ตอนที่ 399 สกุลเมิ่งแห่งเมืองหลวง / ตอนที่ 400 สองสกุลเกี่ยวดอง

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 399 สกุลเมิ่งแห่งเมืองหลวง

สกุลเมิ่ง เมืองหลวง

“ไปถามที่หน้าประตูหน่อย ว่ามีจดหมายของข้าหรือไม่” เมิ่งหนานสั่งจินเสี่ยวอันที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก

จินเสี่ยวอันทำหน้าง้ำ “คุณชาย วันนี้ข้าไปถามมาสามรอบแล้ว ยามนี้แล้วนะขอรับ หากมีจดหมายของท่าน ก็ต้องรอถึงพรุ่งนี้ถึงจะส่งมาถึงเมืองหลวง”

คราวนี้เมิ่งหนานถึงรู้ตัวว่าแสงอาทิตย์นอกหน้าต่างกลายเป็นสีแดงแล้ว ผ่านไปอีกวันหนึ่งแล้วหรือนี่

หากส่งจดหมายจากเมืองชิงหยวนมาถึงเมืองหลวง อย่างมากต้องใช้เวลาเจ็ดวัน นี่ก็ผ่านไปประมาณเจ็ดวันแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววของจดหมายแม้สักนิด

“เฉินไท่เหรินก็ยังไม่ตอบจดหมายหรือ” เมิ่งหนานขมวดคิ้วถาม

จินเสี่ยวอันส่ายหน้า “ยังขอรับ อาจจะกำลังยุ่งก็เป็นได้”

เมิ่งหนานโมโหจนแทบจะล้มโต๊ะ “เขายุ่งถึงเพียงนั้นเลยรึ ยุ่งจนไม่มีเวลาตอบจดหมายข้าเลยหรือไร”

องครักษ์จินยักไหล่ ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากคุณชายกลับมาถึงเมืองหลวง นิสัยของเขาก็มีแต่จะเกรี้ยวกราดขึ้นทุกวัน หากไม่เหม่อลอยก็เดินวนเวียนอยู่ในห้อง ชีวิตขององครักษ์ข้างกายอย่างเขาจึงไม่สงบสุขเอาเสียเลย!

ทันใดนั้นมีสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา “คุณชาย ฮูหยินเชิญท่านไปที่เรือนฝูโซ่วเจ้าค่ะ”

เมิ่งหนานมุ่นคิ้วถาม “มีเรื่องอะไรหรือ”

สาวใช้ส่ายหน้า “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”

ชายหนุ่มถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วตามสาวใช้ไปที่เรือนฝูโซ่ว

เรือนฝูงโซ่วเป็นของนายหญิงสกุลเมิ่ง เป็นที่พักอาศัยของมารดาของเมิ่งหนาน

นอกจากสวี่ซื่อ นายหญิงของสกุลเมิ่งแล้ว ขณะนี้ในเรือนฝูโซ่วยังมีฮูหยินที่แต่งตัวงดงามอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย ทั้งสองคนกำลังดื่มชาและสนทนากลั้วเสียงหัวเราะกันอยู่เชียว

“ฮูหยิน คุณชายมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่คอยท่าอยู่หน้าประตูเห็นชายเข้ามาในลานบ้าน ก็รีบแจ้งให้เจ้านายทราบในทันที

สวี่ซื่อพยักหน้าเบาๆ นางชำเลืองมองฮูหยินเจิ้งที่นั่งอยู่ข้างๆ “บุตรชายของข้าคนนี้จากเมืองหลวงไปนานนัก เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน จึงยังปรับตัวไม่ค่อยได้เท่าไร เดิมทีควรจะเป็นเขาที่ไปหาท่านมากกว่า”

ฮูหยินเจิ้งวางจอกชาในมือลง นางยิ้มจางๆ กล่าวว่า “ระหว่างพวกเราสองพี่น้อง ยังต้องพูดจาด้วยมารยาทเช่นนี้อยู่อีกหรือ ใครไปหาใครสำคัญตรงไหนกัน ขอเพียงเรื่องมงคลของเด็กๆ สำเร็จลุล่วงไปได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สำคัญหรอก”

รอยยิ้มของสวี่ซื่อยิ่งเบ่งนาน “ท่านพูดถูก พวกเราเป็นพ่อเป็นแม่ ทำทุกอย่างก็เพื่อลูกทั้งนั้นแหละ”

ระหว่างที่พวกนางพูดคุยกัน เมิ่งหนานก็เข้ามาในโถงรับรองแล้ว เขาเห็นในโถงยังมีแขกคนอื่นอยู่ด้วย จึงรีบรักษามารยาท “ท่านป้าสะใภ้เจิ้ง!”

ฮูหยินเจิ้งพิจารณาเมิ่งหนาน บัดนี้นางกดเก็บรอยยิ้มในแววตาไม่อยู่แล้ว “ไม่ได้พบกันหลายปี เมิ่งเอ๋อร์หล่อเหลากว่าในอดีตหลายเท่าตัวเลยนะ!”

สวี่ซื่อพลันหัวเราะออกมาด้วยความสุขใจ “ท่านพี่ล้อเล่นแล้ว เขาไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลยต่างหาก!”

ฝ่ายฮูหยินเจิ้งรับคำ “หากจะบอกว่าไม่เปลี่ยน เสวี่ยเอ๋อร์ของข้าก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังเหมือนกับเมื่อก่อนไม่มีผิดเพี้ยน เอาแต่คะนึงหาพี่หนาน วันนี้ข้าแอบนางมาที่นี่ เพราะหากบอกให้นางรู้เข้าจะต้องขอร้องตามมาด้วยแน่”

“ท่านพี่ก็จริงๆ เลย เสวี่ยเอ๋อร์อยากมาก็พานางมาด้วยเถอะ” สวี่ซื่อยิ้มกล่าว

ฮูหยินเจิ้งโบกมือ “ทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน หากคนนอกรู้เข้าจะต้องนำไปนินทาแน่”

ถึงแม้เมิ่งหนานจะเป็นคนโง่ แต่คราวนี้เขาก็รู้แล้วว่าท่านแม่เรียกเขามาทำอะไร

สกุลเมิ่งกับสกุลเจิ้งมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเสมอมา ทั้งยังเป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่มีอำนาจในเมืองหลวงเช่นเดียวกัน แม้ในอดีตสกุลเจิ้งจะมีศักยภาพด้อยกว่าสกุลเมิ่ง แต่หลายปีมานี้อำนาจของสกุลเจิ้งก็เพิ่มสูงขึ้น บิดาและมารดาของเมิ่งหนานจึงคิดจะให้เขาเกี่ยวดองกับสกุลเจิ้งตั้งนานแล้ว หากเขาไม่ได้จากเมืองหลวงไปสองปี งานมงคลนี้ก็คงเกิดขึ้นเร็วกว่านี้แน่

เขาเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง ฮูหยินเจิ้งก็มาหาถึงที่ ดูท่าพวกนางจะร้อนใจมากทีเดียว และเห็นทีจะเป็นจริงดังนั้น เพราะเมื่อสองปีก่อนบุตรีหัวแก้วหัวแหวนของสกุลเจิ้งก็อายุสิบห้าปีแล้ว ปีนี้อายุสิบเจ็ดปีเต็ม ไม่ร้อนใจคงจะแปลกน่าดู

……….

ตอนที่ 400 สองสกุลเกี่ยวดอง

น่าเสียดายนัก เขาเมิ่งหนานไม่รู้สึกสนใจสตรีผู้อ่อนช้อยเช่นนั้นหรอก

“ไม่ทราบว่าท่านแม่อยากพบลูกด้วยเรื่องใดหรือ” เมิ่งหนานถามสวี่ซื่อ

สวี่ซื่อยิ้มจางๆ “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ท่านป้าสะใภ้เจิ้งมา ข้าก็เลยให้เจ้ามาพบปะนางสักหน่อยเท่านั้นเอง”

เมิ่งหนานพยักหน้า ก่อนจะกล่าวกับฮูหยินเจิ้งด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีเป็นข้าที่ควรไปเยี่ยนเยียนท่านถึงที่ เสียมารยาทแล้วขอรับ!”

ฮูหยินเจิ้งพลันหัวเราะ “เจ้ายังคิดถึงข้าก็พอแล้ว พวกข้าไม่สนใจเรื่องพรรค์นั้นหรอก”

หลังจากเมิ่งหนานพูดคุยอยู่กับพวกนางครู่หนึ่งแล้ว เขาก็หาข้ออ้างขอตัวออกไปก่อน

ทว่าเท้าของเขาเพิ่งจะก้าวพ้นประตูเรือนฝูโซ่ว สวี่ซื่อก็ตามเขาออกมา

“หนานเอ๋อร์ เดี๋ยวก่อน”

เมิ่งหนานหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันกายกลับไป เขาถามผู้เป็นมารดาว่า “ท่านแม่ ยังมีธุระอื่นอีกหรือ”

สวี่ซื่อก็ไม่อยากอ้อมค้อมเท่าไรนัก จึงเอ่ยปากพูดออกไปตามตรง “ที่ท่านป้าสะใภ้เจิ้งของเจ้ามาในวันนี้ ก็เพราะเรื่องงานมงคลของเจ้ากับเสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ามีความเห็นอะไรหรือไม่”

“ข้าไม่เห็นด้วยขอรับ” เมิ่งหนานกล่าว

ผู้เป็นมารดาพลันชะงักงัน “เจ้าว่าอะไรนะ”

เมิ่งหนานพูดซ้ำอีกครั้งว่า “ท่านถามว่าข้ามีความเห็นอะไรหรือไม่ และข้าบอกว่าข้าไม่เห็นด้วยขอรับ”

“พะ เพราะเหตุใดกัน ก่อนหน้านี้เจ้าก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ เสวี่ยเอ๋อร์เองก็อยากแต่งให้เจ้าเสมอมา เรื่องนี้เจ้าก็รู้มาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ข้าไม่เห็นเจ้าเคยบอกว่าไม่เห็นด้วยเลย!”

เรียวคิ้วคมกริบดุจใบมีดของเมิ่งหนานขมวดมุ่นเข้าหากัน เขาถอนใจกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าไม่เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับเจิ้งหรูเสวี่ย เป็นนางต่างหากที่เกาะติดข้า ข้าเห็นแก่หน้าของสกุลเจิ้ง จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา อีกอย่าง ก่อนหน้านี้พวกท่านก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้ามาก่อน ข้าย่อมไม่มีโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็น และข้าคงจะยอมรับโดยดุษณีไม่ได้หรอกขอรับ”

สวี่ซื่อร้อนใจอยู่บ้าง “หนานเอ๋อร์ เจ้าพูดเช่นนั้นไม่ได้นะ แม้จะไม่เคยพูดเรื่องนี้ต่อหน้า แต่ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ ตอนนี้เจ้ามาบอกว่าไม่เห็นด้วย ไม่เท่ากับเป็นการทำให้ฝ่ายหญิงเสียเรื่องหรอกหรือ”

เมิ่งหนานโบกมือ “ท่านแม่ ข้าไม่ขอรับผิดข้อหาทำให้ฝ่ายหญิงเสียเรื่องขอรับ เพราะข้าไม่เคยพูดหรือทำเรื่องเกินเลยกับนางเลย ย่อมไม่มีหน้าที่ต้องไปรับผิดชอบนาง ที่สำคัญที่สุดก็คือข้าไม่ได้ชอบพอนางเช่นนั้น การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ หากข้าแต่งกับสตรีที่ข้าไม่ได้รัก นั่นนับว่าเป็นความทรมานอย่างหนึ่งของข้า กับนางเองก็คงไม่แตกต่างกัน ข้าจึงหวังว่าท่านแม่จะพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งขอรับ!”

เขาเป็นคุณชายของสกุลเมิ่ง เมื่อก่อนเขาคิดว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของตนเองได้ และเขาเองก็ไม่เคยโต้เถียงเช่นกัน เพราะเขาไม่เคยแยแสเรื่องนี้มาก่อนเลย

เรื่องแต่งภรรยาและมีบุตร สำหรับเขาแล้วเป็นการเติมเต็มหน้าที่หนึ่งของคุณชายสกุลเมิ่งในสายตาของคนอื่น

เท่านั้นเอง…

ทว่าวันนี้ เขาต้องการใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับคนที่ตนเองรัก

เมิ่งหนานพูดจบก็หมุนกายจากไป ทิ้งให้สวี่ซื่อตะลึงลานอยู่เพียงลำพัง ตั้งแต่บุตรชายของตนกลับมาจากเมืองชิงหยวน เขาก็เปลี่ยนไปมากทีเดียว กลายเป็นคนที่เงียบขรึม และไม่สามารถอ่านความคิดของเขาได้เหมือนเมื่อก่อน

ตอนนี้จะทำอย่างไรดี ฮูหยินเจิ้งกำลังรอคำตอบของนางอยู่ในโถงรับรอง แล้วนางจะอธิบายกับอีกฝ่ายเช่นไร

หากไม่สนใจความสมัครใจของเมิ่งหนาน บีบบังคับให้เขาแต่งงานกับสกุลเจิ้ง เมื่อถึงเวลาที่ลูกสะใภ้ย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่เขากลับไม่พบหน้านาง เช่นนั้นแล้วความปรารถนาจะได้อุ้มหลานชายไม่เท่ากับจบสิ้นเลยหรือ

ทว่าหากทำตามใจเขาแล้ว ทางฝั่งสกุลเจิ้งจะว่าอย่างไร จะไม่ถึงกับผูกพยาบาทกันเลยหรือไร

สวี่ซื่อลังเลใจอยู่ข้างนอกลานอยู่นาน ในที่สุดนางก็กลับไปที่โถงรับรอง บอกเพียงเมิ่งหนานเดินเร็วนัก นางตามเขาไปตั้งนานแต่ก็ยังไม่ทัน

ฮูหยินเจิ้งเป็นคนฉลาด เพียงแค่นางเห็นสีหน้าของสวี่ซื่อ ไปจนถึงที่อีกฝ่ายไม่พูดถึงงานมงคลของทั้งสองสกุลอีก นางก็พอจะรู้อยู่บ้างแล้ว จึงอึดอัดใจจนดื่มชาไม่ลง ก่อนจะจากไปพร้อมสีหน้าดำคล้ำ