ตอนที่ 301 ปากกล้าเสียจริง
“ในเมื่อพวกคุณอยากคิดบัญชีกับฉันนัก งั้นฉันก็จะขอคิดบัญชีกับสกุลเฉินบ้าง…
รักหลานอวิ้นมากนักเหรอ เคยคิดบ้างไหมว่าหากไม่มีคุณแม่ของฉันสักคน หลานอวิ้นจะอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ไหม! ไหนจะบริษัทกับร้านค้าที่คุณแม่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง อย่าลืมล่ะว่านั้นเป็นสินเดิมที่เธอทิ้งเอาไว้ให้ฉัน! แล้วตอนนี้ของพวกนั้นอยู่ในมือใคร หืม?”
เธอนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนที่สายตาคมเฉียบแหลมนั้นจะกวาดไปยังสองร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้า
แน่นอนว่าไม่เว้นแม้แต่หยางลี่เวยที่ตอนนี้เธอหน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว
แม้ว่าเธอจะพยายามปกปิด แต่เฉินฝานซิงกลับรู้อยู่ก่อนแล้ว
หลายปีมานี้เธอไม่เคยเชื่อสักครั้งว่าคุณแม่ของเธอจะจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ!
หากร่างของเธอที่กระโดดน้ำไปในครานั้นจะถูกพวกปลากัดกินไปจนหมด อย่างน้อยๆ ก็ต้องเหลือกระดูกเอาไว้ให้เห็นสักชิ้น แต่เปล่าเลย!
เธอไม่เคยละความพยายามที่จะออกตามหา เรื่องราวก่อนที่คุณแม่จะจากโลกนี้ไป สิ่งที่พอจะสืบได้เธอก็สืบมาจนหมด เรื่องที่คุณแม่ทิ้งสินเดิมเอาไว้ให้เธอนั้น หลักฐานก็ถูกเก็บไว้ที่ทนายอยู่ตั้งแต่ต้น หากเธออยากจะรู้ขึ้นมามันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
สีหน้าของเฉินเต๋อฝานอึมครึมไปในทันที เขาไม่นึกมาก่อนว่าจู่ๆ เธอจะเอ่ยถึงเรื่องบริษัทของจีเฟิ่งเหมียน!
“สินเดิมนั่นแกจะได้ก็ต่อเมื่อหลังจากที่แกแต่งงานไปแล้ว! แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น…”
“จนกว่าจะถึงตอนนั้น ของพวกนั้นก็ไม่ใช่ของของพวกคุณ” เธอตัดบทผู้เป็นพ่อด้วยเสียงกร้าว!
“อยากคิดบัญชีไม่ใช่เหรอ? บัญชีนี้ฉันก็จะวางเอาไว้ตรงนี้แหละ! หลานอวิ้นคือทุกสิ่งของตระกูลเฉินของคุณ เฉินเชียนโหรวเป็นแก้วตาดวงใจของสกุลเฉินใช่ไหม เยี่ยมไปเลย ในเมื่อคุณบังอาจพุ่งเป้าไปที่ซิงเฉินกั๋วจี้ งั้นเรามาลองกันดูสักตั้ง! จะว่าไปคุณก็น่าจะได้ลิ้มลองนะ รสชาติของการสูญเสียสิ่งที่รักไป!”
“ฉันไม่ใช่แค่จะให้พวกคุณได้สูญเสีย แต่ฉันจะทำให้พวกคุณเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียอย่างสุดซึ้งทีละเล็กทีละน้อย ในขณะที่พวกคุณกำลังตะเกียกตะกาย!”
ปลิดชีพคนด้วยดาบเดียว ความเจ็บปวดจะเกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจ
ย่อมไม่สู้ความทุกข์ทรมานที่เกิดจากการถูกตัดแขนขาไปทีละชิ้น!
นัยน์ตาเธอเย็นยะเยือก คิ้วเรียวย่นเข้าหากันเล็กน้อย เสียงดังประกาศกร้าวราวกับทุกถ้อยทุกคำนั้นถูกยัดลงไปในมีดน้ำแข็งแหลมคมที่คอยปักลงมาบนร่างของพวกเขาทีละเล่ม ทีละเล่ม
ท่าทีดุดันและทรงพลังทำให้เฉินเต๋อฝานและหยางลี่เวยตกใจจนตะลึงงันไปในเวลาเดียวกัน
บรรยากาศตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับลวดสลิงที่ขึงตึง ราวกับว่าขืนสะกิดมันอีกครั้งเดียวก็อาจจะทำให้มันขาดสะบั้นลงได้
“ปากกล้าเสียจริงนะ!”
เสียงหนึ่งแทรกขึ้นพร้อมกับความแข็งกร้าวและน่าเกรงขามที่คุ้นเคย
เฉินฝานซิงแหงนหน้าขึ้นไปก็พบกับเจียหรงหรงที่ยืนเบี่ยงตัวอยู่บนราวบันไดชั้นสอง เธอมองเหยียดลงมายังเฉินฝานซิงก่อนจะเดินลงบันไดมาแล้วเคลื่อนตัวเข้าใกล้เฉินฝานซิงขึ้นมาเรื่อยๆ
ดวงตาเฉียบแหลมนั้นมองเธออย่างสำรวจไปตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่สายตานั้นจะหยุดชะงักลงตรงคอของเธอ
ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะเค้นเสียงหัวเราะเย็นออกมา “เหลวแหลกขึ้นทุกวันนะแกเนี่ย ตอนอยู่กับซูเหิงก่อนหน้านี้ยังพอซ่อนลายอยู่บ้าง พอมาตอนนี้แกเหนื่อยจะซ่อนมันแล้วรึไง ที่จะให้แกออกจากประเทศไปเพราะหวังดีหรอกนะ อยู่ต่างประเทศแกจะเละเทะแค่ไหนก็ได้! แต่ถ้าถึงตอนนั้นก็อย่านึกเสียใจล่ะที่ทำให้ชื่อเสียงของตัวเองเน่าเฟะ! จนสุดท้ายลำบากสกุลเฉินต้องมาคอยตามล้างตามเช็ดให้แกอีก”
นัยน์ตาเยือกเย็นของเฉินฝานซิงก่อนหน้านั้นถูกชั้นน้ำแข็งบางๆ ฉาบทับอีกชั้น
เธอเข้าใจในสิ่งที่เจียหรงหรงพ่นออกมา เพียงแต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดแบบนั้น!
น่าขันที่สุดก็คือ ในฐานะผู้ใหญ่ ทั้งยังเป็นประมุขของบ้าน แต่กลับบอกหลานในไส้ของตัวเองออกมาได้เต็มปากว่า ‘จะเละเทะแค่ไหนก็ได้’ เหอะ…
“สบายใจได้! เรื่องของฉันสกุลเฉินไม่ต้องเก็บมาคิดให้หนักใจ สู้เก็บเรี่ยวแรงไปดูแลบริษัทกับเฉินเชียนโหรวให้ดีๆ จะดีกว่า”
เจียหรงหรงสีหน้าขุ่นมัวลงทีล่ะน้อย “ดูเหมือนแกยังดึงดันจะทำตามใจตัวเองสินะ”
ตอนที่ 302 เธอมาได้ยังไง
สีหน้าของเจียหรงหรงขุ่นมัวลงทีละน้อย “ดูเหมือนแกยังดึงดันจะทำตามใจตัวเองสินะ”
เฉินฝานซิงเหยียดยิ้มหยัน “หากฉันไม่ดึงดันจะทำตามใจตัวเอง ฉันคงตายไปนานแล้ว!”
ในตอนนั้น มีใครเคยคิดจะช่วยเหลือเธอบ้าง
เจียหรงหรงหรี่ตาลงมองเฉินฝานซิงอย่างละเอียด ความมั่นใจเช่นนั้นทำเอาเธอเกิดเชื่อคำพูดของเฉินฝานซิงขึ้นมาจริงๆ
จะว่าไป ก่อนหน้านี้เจียหรงหรงเองก็ไม่เคยนึกระวังเธอมาก่อน แต่บทเรียนที่ได้รับในงานครบรอบของบริษัทครั้งนั้น ทำให้เธอไม่อาจมองข้ามเฉินฝานซิงได้อีก
อายุยังน้อย ความคิดซับซ้อน เล่ห์เหลี่ยมยิ่งประมาทไม่ได้
เหมือนกับแม่มันไม่มีผิด เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวนั้นคงเต็มไปด้วยความจองหองและอวดดี ไม่งั้นมันคงไม่ผยองได้ขนาดนี้
ไม่ยอมทิ้งนิสัยเด็ดเดี่ยวแบบนี้ไปสักที ถ้าเป็นไปได้ หากได้ความสามารถของเธอมา อย่างน้อยๆ บริษัทคงจะก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้
แต่ไม่ได้ ตระกูลเฉินมีเชียนโหรวแล้ว
ต่อไปเชียนโหรวจะเป็นดาวนำโชคของสกุลเฉิน แต่เฉินฝานซิงเห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นดาวแห่งภัยพิบัติที่จ้องจะทำลายเชียนโหรว!
เธอจะไม่ปล่อยให้ดาวแห่งภัยพิบัติดวงนี้มีที่ยืนอยู่ในตระกูลเป็นอันขาด!
คิดได้ดังนั้น เจียหรงหรงจึงแค่นหัวเราะออกมาเสียงเย็น “ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่าแกจะแน่สักแค่ไหน!”
เธอเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาสุกใสบรรจุความเยือกเย็นและถากถางไว้จนล้นปรี่
“งั้นคุณก็รอดูเอาแล้วกัน!”
พูดจบสายตาของเธอก็เบนไปหยุดลงตรงหยางลี่เวยที่อยู่อีกมุมหนึ่ง “ของของฉัน ทางที่ดีควรคืนให้ฉันมาซะจะดีกว่านะ ไม่อย่างงั้น ฉันจะทำให้คุณต้องสำรอกออกมาให้ฉันเป็นเท่าตัว!”
“บังอาจ!”
ท่าทีหยิ่งผยองพองขนตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาในบ้านหลังนี้ทำลายความอดทนของเฉินเต๋อฝานไปจนไม่เหลือชิ้นดี เขาตบโต๊ะพลางลุกพรวดขึ้น!
เฉินฝานซิงชูคอขึ้นอย่างไม่นึกกลัว เธอมองผ่านอารมณ์เดือดดาลของเฉินเต๋อฝานไป สายตาเย็นยะเยือกกวาดมองไปยังศีรษะของหยางลี่เวย
“คราวหน้าคราวหลังถ้าจะเรียกฉันมาคุยเรื่องอะไรอีก ก็ช่วยใคร่ครวญดูด้วยว่าฉันจะตอบตกลงรึเปล่า อย่ามาเล่นกับเส้นความอดทนของฉันบ่อยนัก…”
สายตานั้นยังคงกวาดมองไปยังทั้งสามคนที่ยืนอยู่ในห้องรับแขกด้วยสีหน้าอมทุกข์ ก่อนจะขำออกมาเบาๆ
ประตูบ้านเปิดออกก่อนจะถูกกระแทกปิดอย่างสุดแรง ห้องรับแขกสุดโอ่อ่าในตอนนี้ไร้ซึ่งเงาของเฉินฝานซิง
ทว่าน้ำเสียงที่ราวกับถูกห่อหุ้มไปด้วยน้ำแข็งอันหนาวเหน็บนั้นยังคงดังวนเวียนอยู่ในห้องนั้น…
‘ใช่ว่าพวกคุณจะไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ร้ายกาจที่สุดในเมืองผิงเฉิงนี่คือใคร’
คือเธอไงล่ะ
ใครบ้างที่ไม่รู้
ก่อนหน้าเธอคิดจะยอมก้มหน้ารับคำปรักปรำนี้ แต่มาคิดๆ ดูอีกที เธอไม่อาจแบกรับคำขนานนามนี้ไว้ได้ฟรีๆ
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาจะพุ่งเป้าไปที่ซิงเฉินกั๋วจี้!
ความหนาวเย็นฉาบทับลงบนดวงตาของเธอ
“พี่คะ…พี่…กลับมาแล้ว?”
น้ำเสียงหวาดหวั่นแต่แอบแฝงไปด้วยความดีใจแว่วดังขึ้น เฉินฝานซิงเงยหน้าขึ้นมองเฉินเชียนโหรวที่เดินควงแขนซูเหิงอย่างสนิทสนมพากันตรงเข้ามาทางนี้
ไฟทางเดินตรงนอกประตูส่องแสงสว่างจ้า ทำให้เธอมองเห็นความโศกเศร้า อ่อนแอ ผิดหวังและตื่นกลัวบนใบหน้าสวยนั้นได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นสายตาอันเยียบเย็นของเฉินฝานซิงที่ส่งผ่านมาทางนี้ เธอจึงซบเข้าหาอ้อมกอดของซูเหิงด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
“ฝานซิง เธอมาได้ยังไง เธอหายไปไหนมา โทรไปก็ไม่รับ เมสเสจไปก็ไม่ตอบ รู้บ้างไหมว่าทำให้เป็นห่วงขนาดไหน”
ซูเหิงตบไหล่เฉินเชียนโหรวเบาๆ พลางเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดด้วยสายตาตำหนิ
เฉินฝานซิงย่นคิ้วเข้าหากัน สายตาเย็นชาที่อัดแน่นไปด้วยความเย้ยหยันถูกส่งผ่านไปยังเขา
“เป็นห่วง? พิลึกดีแฮะ”
ซูเหิงหน้าแข็งทื่อ “…เธอมาได้ยังไง”
เฉินฝานซิงมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉันมาที่นี่ไม่ได้รึไง”
ซูเหิงเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา ในเมื่อเขากลับถูกปฏิบัติอย่างสวนทางกับเกียรติที่เขามี ใครหน้าไหนจะไปรับได้
“เฉินฝานซิง ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆ นะ…”
เฉินฝานซิงเพิกเฉย ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาเองก็จะตระหนักได้แล้วว่านอกเหนือจากเธอแล้ว คนในสกุลก็โหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนกันทุกคน