บทที่ 177 ซุ่มจู่โจม (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 177 ซุ่มจู่โจม (1)
ความร้อนกระจายออกมาจากตัวลู่เซิ่ง

ผิวเขาเป็นสีแดง ปราณภายในในสภาพของเหลวจำนวนมากเริ่มหมุนวนในข่ายกระเรียนหยินอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าก่อนหน้าหลายเท่า หนำซ้ำพร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ยังเร่งเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง

‘สำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ตรงนี้’

ลู่เซิ่งทราบแก่ใจว่าตอนนี้ยาสร้างผลลัพธ์แบบนี้แก่เขาได้ไม่มากแล้ว พร้อมกับจำนวนครั้งที่ใช้กับความแข็งแกร่งขึ้นของร่างกาย ขี้ผึ้งสุคนธ์ทองเริ่มกลายเป็นของบำรุงธรรมดา

ยาใดๆ จะมีผลมากที่สุดในการกินครั้งแรก

เขาข่มความรู้สึกร้อนเป็นไฟในร่างกาย แล้วยัดเลือดเนื้อเข้าไปในปาก กลืนลงไปทั้งตัว

ซู่…

ปราณภายในอันมหาศาลพุ่งออกมาจากรูขุมขนบนผิวหนัง ปราณหยินหยางขวดสมบัติที่เย็นเยียบ รวมถึงปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่ร้อนดั่งไฟ กระจายออกมาอย่างช้าๆ ในห้องสงบใจด้วยสภาวะของตาข่ายโลหิต ปกคลุมช่องว่างทั้งหมดภายในห้อง

ลู่เซิ่งรู้สึกว่าพอเลือดเนื้อลงไปถึงลำคอ ก็เหมือนกับมีไฟกลุ่มหนึ่งเผาทรวงอกถึงกระเพาะ ไอความร้อนขนาดใหญ่มากมายแผ่กระจายอย่างบ้าคลั่งไปทั่วร่าง

ความรู้สึกลอกคราบในร่างกำลังเร่งความเร็วขึ้นทีละนิดๆ ไอความร้อนที่เกิดจากเลือดเนื้อของมังกรสี่ตีนเหมือนกับกำลังถูกย่อยเป็นปราณภายในอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เสริมวัฏจักรปราณภายในอันยิ่งใหญ่

ปราณภายในเข้มข้นและเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

ความหนาแน่นในห้องสงบใจยิ่งมายิ่งมาก ปราณภายในที่คุณสมบัติไม่เหมือนกันสองชนิดปะทะกัน พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ก็เริ่มปรากฏสีสันจางๆ ที่เล็กมากอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ปราณภายในวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานเป็นสีแดงอ่อน

ปราณหยินหยางขวดสมบัติเป็นสีฟ้า

ตูม คล้ายมีอะไรระเบิด

ลู่เซิ่งเย็นไปทั่วร่าง ผ่านไปไม่นาน เขาก็รู้สึกถึงร่างที่ร้อนผ่าว

เดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อนอยู่เช่นนี้ สิ่งเจือปนสีดำเทาที่เล็กละเอียดค่อยๆ ซึมออกมาจากผิวหนังของเขา

ของเหลียวเหนียวหนืดสีเหลืองอ่อนส่วนหนึ่งถูกขับออกมาจากร่างกาย

‘เริ่มแล้ว…’ เขาตื่นเต้น หลับตาช้าๆ ทำให้จิตใจและร่างกายปลอดโปร่ง ปล่อยทุกสิ่งให้แก่ความรู้สึกลอกคราบอันบริสุทธิ์จัดการ

ลู่เซิ่งไม่รู้ว่ารอบนี้จะกินเวลานานเท่าไหร่ แต่เขารู้ว่า การปิดด่านในครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการก้าวสู่ระดับใหม่อย่างแท้จริงตั้งแต่เขาฝึกวรยุทธ์

พริบตาเดียวเทศกาลเก้ากลีบก็มาถึง

แดนเหนือเจอภัยแล้งมาหนึ่งปี ในที่สุดก็ผ่านพ้นช่วงเวลาลำบากได้ คหบดีในชนบท เจ้าของที่ดิน เจ้าของที่นา คนทำกิจการ เริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ฉวยโอกาสที่เป็นเทศกาลเก้ากลีบ เริ่มตั้งร้านค้าและจัดกิจกรรมพวกส่งเสริมการขาย

เป็นเพราะการสะกดของลู่เซิ่ง พื้นที่ส่วนใหญ่ในแดนเหนือไม่มีภูตผีอาละวาด ที่โผล่มาเป็นครั้งคราวก็จะมียอดฝีมือไปจัดการทันที

หลังไม่ได้พบความสงบสุขมานาน สิ่งที่ตามมาคือชาวนา ชาวประมงและนายพรานกลับมาทำงานอีกครั้ง นายพรานล่าสัตว์ที่เป็นอันตรายดุร้าย ปกป้องความปลอดภัยของป่าเขารอบๆ

ชาวนาทำไร่ไถนา ชาวประมงจับปลา หยุดความรุนแรงของภัยแล้งไว้ชั่วคราว

เป็นเพราะเป้าหมายไล่ล่าของผู้คุมจัตุรัสแดงเป็นระดับยอดฝีมือทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับคนธรรมดา ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อคนทั่วไป บวกกับช่วงนี้นางไปล่าที่เขตอื่น เมืองใหญ่ๆ จึงค่อยๆ สงบสุขอีกครั้ง

พลพรรควาฬแดงจัดเทศกาลเก้ากลีบกันเอง พวกผู้อาวุโสกับผู้จัดการภารกิจภายในไม่ได้ห้ามปราม กลับถือโอกาสเข้าร่วมสนุก

นอกจากเรือวาฬแดง สาขาย่อยในท้องที่ต่างๆ ก็พากันทำตาม แขวนมาลัยดอกเก้ากลีบสีชมพูไว้ที่สองข้างของประตูใหญ่

ยังเชิญอาจารย์สอนนักศึกษาในสถาบันการศึกษามาเขียนกลอนคู่กับวันเทศกาล

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ให้อวี้เหลียนจื่อกับผู้จัดการภารกิจภายในคนอื่นๆ ปรึกษากันจัดการ ทว่าครั้งนี้เพราะเป็นเทศกาลใหญ่ครั้งแรกหลังภัยแล้ง ทั่วทั้งพรรคต่างส่งเสียงเรียกร้อง หวังว่าลู่เซิ่งจะโผล่มาดำเนินงานฉลอง

เพราะกระแสเรียกร้อง อวี้เหลียนจื่อได้แต่ไปยังเรือวาฬแดง ทดลองแจ้งลู่เซิ่งดู

“ประมุขพรรคยังปิดด่านอยู่หรือ” อวี้เหลียนจื่อยืนอยู่ด้านในลานนอกห้องสงบใจ ได้ยินคำตอบขององครักษ์ใกล้ชิดที่เฝ้าอยู่ ก็เผยสีหน้าจนใจ

“ขอรับ จนถึงวันนี้ก็ปิดด่านมาหลายวันแล้ว” องครักษ์ใกล้ชิดตอบอย่างเคารพ

“หมายความว่างานเทศกาลก็โผล่หน้ามาคุมงานไม่ได้หรือ” อวี้เหลียนจื่อเสียดายอยู่บ้าง

“เอ่อ…ประมุขพรรคสั่งว่า ช่วงปิดด่านห้ามให้ใครรบกวน” องครักษ์ใกล้ชิดตอบอย่างระวัง

“อวี้เหลียนจื่อหรือ” ทันใดนั้นในห้องสงบใจพลันแว่วเสียงทุ้มต่ำที่ชัดเจนดังมา

“ขอรับ” อวี้เหลียนจื่อฮึกเหิม รีบก้มหน้ากล่าวด้วยความเคารพ

“กิจกรรมฉลองเจ้าจัดการได้เต็มที่ ไม่ต้องมาถามข้า ข้ายังคุมงานไม่ได้” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ

อวี้เหลียนจื่อรีบก้มหัวขานรับ

“อย่างนั้น อวี้เหลียนจื่อขอลา” เขาหมุนตัวกำลังจะจากไป

“รอเดี๋ยว! ลู่เซิ่งเรียกเขา “วันนี้เป็นเทศกาลเก้ากลีบหรือ”

คำถามนี้แปลกประหลาด แต่อวี้เหลียนจื่อยังตอบอย่างว่าง่าย

“ขอรับ”

“ดอกเก้ากลีบบานวันนี้หรือ” ลู่เซิ่งถาม

“หากกล่าวให้ถูกต้อง เป็นวันพรุ่งนี้ ปกติดอกเก้ากลีบจะบานวันที่สองของเทศกาลเก้ากลีบ พรุ่งนี้จึงเป็นเวลาที่ดอกบานงดงามที่สุด” อวี้เหลียนจื่อตอบ

ลู่เซิ่งเงียบเล็กน้อย

“ดี ข้ารู้แล้ว ท่านไปเถอะ”

อวี้เหลียนจื่อเกิดความสงสัย ล่าถอยไป

ในห้องสงบใจ ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิบนเบาะกลม ควันหนาฟุ้งไปทั่วห้อง ควันสีขาวเทาจับกลุ่มปกคลุมห้องสงบใจ ครอบคลุมร่างเขาเอาไว้

‘เทศกาลเก้ากลีบ…เป็นเวลาที่คนของสมาคมหทัยร่อนเร่จะลงมือ’ เขาปิดด่านมาหลายวัน การเคลื่อนไหวด้านนอกมีสตรีกางร่มกับองครักษ์ใกล้ชิดในพรรครายงานมาโดยตลอด

เขายื่นมือไปลูบจดหมายสีดำฉบับหนึ่งที่วางอยู่บนพื้นเบื้องหน้า

เนื้อหาในจดหมายเขารับทราบแล้ว เป็นสมาคมหทัยร่อนเร่ที่ลึกลับไม่อาจหยั่งคาดนั่นส่งมา ส่งถึงห้องหนังสือประมุขพรรคของเรือวาฬแดง หลังองครักษ์ใกล้ชิดพบก็ส่งมาถึงห้องสงบใจ

เขาอ่านเนื้อหาด้านในแล้ว มีแค่ที่อยู่กับเวลา เวลานี้คือพรุ่งนี้พอดี

ลู่เซิ่งรู้ว่าพวกเขาตั้งใจทำอะไร นี่เป็นจดหมายที่จำเป็นต้องให้เขาร่วมมือ ที่อยู่และเวลาคือการแจ้งฆ่าผู้คุมจัตุรัสแดง

จากข่าวที่สตรีกางร่มส่งมา หลายวันมานี้ผู้คุมจัตุรัสแดงกับนางมุ่งหน้าไปยังทางตะวันออก จากนั้นก็ลัดเลาะสายน้ำบนที่ราบน้ำแข็งลงไป ออกห่างจากเมืองเลียบคีรี เข้าใกล้จงหยวนที่อบอุ่นกว่า

แต่ระยะห่างแค่นี้ สำหรับยอดฝีมือระดับพวกเขา เป็นระยะทางไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น

‘เปิดเผยตรงไปตรงมาแบบนี้ ดูเหมือนพรุ่งนี้จะเกิดศึกใหญ่จริงๆ’ เปลือกนอกเขาไม่ต่างจากยามปกติ แต่ว่าเทียบกับก่อนหน้า มีความเยือกเย็นสงบนิ่งเพิ่มมา ในด้านการซ่อนลมปราณ แม้แต่ร่องรอยการฝึกวรยุทธ์ก็หายไป ดูเหมือนจะไม่ต่างจากคุณชายที่โรคร้ายเพิ่งทุเลา

‘ถ้างั้นเราก็ควรเริ่มแผนการของตัวเองได้แล้ว…ปราณหยินยังมีราวสี่สิบหน่วย’

เขาเว้นเล็กน้อย

‘ดีปบลู’

ลู่เซิ่งคิดเงียบๆ กรอบสีน้ำเงินค่อยๆ ปรากฏขึ้น ลอยอยู่ด้านหน้าเขา

‘วิถีหยางโชติช่วง…บางทีอาจเรียนรู้เพิ่มได้หนึ่งระดับ…’

ช่องแคบขนาดมหึมากึ่งเปิดกึ่งปิดเหมือนกับดวงตาตั้งตรงคู่หนึ่ง ผาหินสองฟากข้างสูงหลายร้อยหมี่ เย็นเยียบลาดชัน

แสงอาทิตย์สีขาวสาดลง เห็นหน้าผาหินสีดำหยาบกระด้างได้ชัดกว่าเดิม

ด้านล่างหน้าผาหิน สายน้ำกระจ่างใสเหมือนกับแถบผ้า ทะลุผ่านหน้าผาและช่องแคบที่กว้างใหญ่อย่างสงบเงียบ

ผิวน้ำเรียบนิ่ง เป็นสีเขียวอ่อนดุจคันฉ่อง ไหลลดคดเคี้ยวมาจากที่ไกล ทอดไปยังที่ราบไม่มีชื่อซึ่งอยู่ห่างออกไป

ตอนนี้เรือมีหลังคาลำน้อยค่อยๆ แล่นมาบนแม่น้ำ คนสองคนบนเรือหนึ่งนั่งหนึ่งยืน เป็นสตรีสองคน

สตรีที่ยืนมีผมสั้นสีขาว กล้ามเนื้อสมส่วนกำยำ แขนขายาวทรงพลัง เหมือนกับเสือดาวที่เตรียมออกล่า แฝงพลังระเบิดอันกล้าแข็ง

สตรีที่นั่งนุ่มนวลงดงาม หมุนร่มกระดาษสีแดงชาดในมือ ขาเปลือยสองข้างอยู่ในน้ำ ตีน้ำเล่นจนเกิดละอองน้ำสีขาว

ฟู่…

ลมเอื่อยพัดมา ต้นไม้บนสองฝั่งสั่นไหว กลีบดอกเก้ากลีบเล็กๆ ถูดลมพัดตกลงในแม่น้ำ เหมือนกับฝนสีชมพู

“ท่านพี่…อยากจะอยู่…แบบนี้ตลอดไป…” สตรีกางร่มยื่นมือไปรับกลีบดอกกลีบหนึ่งที่ลอยมา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนหวาน

“ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะให้คนปลูกดอกเก้ากลีบทั่วทั้งจัตุรัสแดง” ผู้คุมจัตุรัสแดงตอบอย่างอ่อนโยน “เพียงแต่วันเวลาแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะสามารถ…”

ทันใดนั้นเสียงนางขาดหายไป สองตาดุร้าย มองไปยังผิวแม่น้ำด้านหน้า

ในแม่น้ำที่กระจ่างใสด้านหน้า ไม่รู้ว่ามีหัวคนโผล่ขึ้นมาตอนไหน

หัวคนประหลาดที่มีดวงตาข้างเดียว

“คราก่อนปล่อยให้เจ้าหนีไปได้ ครั้งนี้ ข้าจะไม่ประมาทอีกแล้ว” ตัวประหลาดค่อยๆ โผล่พ้นผิวน้ำ ด้านล่างศีรษะมนุษย์ตาเดียวของเขาเป็นร่างกายสีดำอมเทาขนาดใหญ่โต

ผู้คุมจัตุรัสแดงเอียงศีรษะน้อยๆ กวาดตามองซ้ายขวาพร้อมกัน

ในแม่น้ำรอบข้าง มีหัวคนตาเดียวที่เหมือนกันอีกสองข้างปรากฏขึ้น เพียงแต่เล็กกว่าตัวที่อยู่ตรงหน้า

จากนั้นด้านหลังเป็นสตรีอาภรณ์ขาวที่นั่งขัดสมาธิบนผิวน้ำ เพียงแต่ว่านางสวมหน้ากากสีดำ มองไม่เห็นหน้าตา

“พวกเจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร” ผู้คุมจัตุรัสแดงมีสีหน้าเคร่งเครียด

“เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าพวกเราเจอเจ้าได้อย่างไร มอบชิ้นส่วนภัยพิบัติมังกรสีชาดมา ควักตาตัวเองออกมาด้วย แล้วข้าจะให้เจ้าจากไป” ยักษ์ตาเดียวเบื้องหน้าเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“เจ้าว่าเป็นไปได้หรือ” ผู้คุมจัตุรัสแดงทำหน้าเย้ยหยัน “สมาคมหทัยร่อนเร่ส่งพวกเจ้ามาสี่คนแค่นี้หรือ”

“เป็นไร พวกเราสี่คนยังไม่พอจะหยุดเจ้าหรือ” ยักษ์ตาเดียวยกกระบองเขี้ยวหมาป่าขึ้น กระบองเขี้ยวหมาป่าใหญ่มาก แค่ความกว้างก็เท่ากับขนาดตัวของผู้คุมจัตุรัสแดงแล้ว

“คิดจะหยุดข้าหรือ” ผู้คุมจัตุรัสแดงยื่นฝ่ามือขวาออกมา กลางฝ่ามือปรากฏคมดาบเรียวยาวกึ่งโปร่งแสงขึ้น

“ไปคิดดีกว่าว่าตัวเองจะรอดได้อย่างไร”

ตูม!

ทั้งสองคนลงมือพร้อมกัน คลื่นน้ำขนาดใหญ่ระเบิดขึ้น เงาร่างสองเงาปะทะกันกลางละอองน้ำ

ตูม!

ดาบยาวกึ่งโปร่งแสงสาดประกายสามครั้ง ปลดปล่อยความร้อนไร้รูปร่างขนาดใหญ่สายหนึ่งใส่กระบองเขี้ยวหมาป่าอย่างแม่นยำ

เคร้ง เคร้ง เคร้ง!

เสียงดังติดต่อกันสามครั้ง ยักษ์ตาเดียวตวาด ออกแรงสะบัด แรงอันมหาศาลฟาดผู้คุมจัตุรัสแดงออกไป แต่กระบองเขี้ยวหมาป่าของเขาส่งเสียงแกร่ก ท่อนบนหัก ถูกฟันทำลายไปในการปะทะกันเพียงครั้งเดียว

ยักษ์ตาเดียวอีกสามตนล้อมเข้าไป พวกเขาดูเหมือนร่างกายมโหฬาร ยามเคลื่อนไหวกับเร็วอย่างน่าประหลาด กระบองเขี้ยวหมาป่าเกิดเกิดเสียงแหวกลม หวดผ่านข้างตัวผู้คุมจัตุรัสแดงติดต่อกัน

คลื่นลมอันรุนแรงที่เกิดจากอาวุธ ระเบิดผิวน้ำที่เรียบนิ่งในตอนแรกจนเกิดละอองน้ำสาดกระเซ็น ทั้งสามคนคล้ายจับกลุ่มเป็นค่ายกลประหลาด ห้อมล้อมผู้คุมจัตุรัสกับสตรีกางร่มไว้ตรงกลาง เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง พร้อมพุ่งเข้าไปขัดขวางการฝ่าวงล้อมของผู้คุมจัตุรัสแดงตลอดเวลา

สตรีกางร่มมองดูอย่างกระวนกระวายอยู่ด้านข้าง แต่ก็สอดมือไม่ได้ สี่คนที่เข้าร่วมการต่อสู้ ที่อ่อนแอสุดมีพลังระดับสูงสุดขั้นสัตตะลักษณ์ นางเข้าไปยังทำลายแม้แต่เยื่อดำไม่ได้ นอกจากจะถ่วงแข้งถ่วงขา ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ

……………………………………….