บทที่ 154 การอภิเษกสมรสของอิ๋งซื่อ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ต้นฤดูใบไม้ร่วง บัดนี้สายลมของหล่งซีเริ่มที่จะบาดผิวอีกครั้ง

อิ๋งซื่อยุ่งติดต่อกันหลายวัน ในที่สุดก็ก็มีเวลาได้พักครู่หนึ่ง เขาวางกาสุราร้อนในศาลา ชื่นชมระลอกคลื่นของเทือกเขาและทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ไพศาลของต้าฉินอันหาที่เปรียบมิได้ นี่คือหนึ่งในงานอดิเรกไม่กี่อย่างของเขาในยามว่าง

ลมที่โหมกระหน่ำพัดจนแก้มชา อิ๋งซื่อในชุดดำกำลังยืนอยู่ข้างราว ดุจต้นสนสูงตระหง่านผู้เดียวดาย

อู่ซานรีบรุดเข้าไป ยืนอยู่ด้านนอกศาลา ครั้นเห็นแผ่นหลังที่ตั้งตรงอยู่เสมอ ต้องการจะเอ่ยวาจาแต่ก็เกรงว่าจะรบกวนความสงบนิ่งที่หาได้ยากยิ่งของเขา

หยุดอยู่ครู่หนึ่ง อู่ซานค้อมตัวเอ่ย “ฝ่าบาท ราชทูตรัฐเว่ยมาแล้วพะย่ะค่ะ”

“อืม” อิ๋งซื่อวางจอกสุราลง หมุนตัวโอบกระชับเสื้อคลุมบนตัว

อู่ซานทูลรายงานต่อ “ใต้เท้าจิ่งเจียนกล่าวว่า ท่านราชทูตเพิ่งจะมาถึงเสียนหยาง ได้โปรดทรงรับสั่งว่าให้เข้าเฝ้าได้เมื่อใด”

“ปล่อยข่าวออกไปก่อน” น้ำเสียงเย็นเยียบของอิ๋งซื่อลอยอยู่ในอากาศอันหนาวเหน็บ ไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง

ความสัมพันธ์ระหว่างฉินเว่ยนั้นไม่เคยคลี่คลาย ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองรัฐไม่เคยปรองดองกัน จู่ๆ ราชทูตก็มาในขณะที่กองกำลังทั้งหมดในอาณาจักรฉินกำลังจะเคลื่อนย้าย ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนทุกระดับในต้าฉินระวังตัว

“ราชทูตคือผู้ใด?” อิ๋งซื่อพลางเดินลงบันได พลางเอ่ยถาม

“ว่ากันว่าเป็นไว่เซียง[1]ที่เพิ่งได้รับมอบหมายจากรัฐเว่ย ฮุ่ยจื่อ” อู่ซานตอบ

ฮุ่ยจื่อก็คือฮุ่ยซือ สำหรับอิ๋งซื่อแล้วก็เพียงเคยได้ยินชื่อเท่านั้น ทว่าหากซ่งชูอีอยู่ที่นี่จะต้องสามารถอธิบายรายละเอียดด้านบุคลิกภาพ ความคิดเห็น ความชอบและไม่ชอบทั้งหมดของเขาได้อย่างแน่นอน

ฮุ่ยซือเป็นสหายคนสนิทของจวงจื่อ แม้ว่าจะมีชื่อเสียงในหลายรัฐเหมือนจวงจื่อ ทว่าภาพลักษณ์มิได้เป็นอิสระและโดดเด่นเท่าจวงจื่อเลย ผู้คนมักจะนับเขาเป็นประเภทเดียวกันกับเมิ่งจื่อ อย่างไรก็ตามชื่อเสียงด้านคุณธรรมของเมิ่งจื่อนั้นดีกว่าของเขามากโข จนไม่มีใครสนใจเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว

หลายปีมานี้รัฐเว่ยต่างโหยหาผู้มีความสามารถ หนึ่งในนั้นคือบัณฑิตเถียนซวีผู้มีความรู้สูงส่งที่ได้รับมอบหมายงานสำคัญจากเว่ยอ๋อง อีกทั้งเถียนซวีผู้นี้ยังเป็นสหายที่ดีต่อฮุ่ยซืออีกด้วย เนื่องจากมิตรภาพจึงแนะนำกันอย่างจริงจัง เว่ยอ๋องจึงให้ความสนใจกับเรื่องนี้และส่งคนไปเชิญฮุ่ยซือมาเป็นพิเศษ หลังจากที่ได้พบกับเขาแล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปตามที่เถียนซวีกล่าวไว้ คือเป็นบุรุษที่มิได้เล่าเรียนน้อยไปกว่าเมิ่งและจ้วงเลย เพียงแค่สิ่งที่ต่างกันก็คือ แนวคิดของสำนักอันมีชื่อเสียงของฮุ่ยซือเป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติมาก ทั้งยังใช้ประโยชน์ได้มากกว่าลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋าเสียอีก เว่ยอ๋องยินดียิ่ง จึงเอ่ยปากแต่งตั้งตำแหน่ง “ไว่เซียง” แล้ว

คำว่า “ไว่เซียง” นั้นมีความหมายตามชื่อของมัน แม้จะมีระดับเทียบเท่ามหาเสนาบดีและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน ทว่าต่างกันเพียงคำว่า “หลี่” (ภายใน) และ “ไว่” (ภายนอก) ที่เห็นได้อย่างชัดเจนเท่านั้น

อิ๋งซื่อได้รับข่าวว่าฮุ่ยซือได้รับตำแหน่งเป็นไว่เซียงในรัฐเว่ยนานแล้ว ทว่ามันก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาเช่นกันที่ฮุ่ยซือถูกส่งตัวมาเป็นราชทูตที่รัฐฉินเร็วปานนี้

อู่ซานเห็นว่าอิ๋งซื่อราวกับว่าออกมาจากภวังค์แล้ว จึงเอ่ยขึ้นด้วยความระมัดระวัง “ได้ยินว่าฮุ่ยจื่อเป็นชาวซ่ง อีกทั้งยังเป็นสหายคนสนิทของจวงจื่อ ไม่แน่ว่าอาจจะสนิทกับท่านหวยจินด้วยพะย่ะค่ะ”

เดิมทีเพียงกล่าวไปส่งเดชเท่านั้น ไม่รู้ว่ามันเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ อิ๋งซื่อก็รู้สึกว่ามันเป็นไปได้มาก คิ้วยาวๆ ขมวดกันเล็กน้อย ตอบรับว่า “อืม” เสียงหนึ่งอย่างคลุมเครือ

อิ๋งซื่อเป็นคนพูดน้อยมาก อู่ซานได้รับคำตอบรับแผ่วเบาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็เข้าใจนิสัยของอิ๋งซื่อ รู้ว่าควรจะหยุดเมื่อใดจึงมิได้กล่าวอันใดต่อ ค้อมตัวตามอิ๋งซื่อกลับไปยังหออักษร

“เรียกจิ่งเจียนเข้ามา” หลังจากอิ๋งซื่อนั่งลงแล้วก็เอ่ยขึ้น

“พะย่ะค่ะ” อู่ซานรับคำสั่งออกไป

อิ๋งซื่ออ่านสมุดไผ่ไปได้ครึ่งหนึ่งก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าจิ่งเจียนมาแล้ว

“ถวายบังคมฝ่าบาท” จิ่งเจียนคำนับเอ่ย

“นั่ง” อิ๋งซื่อโยนสมุดไผ่ในมือไปอีกทาง มองดูเขานั่งคุกเข่าลง จากนั้นก็เอ่ยถาม “ฮุ่ยจื่อเป็นราชทูตมายังรัฐฉินด้วยเรื่องใด?”

จิ่งเจียนยังคงมือความลับบางอย่างอยู่ในมือ

นับตั้งแต่เซี่ยวกงเสด็จสวรรคต ตำแหน่งของจิ่งเจียนนั้นกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก เพียงแต่อิ๋งซื่อมิได้พึ่งพาเขามากเท่าเซี่ยวกง ทว่ากลับยังคงไว้ซึ่งความไว้วางใจและยังมอบหมายงานให้ในระดับหนึ่ง หนึ่งในเหตุผลหลักก็คือนอกเหนือจากการเรียกใช้ของจวินองค์ก่อนแล้วเขาก็มิได้มีอำนาจใดๆ เบื้องหลัง

อิ๋งซื่อเห็นว่าจิ่งเจียนลังเลเล็กน้อยก็ไม่รบเร้า ยกถ้วยชาขึ้นมาจรดปากดื่ม

จิ่งเจียนก็นับว่าเห็นอิ๋งซื่อเติบใหญ่ จึงค่อนข้างเข้าใจนิสัยของเขา รู้ว่าไม่สามารถยืดเยื้อเวลาต่อไปได้จึงเอ่ยว่า “เพื่องานมงคลของฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”

“ฮึ?” อิ๋งซื่อพ่นลมออกทางจมูกแผ่วเบา พิงที่พักแขนและปรับท่านั่งให้สบาย

“เว่ยอ๋องมีพระธิดาองค์หนึ่ง อายุเพิ่งครบสิบหก รูปโฉมงดงาม โสภาเปี่ยมคุณธรรม” จิ่งเจียนมองอิ๋งซื่อปราดหนี่ง “เว่ยปรารถนาที่จะเป็นทองแผ่นเดียวกันกับฉินพะย่ะค่ะ”

เงียนงันเนิ่นนาน

จิ่งเจียนครุ่นคิดครั้งแล้วครั้งเล่า เอ่ยถาม “ฝ่าบาทมีความเห็นเยี่ยงไร?”

“จิ่งเจียนเห็นเยี่ยงไรเล่า?” อิ๋งซื่อเอ่ยถาม

“กระหม่อมคิดว่าไม่เป็นปัญหา” จิ่งเจียนตอบอย่างเรียบง่าย

อิ๋งซื่อเอนตัวไปด้านข้างเล็กน้อย ยกมือขึ้นหนุนศีรษะ “ไหนลองว่ามา”

ท่าทางเช่นนี้ทำให้จิ่งเจียนรู้สึกว่าเขาแทบมิได้สนใจเรื่องงานมงคลนั่นเลย เพียงแต่พูดถึงมันราวกับมันเป็นกิจการของรัฐเรื่องหนึ่งเท่านั้น “บัดนี้ต้าฉินดูเหมือนจะสงบนิ่ง ทว่าความจริงเป็นเยี่ยงไรนั้น กระหม่อมมิจำเป็นต้องลงรายละเอียด หากครานี้สามารถบรรลุฉันทามติกับรัฐเว่ยที่จะไม่รุกรานต่อกันได้ แม้กระทั่งสามถึงห้าปีก็เพียงพอแล้ว”

“สามถึงห้าปี เฮอะ จิ่งเจียนท่านประเมินค่าของสตรีนางหนึ่งสูงเกินไปแล้ว” อิ๋งซื่อเอ่ยเรียบๆ

จิ่งเจียนรู้ว่าอิ๋งซื่อกล่าวความจริง พลันคิดในใจว่า แม้กระทั่งหนึ่งปีครึ่งก็เป็นประโยชน์

“ออกไปเถิด” อิ๋งซื่อหลับตา

“พะย่ะค่ะ” จิ่งเจียนลุกขึ้น ค้อมตัวแล้วถอยออกไปจากหออักษร

ด้านนอกแสงจันทราส่องกระจ่าง มันเป็นเหมือนม่านชั้นบางๆ ที่ปกคลุมทั้งหล่งซีด้วยความซีดเซียวและความหนาวเหน็บ แสงจันทร์สะท้อนให้เห็นความหดหู่บนใบหน้าขาวซีดของจิ่งเจียนเล็กน้อย ชีวิตของเขาได้ดำเนินมาถึงจุดจบแล้ว แม้นชีวิตยังไม่สิ้นสุด ทว่าหลังจากที่เซี่ยวกงและซางจวินจากไปทีละคน ความหลงใหลของเขาก็ถูกเผาไหม้จนหมดแล้ว

กาลเวลาผ่านคนเปลี่ยน ทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่ง

จิ่งเจียนถอนหายใจแผ่วเบา กลุ่มหมอกนั้นถูกลมพัดหายไปทันใด ยุคของเซี่ยวกงและซางจวินไกลออกไปทุกที บัดนี้ยุคของอิ๋งซื่อมาถึงแล้ว เช่นนี้ก็มีชีวิตอยู่ต่อไปเถิด ช่วยเป็นสักขีพยานให้พวกเขาในยุคที่ต้าฉินใช้ความพยายามทั้งชีวิตเพื่อกวาดดินแดนทั่วทุกสารทิศและเป็นเจ้าโลกได้สำเร็จ! จิ่งเจียนคิดเช่นนี้

สายลมพัดมาแผ่วเบา หิมะเริ่มตกกลางดึก ข่าวที่รัฐเว่ยส่งราชทูตมาเพื่องานมงคลนั้นแพร่สะพัดไปทั่วนครเสียนหยางเพียงชั่วข้ามคืนเช่นเดียวกับหิมะต้นฤดูใบไม่ร่วง

การประชุมราชสำนักในช่วงเช้าราวกับระเบิดที่เดือดพล่าน การอภิเษกสมรสขององค์จักรพรรดิซึ่งถูกละเลยเนื่องจากกฎหมายเก่าใหม่ถูกบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมทันที และกลายเป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดสำหรับต้าฉิน

เหล่าตระกูลเก่าแก่ต่อต้านอย่างหนักหนาที่สุด พวกเขาแทบทุกคนรับไม่ได้ที่จักรพรรดินีในอนาคตเป็นสตรีชาวเว่ย! อีกทั้งพวกเขายังเริ่มมองหาคนที่เหมาะสมกว่า

เพียงพริบตาเดียว ทั้งรัฐก็คุยกันเรื่องงานมงคล

อิ๋งซื่อจะอภิเษกสมรสกับผู้ใดเห็นได้ชัดว่ามิใช่เรื่องของเขาเพียงผู้เดียวอีกแล้ว อีกทั้งเขายังต้องเติมเต็มความรับผิดชอบในฐานะองค์จักรพรรดิอีกด้วย

หิมะในนครเสียนหยางเพิ่งจะตกได้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ทว่าสายลมยิ่งโหมกระหน่ำขึ้นทุกที พัดพาเอาความโหดร้ายของตะวันตกเฉียงเหนือปกคลุมไปทั่วดินแดนอันไพศาลแห่งหล่งซี อีกทั้งยังพัดพาเอาข่าวไปยังหกรัฐแห่งจงหยวนอีกด้วย ข่าวที่ฉินเว่ยผู้มีความแค้นต่อกันจะปรองดองกะทันหันนั้นก่อให้เกิดความโกลาหลในรัฐต่างๆ

สิบวันต่อมา ขบวนรถของซ่งชูอีก็ได้มาถึงชายแดนแห่งรัฐฉู่แล้ว ทันทีที่ออกมาจากหุบเขา ข่าวเรื่องมงคลระหว่างฉินเว่ยก็เอ่อล้นจนมืดฟ้ามัวดิน

กู่จิงเป็นคนใจร้อน บวกกับเขาเป็นชาวฉินที่เกิดและโตในรัฐ ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ก็บันดาลโทสะทันที “เป็นถึงจวินแห่งต้าฉินผู้สง่างามจะแต่งกับยายแก่รัฐเว่ยได้เยี่ยงไรกัน!”

[1] ไว่เซียง “ไว่” หมายถึง “นอก” “เซียง” หมายถึง “รัฐมนตรี”กล่าวคือขุนนางผู้สานสัมพันธ์กับรัฐอื่น