บทที่ 180: เครื่องวัดอุณหภูมิมนุษย์
เมื่อถึงช่วงเที่ยงคืน ในที่สุดโรเอลก็ตื่นจากความฝัน
เด็กชายยังคงมึนงงเล็กน้อยในตอนที่เพิ่งได้สติกลับมา เขารู้สึกว่าร่างกายของตนเองทั้งหนักและเย็นมาก ผลจากการฟื้นคืนชีพอันเดธทำให้ประสาทสัมผัสของโรเอลถูกปิดลง ดังนั้นความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดจึงถูกทำให้ไร้ผล กลับกันแล้วมันก็ส่งผลให้ร่างกายของเขาชาไปทั้งตัวด้วยเช่นกัน
แม้ว่าความรู้สึกของโรเอลจะชา แต่ก็ยังพอจะรู้สึกได้บ้าง
ทุกครั้งที่โรเอลรู้สึกว่ากำลังถูกความเย็นกัดกินให้ร่วงหล่นเข้าสู่การจำศีลชั่วนิรันดร์ จู่ ๆ เด็กชายก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นอันแผ่วเบาที่ริมฝีปาก กลิ่นหอมที่ตามมาด้วยพลังเวทอันอบอุ่นจะไหลผ่านร่างกายของเขา ระงับความหนาวเย็นนั้น
สิ่งนี้เกิดขึ้นราว ๆ สิบครั้งนับตั้งแต่ที่โรเอลหมดสติ และในทุก ๆ ครั้งที่มันเกิดขึ้นเขาก็จะผล็อยหลับลงไปอีกครั้ง ร่างกายของเขาใช้เวลาไม่นานนักในการจดจำความรู้สึกนี้ ทำให้ร่างกายของเขาปรับตัวเข้ากับพลังเวทที่ไหลเข้ามาสงบความเย็นที่กำลังกัดกร่อน
โรเอลไม่รู้เลยว่าเขากำลังค่อย ๆ ถูกประทับตราความเป็นเจ้าของด้วยวิธีนี้
อย่างไรก็ตามมันถือเป็นการประทับตราทั้งสองทาง แม้ว่าโรเอลจะอยู่ในสภาพที่กำลังหมดสติ แต่ ‘การให้ความร่วมมือ’ ของเขา ก็กลายเป็นแรงกระตุ้นอันท่วมท้นให้กับชาร์ล็อต ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์และความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
หลังจากที่ได้สัมผัสความรู้สึกนุ่มนวลอันคลุมเครือบนริมฝีปาก ในที่สุดความเย็นที่คอยกัดกินร่างกายของโรเอลก็เริ่มบรรเทาลง จนเพียงพอที่จะทำให้เขากลับมาได้สติอีกครั้ง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เด็กชายลืมตาตื่นขึ้นมา นับตั้งแต่กลับมาจากสถานะผู้เฝ้ามอง โรเอลพบว่าตนเองกำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาว…
… หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ท้องฟ้าจำลองที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ดวงดาวทั้งหมดแท้จริงแล้วเป็นเพียงอัญมณีอันงดงามที่ส่องประกายออกมาเป็นสีต่าง ๆ มากมาย มีตั้งแต่คริสตัลสีขาว ซึ่งเป็นที่นิยมใช้ประดับในชุดทางการต่าง ๆ ไปจนถึงแร่อเมทิสต์ ที่มีค่ามากกว่าทองคำ พวกมันหลายชิ้นถูกฝังไว้บนเพดาน ราวกับเป็นดวงดาวบนท้องฟ้าจริง ๆ
ภายใต้แสงระยิบระยับอันสวยงามของหมู่ดาว โรเอลรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาได้รับพรจากสวรรค์ บางทีนี่อาจเป็นหนึ่งในวิชาลับของตระกูลโซโรฟยา
“สวยจริง ๆ ”
โรเอลพึมพำออกมาอย่างสะลึมสะลือ
อีกด้านหนึ่งของห้องชาร์ล็อตผู้กำลังดื่มชาเพื่อสงบสติอารมณ์หลังจากที่ทำการรักษา ทันทีที่เธอได้ยินเสียงของโรเอล เด็กสาวก็หันศีรษะไปมองเขาด้วยความกังวล
“ในที่สุดเจ้าก็ได้สติแล้วสินะ โรเอล!”
ชาร์ล็อตรีบวิ่งไปที่เตียงและจับมือของโรเอลอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอมีหยาดน้ำตาจากความสับสนไหลลงมา กลับกันแล้ว โรเอลมองสำรวจประเมินชาร์ล็อตครู่หนึ่ง ซึ่งผลลัพธ์ก็ทำให้เขาโล่งใจที่ได้เห็นว่าเธอยังสบายดี
“เธอปลอดภัยดีใช่ไหม?”
โรเอลถาม
“ข้าสบายดี คนที่บาดเจ็บมันเจ้าต่างหากล่ะ”
ชาร์ล็อตตอบ
เสียงของเด็กสาวแหบแห้งราวกับว่ามีอะไรติดอยู่ที่คอ เหมือนว่ากำลังจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ เมื่อเห็นสิ่งนี้ โรเอลก็โบกมืออย่างรวดเร็ว เพื่อปลอบโยนเธอ
“อย่ากังวลไปน่า มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก อาการของฉันไม่ได้รุนแรงอย่างที่เธอเห็น”
โรเอลกะพริบตา พลางครุ่นคิดถึงความรู้สึกที่ตนเองได้รับระหว่างหมดสติ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามชาร์ล็อต
“ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตารึเปล่า แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรมาสัมผัสปากฉันตอนที่กำลังหลับ”
“หืม?”
คำพูดของโรเอลทำให้ชาร์ล็อตนิ่งไปในทันที ภายใต้แสงระยิบระยับของอัญมณีบนเพดานห้อง ใบหน้าของเด็กสาวเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว แต่ครู่ต่อมาเธอก็ดึงสติตัวเองกลับมาสำรวมตามปกติ
“ม…มันเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิน่ะ! ข้าวัดอุณหภูมิของเจ้าไง!”
“อ่า ฉันเข้าใจ…มิน่าล่ะ”
ความคิดของโรเอลยังคงสับสนเล็กน้อยจากการนอนมานานเกินไป ดังนั้นเขาจึงยอมรับคำอธิบายของชาร์ล็อตอย่างว่าง่ายด้วยการพยักหน้า เครื่องวัดอุณหภูมิบนโลกนี้ทำงานด้วยการเสียบเข้าไปในปาก ซึ่งโรเอลก็เคยใช้มาก่อนในแผนการของแอนนา มันจึงฟังดูสมเหตุสมผลที่ชาร์ล็อตจะวัดอุณหภูมิของเขาในตอนที่กำลังหมดสติ
“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะ ด้วยความเย็นที่ฉันปล่อยออกมา ฉันคงทำให้เครื่องวัดอุณหภูมิพังไปหลายอัน”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก… มันอุ่นจนน่าประหลาดเลยล่ะ”
ชาร์ล็อตที่อ้างว่าเป็น ‘เครื่องวัดอุณหภูมิ’ อยู่ก่อนหน้านี้ตอบ
ชั่วครู่ที่สายตาของชาร์ล็อตจ้องไปยังริมฝีปากของโรเอลหัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาในทันที เด็กสาวจึงหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว โชคดีที่โรเอลยังคงมึนงงเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เด็กชายหันไปมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสับสน
ทิวทัศน์ด้านนอก กำลังเคลื่อนไหว… ขบวนรถม้านี้เคลื่อนที่อยู่งั้นเหรอ?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“ชาร์ล็อต ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดหรอกเหรอ? นี่พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกัน?”
“พ..พวกเรากำลังจะไป… ไปดูดาว! ใช่พวกเรากำลังจะออกไปดูดาวน่ะ!”
“หา?”
คำถามอันไร้เดียงสาของโรเอล ทำให้ชาร์ล็อตรู้สึกผิดสุดใจ แต่ในเมื่อมันมาถึงจุดนี้แล้วเธอก็ไม่มีคิดที่จะถอย
“ตอนนี้สภาพร่างกายของเจ้าแย่มาก เจ้าควรจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เพื่อให้ได้รับการพักผ่อนอย่างเหมาะสม เนื่องจากที่เขตการปกครองแอสคาร์ดมีเรื่องให้เจ้าต้องคอยพะว้าพะวงมากมาย ข้าเลยตัดสินใจพาเจ้าออกมา”
“อ่า เข้าใจแล้ว… แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน”
แม้จะงุนงงเล็กน้อย แต่โรเอลก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม จากที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันกับชาร์ล็อตทำให้เขาลดความระมัดระวังที่มีต่อเธอลง โรเอลเชื่อว่าชาร์ล็อตไม่มีทางที่จะโกหกเขา และเธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนั้นด้วยเช่นกัน
ชาร์ล็อตเป็นถึงนายหญิงตัวแทนของตระกูลโซโรฟยา ‘ไข่มุกแห่งโรซ่า’ ผู้มีชื่อเสียง ความมั่งคั่งที่เธอมีนั้นเหนือกว่าเขตการปกครองแอสคาร์ดหลายขุม ด้วยมุมมองดังกล่าว ไม่มีเหตุผลเลยที่ชาร์ล็อตจะต้องมาหลอกเขา ทำแบบนั้นแล้วเธอจะไปได้ประโยชน์อะไร?
พวกเราก็แค่เดินทางออกจากเขตการปกครองเท่านั้นเอง ใช่ว่าชาร์ล็อตกำลังลักพาตัวเราซะที่ไหนล่ะ
ความคิดดังกล่าวดังอยู่ในใจโรเอล ทำให้เขาเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลายเป็นการสละโอกาสสุดท้ายที่จะลงจากรถม้าไปโดยปริยาย
“ไปนอนได้แล้วที่รัก ข้าจะจัดการทุกอย่าง เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก…”
ภายใต้การกล่อมด้วยความรักของชาร์ล็อต โรเอลจึงได้เผลอหลับลงไปอีกครั้ง ระหว่างมองดูเด็กชายผมดำที่กำลังหลับใหล เด็กสาวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะจูบหน้าผากเขาเบา ๆ
“ราตรีสวัสดิ์ที่รัก”
…
“นายหญิงแน่ใจแล้วเหรอคะว่าจะทำแบบนี้?”
ภายนอกห้อง เกรซได้ถามชาร์ล็อตด้วยความเป็นห่วง สาวใช้ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมจู่ ๆ เจ้านายของตนถึงได้ทำอะไรแบบนี้
เมื่อคืนก่อน ในตอนที่ทั้งสองหายตัวไป เกรซมั่นใจว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงชาร์ล็อตก็ไม่มีทางลักพาตัวโรเอลไปไหนได้ ทว่าผ่านไปเพียงคืนเดียว สาวใช้ก็ต้องกลืนคำพูดของตนลงไปในลำคอ
แม้ว่านี่จะเป็นการลักพาตัวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในบริบททางการมันก็ยังเป็นเพียง ‘การรับประทานอาหารเย็นกลางแจ้งระหว่างรับชมทิวทัศน์อันสวยงามของเขตการปกครองแอสคาร์ด’ พวกเขาออกเดินทางในช่วงเวลาที่ค่อนข้างดึก ดังนั้นมันจึงดูไม่แปลกอะไรที่คนส่วนมากจะคิดว่าพวกเขา จะต้องกลับมาในเช้าวันรุ่งขึ้น
จนถึงตอนนี้ตระกูลแอสคาร์ดยังไม่สังเกตเห็นอะไรผิดปกติ ดังนั้นมันยังไม่สายเกินไปที่พวกเขาจะหันหลังกลับ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปกปิดความจริงเกี่ยวกับอาการของโรเอล แต่ทุกคนต่างก็ปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดีด้วยทรัพยากรที่ดีที่สุดที่ตระกูลโซโรฟยามี ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ทว่าหากพวกเขายังคงเดินทางกลับไปยังเมืองโรซ่าแบบนี้ สิ่งต่าง ๆ จะต้องซับซ้อนขึ้นจริง ๆ แน่ มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่ตระกูลแอสคาร์ดจะสังเกตเห็นว่ามีอะไรผิดปกติกับแขกของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น หากมีการเปิดเผยว่าโรเอลหมดสติไปในช่วงเวลานี้ มันก็จะกลายเป็นหลักฐานชิ้นใหญ่ว่าชาร์ล็อตได้ทำการลักพาตัวขุนนาง
แม้ว่ามันจะฟังดูน่าหัวเราะ หญิงสาวจะทำการลักพาตัวคู่หมั้นของเธอ แต่โรเอลนั้นมีฐานะเป็นถึงตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครองแอสคาร์ด ฉะนั้นหากมองจากมุมมองทางการเมืองแล้วล่ะก็ มันถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว
น่าเสียดายที่ชาร์ล็อตไม่ได้กังวลเท่ากับเกรซ เธอไม่ได้คิดที่จะทำแบบนี้ภายในเวลาอันเร่งด่วน อันที่จริงเด็กสาวได้คิดถึงแผนการนี้อย่างใจเย็น และผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว
“เราต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ออกจากจักรวรรดิเซนต์เมซิทให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้ ข้าอาจจะไม่ได้พบกับโรเอลอีก!”
ชาร์ล็อตกำมือที่สั่นเทาไว้ข้างกาย ด้วยแววตาอันมั่นคง
ก่อนหน้านี้เด็กสาวเคยคิดที่จะส่งโรเอลกลับไปยังคฤหาสน์เพื่อทำการรักษา และอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้ตระกูลแอสคาร์ดเข้าใจ แต่ในไม่ช้าเธอก็ตระหนักได้ถึงช่องโหว่ขนาดใหญ่ นั่นก็คือทัศนคติที่ตระกูลแอสคาร์ดมีต่อเธอ
จากข้อมูลที่เธอรวบรวมมาจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่ามาร์ควิสคาร์เตอร์ พ่อของโรเอลจะไม่สนับสนุนการแต่งงานของพวกเขา
การที่ชาร์ล็อตและเกรซถูกหลอกลวงทันทีที่พวกเธอไปถึงคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญสำหรับเรื่องนั้น แม้ว่าน้องสาวบุญธรรมของโรเอลและองค์หญิงของจักรวรรดิเซนต์เมซิทจะชี้แจงมาในภายหลังว่ามันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าพวกเขาสามารถดำเนินแผนการทั้งหมดนี้ที่เกี่ยวข้องกับคนรับใช้มากมายในคฤหาสน์ โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากผู้นำตระกูล
สภาพร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส เดินโซเซไปนับครั้งไม่ถ้วน และยังคงหมดสติเกือบตลอดเวลาของโรเอล จะต้องถูกรายงานให้คาร์เตอร์ทราบอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากคำขอของชาร์ล็อต ทำให้ตระกูลโซโรฟยาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็พอจะเดาได้ว่าคาร์เตอร์จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้
การทำให้ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวต้องตกอยู่ในอันตราย เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ได้พบกันครั้งแรก ถือเป็นเหตุผลที่เพียงพอสำหรับตระกูลแอสคาร์ดที่จะเพิกถอนการหมั้นหมายออกฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องสนใจตัวแปรอื่นใด นอกจากนี้ แม้ว่าคาร์เตอร์จะไม่เคลื่อนไหว องค์หญิงของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ที่เป็นผู้พิทักษ์ของโรเอล ก็คงจะเป็นฝ่ายขอถอนสัญญาหมั้นลง ในนามของตระกูลเซไซต์
ด้วยเหตุนี้จนกว่าโรเอลจะขึ้นครองตำแหน่งผู้นำตระกูลแอสคาร์ด ตระกูลโซโรฟยาก็จะต้องถูกจัดให้อยู่ในบัญชีดำของตระกูลแอสคาร์ด ทำให้ชาร์ล็อตไม่อาจพบคนรักของเธอได้อีกเป็นครั้งที่สอง เรียกได้ว่าแม้แต่การเข้าสู่เขตการปกครองแอสคาร์ดก็จะกลายเป็นเรื่องลำบาก
ก่อนหน้านี้ นี่ควรจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับชาร์ล็อต แต่หลังจากที่เธอได้ผ่านพ้นอุปสรรคมากมายร่วมกันกับโรเอล ชาร์ล็อตผู้หลงใหลในความรักก็ได้แต่คร่ำครวญถึงความรักอันหนักหน่วงของตน
ราวกับว่าทุก ๆ กองกำลังบนโลกนี้ พยายามจะทำลายการหมั้นหมายของเธอกับโรเอล ระดับที่ว่าก้าวที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้มันมาถึงจุดจบได้
แน่นอน ถ้าหากโรเอลเต็มใจที่จะพรากจากบิดา องค์หญิงนอร่า น้องสาวบุญธรรม และคนอื่น ๆ เพื่อเลือกเธอ ทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ปัญหาก็คือ… มันเป็นไปได้งั้นเหรอ?
ชาร์ล็อตส่ายหัว
ไม่มีทาง
จากประสบการณ์ที่พวกเขาได้ใช้ร่วมกัน แม้ว่ามันจะสั้น แต่การเสี่ยงชีวิตไปด้วยกัน ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชาร์ล็อตรู้ว่าโรเอลเป็นคนแบบไหน เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะละทิ้งเพื่อนและครอบครัวของเขาไปได้ง่าย ๆ แน่
ยิ่งไปกว่านั้น ชาร์ล็อตก็รู้ตัวดีว่าตัวเองยังไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของโรเอล แม้จะผ่านสถานะผู้เฝ้ามองมาด้วยกัน แต่มันเหมือนกับว่าชาร์ล็อตเป็นฝ่ายที่ติดหนี้โรเอลเสียมากกว่า
ตอนนี้สิ่งเดียวที่ชาร์ล็อตสามารถเสนอให้โรเอลได้มีเพียงแค่เงิน แต่เงินจะไปมีประโยชน์อะไร? โรเอลจะไปสนใจอะไรมัน?
ท้ายที่สุดชาร์ล็อตก็ทำได้เพียงแค่หรี่ตาลง ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาทั้งสองประเด็นพร้อม ๆ กัน
ระหว่างที่พวกเรากำลังหนีออกจากจักรวรรดิเซนต์เมซิท ข้าจะต้องทำให้แน่ใจว่าเขาตกเป็นของข้า!