ตอนที่ 297 คันตรงไหนครับ / ตอนที่ 298 สู้ๆ นะวัยรุ่น!

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 297 คันตรงไหนครับ

 

 

เธอเอี้ยวตัวหลบ แต่ทว่าในอ้อมกอดของเขา โดยเฉพาะใต้ร่างของเขานั้นไม่เคยมีทางให้หลบหนี

 

 

เฉินฝานซิงกรอกตาซ้ายทีขวาทีก่อนจะยอมรับชะตากรรมไปในที่สุด

 

 

“ตรงนั้นมัน…รู้สึกคันๆ…”

 

 

ในตาเขาพลันวูบไหว รอยยิ้มค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงไว้ซึ่งความปรารถนา

 

 

เรียบง่าย ทว่ากลับส่งผลต่อสายตาได้อย่างไม่อาจหาคำใดมานิยาม

 

 

มันเพียงพอที่จะเผยให้เห็นเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาและเย้ายวนใครต่อใครได้อย่างง่ายดาย

 

 

“คันตรงไหนครับ”

 

 

สี่คำที่ถูกเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มทำเอาเฉินฝานซิงชะงักนิ่งไปเป็นนาที ใช่ว่าเธอจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ่อนต่อโลก ความหมายสองแง่สอง่ามนั้น เรียกให้เฉินฝานซิงต้องรู้สึกอายอีกครั้ง

 

 

“ฉันหมายถึงที่คอ!” เฉินฝานซิงเผลอขึ้นเสียงสูงอย่างไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากโดนเข้าใจผิด

 

 

ป๋อจิ่งชวนกลั้วขำเสียงต่ำในลำคอ “ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้น ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณคันที่คอ”

 

 

“…” เฉินฝานซิงกัดริมฝีปากแน่น

 

 

ร้ายกาจ  

 

 

เขาเผยยิ้มขึ้น ก่อนจะก้มลงแนบริมฝีปากลงกับผิวคอของเธออีกครั้ง

 

 

เฉินฝานซิงขยุ้มหลังเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่น ร่างกายเกร็งแข็งเล็กน้อย

 

 

“คันตรงนี้…หรือว่าคันตรงนี้”

 

 

   ทุกครั้งที่เขาประทับรอยจูบไว้ตรงไหน เสียงทุ้มชวนหลงใหลก็จะเอ่ยถามขึ้น เฉินฝานซิงกัดกลีบปากแน่น ไม่ปล่อยให้ตัวเองเผลอครางออกมาทว่าความเผลอไผลในบางครั้ง กับร่างที่สะดุ้งเกร็งขึ้นทุกครั้งที่โดนเขาจูบกลับเป็นสิ่งที่เหนือการควบคุม

 

 

“ดูเหมือนจะคันทุกตรงสินะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุข ก่อนที่ความรู้สึกแสบๆ คันๆ จะแล่นแปล๊บขึ้นมาจากซอกคอ

 

 

เมื่อรับรู้ได้ถึงเจ้าของร่างอันอบอุ่นและอ่อนนุ่มภายใต้ร่างของเขาที่กำลังสั่นระริก มุมปากเขาก็ยกขึ้นแล้วเลียเบาๆ ไปยังจุดที่เขาออกแรงจูบไปก่อนหน้า

 

 

เขายันกายขึ้น นัยน์ตาสีดำสนิทมองลงไปบนผิวขาวเนียนที่ค่อยๆ มีจ้ำเลือดสีจางผุดขึ้นมาให้เห็น รอยยิ้มพรายจึงได้ปรากฏขึ้นจากก้นบึ้งของนัยน์ตาคู่นั้น

 

 

สุดท้ายก็เคลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ตรงแก้มที่ขึ้นสีเลือดฝาดดูน่ารัก แล้วประกบจูบลงไปอีกครั้งบนริมฝีปากที่แดงและบวมเจ่อ เกี่ยวพันกันต่ออีกสักพัก ก่อนจะผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่ง

 

 

คล้ายว่านัยน์ตาสุกใสนั้นจะถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ ทว่าก็ยังมองออกว่านัยน์ตาของคนตรงหน้ากำลังพยายามข่มความรู้สึกที่ยุ่งเหยิง

 

 

เธอรู้ว่าเขาต้องการจะหยุดมัน

 

 

เฉินฝานซิงจูบลงไปที่มุมปากของเขาแล้วกอดคอเขาเอาไว้แน่นๆ ด้วยความตื้นตัน

 

 

เขาโอบร่างเธอเอาไว้แน่นแล้วตะแคงตัวนอนลงข้างๆ

 

 

เฉินฝานซิงยอมนอนอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างว่าง่าย รับเอาความหอมเย็นและอบอุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่ายเข้ามาอย่างวางใจ

 

 

“นอนเถอะ” เขาว่าเสร็จก็กดจูบลงไปหน้าผากเกลี้ยงเกลา

 

 

“อื้ม” เธอตอบรับเสียงแผ่ว พลางซุกหน้าลงบนอกแกร่งอันโอบอ้อมของเขา

 

 

เธอไม่ได้ระแวงและเกร็งกลัวเหมือนก่อนหน้า ตอนนี้เธอนอนร่วมเตียงกับอีกฝ่ายได้แล้ว อีกทั้งเธอยังสวมกอดอีกฝ่ายได้อย่างอุ่นใจ ก่อนจะผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของเขาอย่างง่ายดาย…

 

 

มองอีกคนที่หลับพริ้มอยู่ในอ้อมกอดตัวเองไปได้ไม่นาน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลย

 

 

การทำให้เธอหายตื่นกลัวและเลิกปฏิเสธการใกล้ชิดกับเขาได้ถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

 

 

จะว่าไปแล้วก็ควรขอบคุณคุณย่าสักหน่อย

 

 

ดูเหมือนว่าเขาต้องพาเฉินฝานซิงกลับมาที่นี่บ่อยๆ ซะแล้ว

 

 

    –

 

 

ไหลหรงพาหญิงชราเข้าห้องมา ใจหนึ่งก็รู้สึกเอือมระอา อีกใจนึงก็แอบเห็นดีเห็นงามไปด้วย

 

 

นายหญิงหนอนายหญิง บางทีก็ทำเอาคนอื่นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยจริงๆ

 

 

ไอ้ความคิดแบบเด็กๆ แบบนี้ก็ยังจะทำลงไปได้

 

 

“นายหญิงคะ ท่านทำโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว คุณชายกับคุณหนูเฉินเธอออกจะฉลาดกันซะขนาดนั้น ดูก็รู้ว่าเป็นฝีมือของท่าน ไม่กลัวว่าทั้งคู่ออกมาได้แล้วจะโดนเอ็ดเอาหรือคะ”

 

 

   “จะช้าจะเร็วพวกเขาก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดี คนหนึ่งก็ทื่อเป็นพระอิฐพระปูน อีกคนก็หัวโบราณคร่ำครึ เพราะแบบนี้ไงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงได้ไม่คืบหน้าไปไหน ฉันทนดูเฉยๆ ไม่ได้แน่ๆ!”

 

 

 

 

 

ตอนที่ 298 สู้ๆ นะวัยรุ่น!

 

 

“จะช้าจะเร็วพวกเขาก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดี คนหนึ่งก็ทื่อเป็นพระอิฐพระปูน อีกคนก็หัวโบราณคร่ำครึ เพราะแบบนี้ไง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงได้ไม่คืบหน้าไปไหน ฉันทนดูเฉยๆ ไม่ได้แน่ๆ!”

 

 

ชัดเจนแต่ไม่สมเหตุสมผล

 

 

คำว่า ‘แน่ๆ’ ไม่ได้ดูมีน้ำหนักเลยสักนิด

 

 

“เอาละค่ะ นายหญิง เราควรพักผ่อนกันได้แล้ว”

 

 

“อื้ม ไหลหรง เธอว่าต้องให้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วค่อยไปเปิดประตูให้พวกเขา สักชั่วโมงหนึ่งพอไหม แต่ฉันว่าน้อยไปนะ หรือสักสองชั่วโมงดี?”

 

 

ไหลหรงถอนหายใจ เธอพูดขึ้นมาอย่างหน่ายๆ “นายหญิงงง”

 

 

“เอาเถอะๆ สักสามชั่วโมงค่อยเปิดให้ก็แล้วกัน”

 

 

แม่บ้านไหลหรง “…”

 

 

 

 

สองชั่วโมงให้หลัง เฉินฝานซิงรู้สึกตัวขึ้นในอ้อมกอดของป๋อจิ่งชวน

 

 

ไม่ทันที่จะได้ลืมตาตื่น จมูกก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคย

 

 

หัวใจเธอกระตุกไปวูบหนึ่ง ก่อนที่มันจะกลับมาเต้นในจังหวะที่ควรจะเป็น

 

 

เธอขยับเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า สิ่งที่เตะตาเธอเป็นอย่างแรกคือรอยยับยู่ยี่บนเสื้อเชิ้ตที่ดูน่าจะแพงระยับ

 

 

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอตื่นขึ้นในอ้อมกอดของเขา แต่เมื่อเทียบกับครั้งก่อนบนรถที่คฤหาสน์เซิ่งจิ่ง ตอนนี้เธออุ่นใจกว่ามาก

 

 

หรือจะเรียกได้ว่าเป็นความอุ่นใจที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน

 

 

“คิดอะไรอยู่”

 

 

การหลับและตื่นของทุกคนจะมีจังหวะของการหายใจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

 

ป๋อจิ่งชวนรู้สึกตัวตั้งแต่นาทีที่อีกคนหนึ่งลืมตาตื่นแล้ว

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของอ้อมกอด “เพิ่งตื่นน่ะ รู้สึกว่าแบบนี้ ก็ดีเหมือนกันนะ…”

 

 

เขาย่นคิ้วมองเธอ เหมือเฉินฝานซิงเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงติดจะสะลึมสะลืออยู่ รอยยิ้มน้อยๆ จึงปรากฏออกมาให้เห็น

 

 

“อื้อ” เธอผละออกจากอ้อมแขนเขาก่อนจะลุกขึ้นนั่ง แล้วแหงนหน้าเพื่อทอดมองไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่าง “ต้องทานมื้อเย็นอีกใช่ไหมคะ”

 

 

“อาจจะนะ หรือคุณจะไปก่อนดี”

 

 

เฉินฝานซิงส่ายหน้า “อยู่ทานมื้อเย็นเป็นเพื่อนคุณย่าก่อน”

 

 

 

 

ไหลหรงเรียกให้คนมาไขประตูห้องออกตั้งแต่หญิงชราหลับไปแล้ว

 

 

ไม่งั้นขืนรอจนกระทั่งทั้งคู่ทำอะไรต่อมิอะไรกันเสร็จจริงๆ หากเกิดเปิดประตูออกมาไม่ได้แล้วเรื่องมันเลยเถิดไปกว่านี้ นั่นก็จะวุ่นไปกันใหญ่

 

 

ตอนที่ทั้งคู่เดินลงมา ไหลหรงและหญิงชราก็มารออยู่ที่ห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว

 

 

เมื่อเห็นทั้งคู่เดินลงมาด้วยกัน หญิงชราก็ฉีกยิ้มจนหน้าบาน

 

 

ไหนๆ ก็กินเวลาไปทั้งบ่าย เทียบกับคราวก่อนถือว่าใช้เวลานานขึ้นเยอะ

 

 

“หนูฝานซิง หลับสบายไหมจ๊ะ”

 

 

ใบหูเธอขึ้นสีเลือดฝาดจางๆ “หลับสบายมากค่ะคุณย่า”

 

 

เมื่อนายหญิงสกุลป๋อได้ฟังดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งเผยออกกว้างขึ้นไปอีก เธอพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “งั้นก็ดีเลย…เยี่ยมมาก…สู้ๆ นะ…”

 

 

“…”

 

 

“…”

 

 

นอนกับสู้ๆ มันเกี่ยวอะไรกัน!

 

 

มันจะชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว

 

 

ใบหน้าเกลี้ยงเกลาถูกย้อมไปด้วยสีแดงก่ำ “ย่าคะ พวกเราไม่ได้…”

 

 

ตอนที่ทั้งคู่เดินเข้ามาใกล้ สายตาของหญิงชราก็เบนลงไปหยุดลงตรงซอกคอของเฉินฝานซิงอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตำหนิสีแดงบนผิวขาวสะอาดปรากฏให้เห็นเด่นชัดจนน่าสะดุดตา

 

 

ดวงตาของหญิงชราเปล่งประกายระยับ เธอมองเด็กสาวที่มีท่าทีเขินอายอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะ รีบตอบพลางหัวเราะ “อ๋อ ไม่ๆ ย่าเข้าใจ…”

 

 

คำว่า ‘เข้าใจ’ ถูกลากเสียงจนยาวเหยียด

 

 

ราวกับว่ามีอะไรในกอไผ่

 

 

เฉินฝานซิงสูดเอาลมหายใจเข้าเต็มปอดและไม่พูดสิ่งใดออกมาอีก

 

 

จากนั้นนายหญิงสกุลป๋อก็เบนสายตาไปมองหลานในไส้ที่ยืนอยู่ไม่ห่าง มือที่เท้าแขนอยู่บนพนักแขนของวีลแชร์แอบยกหัวแม่มือให้กับเขาอย่างลับๆ

 

 

“สู้ๆ นะ วัยรุ่น!”

 

 

แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อเสียงเรียงนาม แต่ก็ทำเอาหน้าของป๋อจิ่งชวนอึมครึมลงไปทันที

 

 

เล่นซนพอรึยัง