บทที่ 203 แม่กับลูกปลอดภัย

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 203

แม่กับลูกปลอดภัย

หลินซีเหยียนก็ได้เอาเด็กออกมาจากในท้องของฮูหยินอิน จากนั้นก็เย็บปากแผลด้วยด้ายไส้ปลาที่ทำมาเป็นพิเศษ แล้วทายาแล้วพันผ้าพันแผลในรวดเดียว

แต่หลินซีเหยียนก็รู้ดีว่าในเวลานี้ถือว่ายังไม่พ้นขีดอันตราย มีเพียงฮูหยินอินรอดพ้นจากการติดเชื้อไปแล้วเท่านั้น

ส่วนทารกนั้นเพราะว่ายังขาดไปอีกเดือนกว่าๆ ร่างกายจึงยังเติบโตไม่เต็มที่ ดังนั้นจึงทำได้แค่คอยเฝ้าดูแลอย่างระมัดระวังเท่านั้น

เมื่อนางเปิดประตูออกมา มหาเสนาบดีหลินก็ได้มาต้อนรับนางทันที หลินซีเหยียนก็ได้ส่งมอบเด็กในอ้อมแขนของนางให้กับมหาเสนาบดีหลิน และบอกให้เขาให้ดูแลอย่างระมัดระวังและเตรียมที่จะกลับ

ในขณะที่นางกำลังเดินไปที่ประตู เสียงของหลินรั่วจิ่งก็ได้ดังมาจากข้างหลังของนาง “ท่านหมอผีเจ้าคะ ได้โปรดอยู่ต่อด้วยเถอะเจ้าค่ะ”

หลินซีเหยียนก็ได้ยืนนิ่งอยู่กับที่ และปรากฏแสงขึ้นมาในดวงตาของนางซึ่งทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่า หลินรั่วจิ่งนั้นมาเข้าหาหมอผีเพื่ออะไรกันแน่?

ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังคิดอยู่นั้น หลินรั่วจิ่งก็ได้เข้ามาหานาง หลินซีเหยียนนิ่งเงียบเพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรกันแน่

“ท่านคือท่านหมอผีที่โด่งดังไปทั่วทั้งแผ่นดินใช่หรือไม่?”

วันนี้หลินรั่วจิ่งสวมชุดสีชมพูซึ่งทำให้ผิวของนางนั้นขาวมากขึ้นไปอีก และสีชมพูนั้นก็ยังช่วยขับความงามของนางออกมาอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆลอยออกมาจากตัวนาง ซึ่งไม่ว่าจะดูยังไง ก็เหมือนกับว่าหลินรั่วจิ่งกำลังคิดยั่วยวนนางอยู่เป็นแน่

สีหน้าของหลินซีเหยียนก็ดูเย็นชาขึ้นมา และกล่าวด้วยโทนเสียงที่ดื้อรั้นราวกับไม่ไว้หน้าผู้พูดเลยแม้แต่น้อย “ใช่ข้าเอง เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไรงั้นเหรอ?”

“ข้าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านหมอผีมาได้สักพักแล้ว แต่ยังไม่เคยพบท่านเลย ไม่นึกเลยว่าชายผู้ที่มีวิชาการแพทย์ที่ไร้เทียมทานนั้นจะเป็นคุณชายอายุพอๆกับข้าเช่นนี้” หลินรั่วจิ่งนั้นได้พยายามทำให้ตัวเองดูยิ่งใหญ่เช่นกัน ครั้งหนึ่งนางนั้นเคยติดตามท่านอาจารย์ของนางไปไกลต่างแดนเพื่อศึกษาเล่าเรียน แต่น่าเสียดายที่นางนั้นเรียนรู้มาไม่ได้สักเศษเสี้ยวของนักปราชญ์เสียนอวิ๋นเลย

“มีผู้คนมากมายที่เลื่อมใสข้า ถ้าเจ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าขอตัวลา” หลินซีเหยียนก็ได้ทำสีหน้าไม่ยอมรับ ราวกับว่านางคงจะเสียหายอย่างมากหากว่านางเสวนากับหลินรั่วจิ่งต่อ

เมื่อเห็นเช่นนี้หลินรั่วจิ่งก็ได้กัดริมฝีปากสีแดงของนาง และดวงตาสีดำของนางนั้นดูเหมือนจะมีน้ำเอ่อขึ้นมา ซึ่งทำให้ผู้คนนั้นรู้สึกสงสาร

แต่หลินซีเหยียนนั้นหาได้สนใจไม่ อย่างไรเสียถึงแม้หลินรั่วจิ่งนั้นจะงดงาม แต่ก็ไม่ได้เหนือไปกว่านางเลย จึงได้เปิดปากของนางขึ้นมาและกล่าว “ดูเหมือนว่าท่านจะสบายดีสินะ”

จากนั้นนางก็ได้หันหลังและเตรียมจากไป ที่อยู่ของหมอผีนั้นไม่มีใครคาดเดาได้ จึงเกรงว่าคงจะเป็นเรื่องยากที่จะได้พบเขาอีกถ้าหากว่านางพลาดโอกาสนี้ไป ในเวลานี้หลินรั่วจิ่งจึงได้ตัดสินใจที่จะไล่ตามคว้าหมอผีเอาไว้

“ท่านหมอผี รั่วจิ่งมีคำถามในใจที่อยากจะถามท่าน” หลินรั่วจิ่งกล่าว “รั่วจิ่งคิดว่าตัวเองนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่า หลินซีเหยียนเลย แต่ทำไมท่านถึงได้ยอมให้นางพบกับท่านได้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้?”

หลินซีเหยียนก็ได้หยุดเดิน ดวงตาของนางก็เต็มไปสายตาที่สบประมาท “อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าตัวเองมีค่าพอที่จะพบกับข้างั้นเหรอ? ฐานะของเจ้า? ใบหน้าของเจ้า? หรือความสามารถของเจ้า?”

แต่ก่อนที่หลินรั่วจิ่งจะได้พูดออกมา หลินซีเหยียนก็ได้พูดต่อ “สิ่งเหล่านี้เจ้านั้นเทียบไม่ได้กับพี่รองของท่านเลย!”

ด้วยเหตุผลทั้งสามอย่างนี้ทำให้ศักดิ์ศรีของหลินรั่วจิ่งต้องร่วงลงกับพื้นและแตกสลาย หากพูดถึงฐานะของนางแล้วหลินซีเหยียนนั้นเป็นลูกภรรยาหลวงในขณะที่นางเป็นลูกภรรยาน้อย หากพูดถึงเรื่องหน้าตาแล้วหลินซีเหยียนเปรียบเหมือนดวงจันทร์ ในขณะที่นางเป็นเหมือนดวงดาว ถึงแม้จะส่องสว่างเหมือนกันแต่นางก็ยังไม่อาจโดดเด่นสู้ดวงจันทร์ได้

จะมีก็เพียงความสามารถที่นางอาจเทียบกับ หลินซีเหยียนได้ แต่ลำพังเท่านี้ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี หลินรั่วจิ่งจึงได้ดึงปลายเสื้อของหมอผีเอาไว้ “ถ้าหากว่าข้าสามารถเทียบเคียงกับหลินซีเหยียนได้ในอนาคตแล้ว ท่านจะยอมพบกับข้าหรือไม่?”

หลินซีเหยียนก็ได้ทำเสียงขึ้นจมูกเบาๆ แล้วจากนั้นก็ได้ตอบนาง “วันไหนที่เจ้าสามารถเหนือกว่านางได้แล้ว เจ้าค่อยมาหาข้าก็แล้วกัน!”

มองดูแผ่นหลังของหลินซีเหยียนที่จากไป ดวงตาของหลินรั่วจิ่งก็เต็มไปด้วยน้ำตา และเลือดสีแดงก็ดูเหมือนจะไหลออกมาจากมือที่กำแน่นของนาง

เมื่อสาวใช้ของหลินรั่วจิ่งมาพบเข้าก็ได้กล่าว “คุณหนู มือของท่านมีแผลนะเจ้าคะ”

เสียงที่แหลมสูงของสาวใช้ได้ทำให้หลินรั่วจิ่งรังเกียจขึ้นมา นางจึงได้ต่อว่าสาวใช้อย่างรุนแรง แล้วจากนั้นนางก็ได้รู้สึกดีขึ้นมา

จะน่าสงสารก็เพียงสาวใช้คนนั้น ทั้งๆที่นางภักดีต่อนางแท้ๆ แต่นางกลับถูกดุด่าเพราะว่านางดันไปเห็นสภาพที่ไม่สู้ดีของเจ้านายของตัวเอง

หลินซีเหยียนก็ได้เดินอ้อมไปที่กำแพงของตำหนัก เชียนเหยียนและเตรียมที่จะข้ามกำแพงเข้าไป แต่นางก็ไม่นึกว่าจะต้องมาพบกับซางกวนจิ่นเข้าที่นี่ โลกนี้ช่างกลมจริงๆ

ซางกวนจิ่นที่กำลังสะบัดพัดของเขาอย่างสบายใจอยู่นั้น ก็ได้หุบพัดแล้วมองไปที่หลินซีเหยียนที่กำลังปีนข้ามกำแพง แล้วกล่าว “น้องชาย ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้านั้นจะมีความสัมพันธ์ที่ยึดติดกับคุณหนูรองบ้านมหาเสนาบดีเช่นนั้น”

ทันทีที่หลินซีเหยียนได้ยินเสียงนี้ หลินซีเหยียนจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นยังอยู่ในชุดผู้ชายอยู่ จึงได้พลาดตกจากกำแพงและคิดว่าก้นคงได้กระแทกพื้นแน่ๆเสียแล้ว

แต่ก็ไม่นึกว่าซางกวนจิ่นนั้นจะมารับนางเอาไว้ก่อนจะตกลงพื้น “น้องชาย ไม่เจอกันตั้งนานตัวของเจ้าก็ยังผอมบางเช่นเคยนะ!”

ณ ตำหนักเชียนเหยียน เจียงหวายเย่เองก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวที่นอกกำแพงและอยากที่จะตรวจดู แต่เพราะเขาได้ยินเสียงของหลินซีเหยียนแว่วๆ แต่เขาก็ไม่สามารถใช้กำลังภายในได้ จึงได้ทำการออกคำสั่งกับอันอี้ “เจ้าไปดูหน่อยสิว่าเสี่ยวเหยียนนั้นอยู่ที่นอกกำแพงหรือเปล่า?”

อันอี้จึงได้ผงกหัวแล้วเหาะข้ามกำแพงไป พอหันไปมองดูนัยน์ตาของเขาก็ต้องหดเล็กลง เมื่อพบว่าพระชายาขององค์ชายนั้นกำลังอยู่ในอ้อมแขนของชายอื่นอยู่

ข้า…ควรจะ…บอกกับองค์ชายดีไหม?

เจียงหวายเย่ที่เห็นแผ่นหลังของอันอี้แข็งทื่อจึงคิดว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่ จึงได้ออกคำสั่ง “พาเราขึ้นไปที”

อันอี้จึงได้ถอนหายใจโล่งอก ให้องค์ชายมาเห็นด้วยตัวเองจะดีกว่า! เขาจึงได้เหาะลงมาแล้วพาองค์ชายขึ้นไปบนกำแพง

เมื่อเจียงหวายเย่เห็นซางกวนจิ่นที่กำลังอุ้มหลินซีเหยียนอยู่ในอ้อมแขนนั้น ก็ได้มีแววตาสีแดงฉานปรากฏในดวงตาของเขาทันที และยังแฝงไปด้วยความไม่พอใจอีกด้วย เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นไปให้คนอื่นอุ้มอย่างเชื่อฟังได้อย่างไร

ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว!

“อันอี้ พาเราลงไปที”

อันอี้ก็ได้รับคำสั่งแล้วเหาะลงมาพร้อมกับเจียงหวายเย่ ในขณะเดียวกันหลินซีเหยียนก็ได้ดิ้นหลุดจากอ้อมแขนของซางกวนจิ่น ซางกวนจิ่นนั้นสงสัยกับท่าทีของหลินซีเหยียนมาก

“พวกเราต่างก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ ไยเจ้าถึงได้ดูรังเกียจนักเล่า? นอกจากนี้ข้ายังเป็นคนที่ช่วยเจ้าเอาไว้แท้ๆ แต่ทำไมเจ้าถึงได้มองข้าด้วยสายตารังเกียจด้วย?”

ซางกวนจิ่นก็ได้โมโหและคิดที่จะสั่งสอนบทเรียนเจ้าเด็กตัวแสบนี่ แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสียก่อน

มีเจ้าหนุ่มหน้าขาวคนหนึ่งที่จู่ๆก็โผล่มาปกป้องเจ้าเด็กตัวแสบที่อยู่ด้านหลังเจ้าหนุ่มคนนั้นแล้ว เขาก็รู้สึกทุเรศลูกตาขึ้นมา “นี่เจ้าสองคนมีรสนิยมรักร่วมเพศงั้นเหรอ?”

เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรแล้วกล่าว “อวิ๋นเซวียน ของข้าไม่ชอบให้คนแปลกหน้าแตะต้อง ถ้าหากว่าล่วงเกินอะไรท่านไป ขอก็ต้องขอโทษด้วย”

“อ้อ เจ้าชื่ออวิ๋นเซวียนนี่เอง!” ซางกวนจิ่นนั้นไม่คิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนแปลกหน้าเลย แต่กลับรู้สึกสนิทมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่รู้ชื่อของเจ้าเด็กตัวแสบ

หลินซีเหยียนก็ได้ถอยฉากออกมาเพื่อหลีกหนีมือลวนลามของอีกฝ่ายแล้วกล่าว “แล้วคุณชายซางกวนจิ่นว่างมากหรืออย่างไร? ทำไมข้าถึงได้เจอท่านที่ด้านนอกกำแพงของจวนมหาเสนาบดีทุกครั้งด้วย?”

ซางกวนจิ่นก็ได้กะพริบตาอย่างเขินๆ แต่เมื่อคิดว่าฝ่ายตรงข้ามก็เหมือนกันกับเขาแล้วก็ได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็ว่างเหมือนกันหรอกเหรอ?”