ตอนที่ 299 คุณมีเงิน คุณมีเหตุผล
“คุณหนูเฉินคะ มือถือในกระเป๋านั่นดังมาสักพักแล้ว จะมีธุระสำคัญอะไรรึเปล่าคะ”
ด้วยนิสัยรอบคอบไหลหรงจึงมองออกถึงอาการทำตัวไม่ถูกของเฉินฝานซิง เธอจึงใช้โอกาสนี้ในการเบี่ยงประเด็น
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่าทีเหนียมอายเมื่อครู่ก็ค่อยๆ สงบลง
“อ๋อ ฉันขอดูก่อนนะคะ”
เธอรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนโทรมา เธอเพียงแค่เดินตามทางหนีทีไล่ที่แม่บ้านไหลหรงเป็นคนชี้ให้เท่านั้น
ประวิงเวลามาจนถึงตอนนี้ เธอเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าป่านนี้จะทำให้คนสกุลเฉินเดือดจนถึงขั้นไหนแล้ว
จะว่าไปอีกเดี๋ยวก็ต้องไปบ้านสกุลเฉินแล้ว งั้น…
เธอแหงนหน้ามองอีกคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามด้วยสีกลัดกลุ้ม
–
หลังจากรับประทานมื้อค่ำเสร็จ เธอก็ปฏิเสธคำเชื้อเชิญด้วยความมีน้ำใจของคุณย่าที่ขอให้เธอพักที่นี่ ก่อนที่เธอและป๋อจิ่งชวนจะพากันเดินออกมา
“มีอะไรอยากพูดกับผมงั้นเหรอ”
ออกมาได้ไม่นาน เสียงทุ้มของป๋อจิ่งชวนก็ดังขึ้น
เธอชะงักเงียบไปก่อนจะเอ่ยปากขอ “ป๋อจิ่งชวน ฉันขอยืมรถคุณสักคันหนึ่งก่อนสิ”
คิ้วของเขากระตุกเบาๆ “ให้น่ะให้แน่ แต่ว่าก่อนอื่น คุณคิดจะทำอะไร”
เธอเม้มปากก่อนจะพ่นลมหายใจทิ้ง “ฉันจะไปบ้านสกุลเฉิน…”
“ผมไปด้วย”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ ป๋อจิ่งชวนก็ได้พูดขัดขึ้นด้วยเสียงเย็น
เห็นได้ชัดว่าเขาเดาถูกตั้งแต่แรกแล้วว่าเฉินฝานซิงจะพูดอะไร
เธอรู้สึกอึดอัดในใจ “คุณไม่จำเป็นต้องออกหน้าหรอกนะ เรื่องนี้ฉันคนเดียวเอาอยู่”
“ดูก็รู้ว่าพวกเขาเรียกหาคุณด้วยเจตนาไม่ดี คุณคิดว่าผมรู้แบบนี้แล้วจะยอมปล่อยให้คุณไปคนเดียวงั้นเหรอ”
น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นในแบบที่เธอไม่ค่อยได้ยินมันบ่อยนัก เธอรีบเข้าไปคว้ามือเขาเอาไว้ แล้วเกลี้ยกล่อมเสียงแผ่ว “พวกเขาทำอะไรฉันไม่ได้หรอก และฉันก็จะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองด้วย”
“…” เขาเงียบ มองเธอด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก
ดูก็รู้ว่าเขาคงไม่ยอม
เธอยืนชั่งใจอยู่ที่เดิมสักพัก ก่อนที่เธอจะยอมใจอ่อน “ก็ได้ คุณไปกับฉันก็ได้ แต่ฉันจะเข้าไปคนเดียว คุณต้องรอในรถ…ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะรีบโทรหาคุณทันที! เพราะฉันไม่อยากให้พวกเขาหาเหตุผลเพื่อจะมาวุ่นวายกับคุณ”
สีหน้าของเขายังคงแข็งกร้าว ทว่าหลังจากที่ได้ยินเธอพูดจบแล้วก็มีทีท่าอ่อนลงเล็กน้อย
“ตามใจ” สองคำนั้นถูกพ่นออกมาอย่างเยือกเย็น แต่ก็พอจะฟังออกว่าเขายังไว้หน้าเธออยู่ไม่น้อย
“คุณอยากยืมรถคันไหน”
“ขอเป็นรถคันล่ะสามสี่ล้านก็พอ…”
“ไม่มี” เขาตอบออกมาสั้นๆ อีกครั้ง
ป๋อจิ่งชวนยกกุญแจรถในมือกดไปยังรถที่จอดสนิทอยู่หน้าประตู
“ถูกที่สุดก็รถที่ผมขับมาคันนี้ แปดล้าน พอจะได้ไหม”
เฉินฝานซิงอดหัวเราะเจื่อนขึ้นมาในใจไม่ได้ คุณมีเงิน คุณมีเหตุผล
“…ได้”
“ขึ้นรถ”
–
ณ บ้านสกุลเฉิน บรรยากาศชวนอึดอัดปกคลุมไปทั่วทั้งห้องรับแขก
เจียหรงหรงวางแผนทุกอย่างให้กับเฉินเต๋อฝานไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว แต่หลังจากที่รอเฉินฝานซิงมาแล้วทั้งบ่าย เธอก็ตัดใจเดินหน้าบึ้งเข้าไปพักในห้อง
เฉินเต๋อฝานเดือดจนแผ่นอกของเขายกตัวขึ้นลงอย่างหนักหน่วง ไฟโทสะนั้นยากที่จะดับลงได้ หยางลี่เวยที่นั่งอยู่ข้างๆ เองก็มีสีหน้าหงุดหงิดไม่แพ้กัน
โทรไปตั้งแต่สาย เพิ่งจะรับสายตอนเที่ยง บอกว่าจะมาเดี๋ยวนี้ แต่กลับปล่อยให้พวกเขารอมาแล้วทั้งวัน
ป๋อจิ่งชวนจอดรถลงตรงหน้าประตูคฤหาสน์ เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากด้านนอก เฉินเต๋อฝานก็ลุกพรวดขึ้นจากโซฟา ก่อนจะมุ่งหน้าออกไป
เป็นเวลาเดียวกันกับที่เฉินฝานซิงเปิดประตูรถออกและก้าวลงมาที่นั่งข้างคนขับพอดี
ในคราแรก เฉินเต๋อฝานกวาดสายตามองไปยังรถที่เฉินฝานซิงเพิ่งจะก้าวลงมา ก่อนที่คิ้วของเขาจะขมวดเข้าหากันแน่น
“สารเลว แกรู้ไหมว่าปล่อยให้พวกฉันรอกันนานแค่ไหน ฮะ!”
ทันทีที่เธอก้าวขึ้นมาบนบันไดบ้าน กลิ่นอายแห่งความเยือกเย็นและหยิ่งผยองชวนให้รู้สึกกดดันก็ได้คืบคลานเข้ามา
ตอนที่ 300 คิดบัญชี
ทันทีที่เธอก้าวขึ้นมาบนบันไดบ้าน กลิ่นอายแห่งความเยือกเย็นและหยิ่งผยองชวนให้รู้สึกกดดันได้คืบคลานเข้ามา
เฉินฝานซิงหาได้รู้สึกทุกข์ร้อนกับคำว่า ‘สารเลว ’ที่หลุดออกมาจากปากของผู้เป็นพ่อ ทั้งยังกวาดสายตาที่เยือกเย็นไปมองเขา ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปอย่างหน้าตาเฉย
เฉินเต๋อฝานไร้ตัวตนในสายตาของเธอไปอย่างสมบูรณ์ ความเย็นชาของเธอเทียบกับความเดือดดาลของเขาแล้ว มันทำให้เขาดูไม่ต่างอะไรกับตัวตลกตัวหนึ่ง
เขาขบฟันกรอด ยามที่เขาแบกหน้าบอกบุญไม่รับกลับมาถึงห้องรับแขก เฉินฝานซิงก็นั่งลงบนโซฟาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
–
ในตอนนี้นอกตัวบ้าน ความมืดได้ค่อยๆ โรยตัวลงมา เฟอนิเจอร์ที่สะอาดแวววับต้องกับแสงไฟขับให้ห้องรับแขกสุดโอ่อ่ายิ่งเปล่งประกายสวยหรู
แสงสีขาวนั้นสว่างจ้าจนแทบเห็นไปถึงละอองฝุ่นเล็กๆ ที่ล่องลอยอยู่ในความเงียบงัน
เฉินฝานซิงเอนตัวลงแนบกับโซฟา เธออยู่ในชุดเดรสสีแดงอิฐสุดเรียบหรู ผมถูกมัดขึ้นตรงหลังศีรษะอย่างเรียบง่าย สองแขนวางราบลงบนที่วางแขนของโซฟา นิตยสารแฟชั่นเล่มหนึ่งถูกนำมาวางลงบนหน้าตัก กลีบปากสีกุหลาบเม้มเข้าหากันเบาๆ เรียวคิ้วลู่ต่ำลง ยากจะคาดเดาความรู้สึก
ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ห้องรับแขกนี้ตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศรอบข้างก็จะยิ่งดูอึดอัดลงทันที
เวลาได้ล่วงเลยไปเนิ่นนาน…
“เหตุผล”
เสียงเย็นเอ่ยขึ้นเสียงดังฟังชัด แม้เพียงสองคำก็ยังฟังออกถึงความแข็งกร้าวและความเยือกเย็นได้ชัดเจน
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของเชียนโหรวแล้ว แน่นอนว่าฉันต้องการจะเตรียมของขวัญให้กับเธอ!”
นัยน์ตาเธอพลันมืดหม่น ความหนาวเหน็บก่อตัวขึ้นในใจเธออย่างแน่นหนา แต่เธอก็ยังฝืนข่มโทสะเอาไว้อย่างสุดกำลัง
นิตยสารในมือถูกปิดลง เธอเอนตัวพิงโซฟา ก่อนเธอจะยกหน้าขึ้นจ้องมองไปยังเฉินเต๋อฝาน แล้วกระตุกมุมปากแผ่วเบา
การกระทำเล็กน้อยที่ปรากฏบนใบหน้างดงามให้คำนิยามได้เพียงสองคำนั่นคือคำว่า ‘ถากถาง’
“เธอจะจัดงานวันเกิด คุณก็เลยจะยกบริษัทของฉันให้เธอ? นี่คือเหตุผลที่เรียกฉันมา?”
ความโอหังและเย้ยหยันในน้ำเสียงทำเอาความขุ่นแค้นและชิงชังของเฉินเต๋อฝานทวีความหนักหน่วง
“ยังไงเชียนโหรวก็เป็นน้องแก แกทำร้ายน้องไปตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แถมนับวันยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ…ครั้งนี้มันเกินไปแล้ว ในที่สาธารณะที่ผู้คนมากมายขนาดนั้น แกยังจะบังคับให้น้องคุกเข่าให้แกอีก แกยังหลงเหลือความเป็นคนอยู่อีกไหม!”
“เคยคิดบ้างไหมว่าน้องเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นศิลปินหลักของหลานอวิ้น! การที่แกทำกับเธอแบบนั้นทำให้บริษัทเสียหายไปตั้งเท่าไหร่! แต่แกก็ยังไร้จิตสำนึกแถมยังแข็งข้อ ตระกูลเฉินจะไม่ยอมให้แกทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกแน่ และก็จะไม่ยอมเสียหน้าเพราะเรื่องนี้ด้วย! แกไม่จำเป็นต้องอยู่ในประเทศนี้อีกต่อไปแล้ว ตั๋วเครื่องบินฉันจะเตรียมให้เอง อยากจะไปที่ไหนก็ไป! ส่วนเรื่องค่าเสียหายของบริษัทแกก็ต้องชดใช้ เพราะงั้นก่อนจะออกจากประเทศไปก็ส่งบริษัทแกมา ถือซะว่าเป็นการไถ่โทษให้เชียนโหรว!”
พรึ่บ เธอเค้นเสียงหัวเราะเย็นออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นนิตยสารในมือก็ถูกโยนลงบนโต๊ะน้ำชาก่อนที่เธอจะลุกยืนขึ้น
ร่างโปร่งลุกยืนขึ้นเต็มความสูง แผ่ขยายรังสีแข็งกร้าวและเยือกเย็นอันน่าเกรงขาม อากาศหายใจรอบๆ ค่อยๆ ได้บางเบาลง
ดวงตาสุกสกาวอัดแน่นไปด้วยความหนาวเหน็บนั้นหรี่ลงช้าๆ
“คนที่ดีกว่าเธอ มีความสามารถกว่า มีฝีมือกว่ามีตั้งเยอะแยะ แต่พวกคุณยอมทุ่มเงินเพื่อยืนอยู่ข้างเธอ ค่าเสียหายงั้นเหรอ พวกคุณทำตัวเองทั้งนั้น! ออกจากประเทศ? คุณไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนฉัน! อยากได้บริษัทของฉัน? อย่าแม้แต่จะคิด!”
เสียงของเธอราวกับน้ำแข็งย้อยที่ติดอยู่บนผนังถ้ำที่ตกลงมาแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ!
ในตอนนี้เธอเดือดจนไม่อาจอดกั้นใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งตัวของเธอถูกห่อหุ้มไปด้วยความหนาวเหน็บที่ทำเอาใครที่ได้เห็นต้องอกสั่นขวัญแขวน
นั่นเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ผู้เป็นแม่ทิ้งไว้ให้กับเธอ นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะหน้าไม่อายถึงขั้นนี้!
ในตอนนั้นเองเธอก็แค่นหัวเราะเย็นขึ้น “ในเมื่อพวกคุณอยากคิดบัญชีกับฉันนัก งั้นฉันก็จะขอคิดบัญชีกับสกุลเฉินบ้าง…”