมาอยู่กับภรรยา ส่วนตนก็ลุกขึ้นเดินไปที่เรือนตระกูลตันซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ตันหงอี้กำลังยืนเอามือไพล่หลังมองไม้ไผ่อยู่ตรงมุมกำแพง บ่าวรับใช้เข้ามาแจ้งว่าเสวี่ยหยวนจิ้งมาเยี่ยม เขาจึงสั่งบ่าวรับใช้ให้เชิญแขกไปดื่มน้ำชาที่ห้องโถง

บุรุษทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องโถงใหญ่ หลังจากบ่าวรับใช้เข้ามารินน้ำชาให้แล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงกล่าวกับตันหงอี้

“เยว่เอ๋อร์รู้ว่าฮูหยินเจ้าใกล้คลอดแล้ว นางเป็นห่วงมาก ถึงได้บอกให้ข้ามาดู สหายตัน ตอนนี้ฮูหยินของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นสีหน้าของตันหงอี้ดูเหนื่อยล้า ดวงตาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือด เขาคงไม่ได้นอนมาทั้งคืน…

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ตันหงอี้ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นบีบขมับ “หมอบอกว่าครรภ์นี้เป็นลูกคนแรก เวลาคลอดต้องใช้เวลานานกว่าคนที่สอง แต่นางเจ็บท้องตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เห็นว่าหัวเด็กจะโผล่ออกมา เมื่อครู่ข้าให้บ่าวรับใช้ไปเชิญหมอแล้ว รอหมอมาดูก่อนค่อยว่ากัน”

บุรุษย่อมไม่มีประสบการณ์ในการคลอดลูก ทว่าเมื่อครู่ที่มองสาวใช้ยกถังน้ำสะอาดเข้าไปในห้องด้านหลังเรือน จากนั้นก็ยกถังน้ำสีเลือดเดินออกมา ทำให้ตันหงอี้รู้สึกว่าน่าตกใจมาก แม่นมบอกว่าห้องทำคลอดสกปรก เขาเป็นบุรุษ จึงเข้าไปไม่ได้…

เสวี่ยหยวนจิ้งปลอบใจตันหงอี้สองสามประโยค แต่เขาเองก็หนักใจไม่น้อย

เจียงฉงอวี้เจ็บท้องมาหกเจ็ดชั่วยามแล้ว หัวเด็กยังไม่โผล่ออกมา ไม่รู้ว่าตอนที่เสวี่ยเจียเยว่คลอดจะเป็นแบบนี้หรือไม่ หญิงสาวเป็นคนที่กลัวความเจ็บปวดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากถึงตอนนั้น…

หลังจากรอประมาณหนึ่งก้านธูป ในที่สุดหมอก็รีบวิ่งมาด้วยอาการหอบ ตันหงอี้รีบพาหมอไปที่ด้านหลังเรือน เสวี่ยหยวนจิ้งคิดดูครู่หนึ่งจึงเดินตามไป

ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินเสียงของเจียงฉงอวี้ร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด ถังน้ำที่พวกสาวใช้ยกออกมาล้วนเปลี่ยนเป็นสีเลือด ทันใดนั้นก็ได้ยินสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ พูดคุยกันเสียงเบา บอกว่าการคลอดลูกนั้น หากรอดมาได้ก็ได้กินน้ำแกงไก่ แต่ถ้าไม่รอดก็ต้องไปสู่ประตูวิญญาณ ไม่รู้เลยว่าฮูหยินจะได้ดื่มน้ำแกงไก่หรือไปที่ประตูวิญญาณ…

เสวี่ยหยวนจิ้งใจเต้นแรงมากขึ้น ไม่กล้ามอง ไม่กล้าฟังอีก เพียงหันกลับมาและเดินออกไป

จนกระทั่งยามบ่ายแก่ๆ ในที่สุดเจียงฉงอวี้ก็คลอดลูกออกมา เป็นเด็กผู้ชาย

เมื่อหมออุ้มเด็กน้อยออกมาให้ตันหงอี้ดู ใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มทันที หลังจากให้บ่าวรับใช้มอบรางวัลให้หมอแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในห้องเพื่อดูอาการของเจียงฉงอวี้

แต่เจียงฉงอวี้เหนื่อยมากจึงหลับไป ตันหงอี้สั่งให้สาวใช้กับแม่นมดูแลนางให้ดี จากนั้นก็เดินออกมา

เมื่อมาถึงลานหน้าเรือน เขาเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังพูดกับหมอ พอหมอส่ายหน้า สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นจึงปล่อยให้หมอเดินจากไป

ตันหงอี้เดินไปถามอีกฝ่าย “เจ้าคุยเรื่องอันใดกับหมอหรือ”

เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองดอกชาที่อยู่ข้างๆ อย่างเหม่อลอย พอได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถามก็หันไปมองแล้วเอ่ยตอบ

“ไม่มีอะไรสำคัญ เพียงแค่ถามเรื่องที่ต้องระวังเวลาคลอดบุตรเท่านั้น”

ตันหงอี้คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเพิ่งได้ยินเสียงเจียงฉงอวี้ร้องด้วยความเจ็บปวดขณะคลอดบุตร ในใจจึงเป็นห่วงตอนที่เสวี่ยเจียเยว่จะคลอด ถึงได้มาถามเรื่องที่ต้องระวังกับหมอ

เขาพยักหน้าแล้วกล่าวกับเสวี่ยหยวนจิ้ง “เรื่องพวกนี้ต้องถามให้ชัดเจน”

ตันหงอี้คิดในใจว่า เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนอารมณ์ดี ความเจ็บปวดในการคลอดเช่นนี้ เกรงว่าหญิงสาวคงทนไม่ไหว

หัวใจเขาพลันเต้นแรงก่อนจะพูดต่อ “เมื่อถึงตอนที่นางจะคลอด เจ้าต้องเรียกหมอมาดูอาการอยู่ข้างๆ”

เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้า ทว่าไม่ได้กล่าวอันใดต่อ

แต่ความจริงแล้ว เรื่องที่เขาถามหมอไปเมื่อครู่นี้ก็คือ ให้ยาขับเลือดแก่เขาได้หรือไม่

เมื่อครู่ที่ได้ยินเจียงฉงอวี้ร้องด้วยความเจ็บปวด และได้ยินคำพูดของสาวใช้ จู่ๆ ในใจเขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

เขาไม่ต้องการลูกอีกแล้ว ไม่กล้านึกภาพเลยว่าถ้าเสวี่ยเจียเยว่เป็นอะไรไป เขาจะทำอย่างไร แม้ว่าความคิดของตนจะโหดร้ายกับลูก แต่เขาเพียงอยากให้เสวี่ยเจียเยว่สบายดี สิ่งอื่นใดนั้นชายหนุ่มไม่สนใจแล้ว

น่าเสียดาย เมื่อหมอถามจนได้รู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ตั้งครรภ์มาหลายเดือนแล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่าถ้าตั้งครรภ์ในระยะนี้ หากกินยานั้นเข้าไป หมอเองก็รับประกันความปลอดภัยให้ไม่ได้ เสวี่ยหยวนจิ้งถึงได้หยุดถาม แต่หัวใจของเขายังคงเต้นรัวราวกับมีใครตีกลองอยู่ในนั้น ไม่สงบลงเสียที