ตอนที่ 234 เป็นเช่นนี้นี่เอง

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 234 เป็นเช่นนี้นี่เอง

นักพรตฉางเสวียนกวาดตามองทุกคนที่มองมาด้วยความฉงน จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างมินำพา

“พวกเจ้ารู้หรือไม่เหตุใดวันนี้ข้าจึงใช้เวลาหลายชั่วยาม กว่าจะมาถึงเชิงเขาไท่เสวียน ? ”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย

เหล่าผู้อาวุโสได้ยินเช่นนั้นก็สบตากันด้วยสีหน้างงงัน

ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ คำถามนี้ก็รบกวนจิตใจของพวกเขามิน้อย

แต่เพราะท่านบรรพจารย์เย่มาเยือนเขาไท่เสวียน ทำให้พวกเขาลืมคำถามนี้ไปชั่วขณะ

ในเมื่อนักพรตฉางเสวียนเป็นคนเอ่ยขึ้นมาเอง เช่นนั้นพวกเขาย่อมต้องอยากรู้ที่มาที่ไปของเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน เพราะอะไรหรือขอรับ ? ”

เป็นนักพรตชิงเย่ที่เอ่ยถามขึ้นมาก่อน

นักพรตฉางเสวียนกวาดตามองทุกคนด้วยรอยยิ้ม “เพราะข้าและท่านบรรพจารย์เย่เดินเท้ามา”

“ห๊ะ ? ”

ทันทีที่ได้ยินทุกคนก็มีสีหน้าสับสนยิ่งขึ้น

เพราะเขาไท่เสวียนห่างจากเมืองเสี่ยวฉือนับสิบลี้ เหตุใดท่านบรรพจารย์เย่ต้องเลือกที่จะเดินเท้ามาด้วย ?

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังสงสัยอะไรกันอยู่ แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ข้าเองก็สงสัยเหมือนกับพวกเจ้า”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยต่อ “แต่หลังจากที่ข้าได้ยินคำพูดนั้นของท่านบรรพจารย์เย่ และเดินเท้ามาตลอดทาง ข้าจึงได้เข้าใจจิตใจอันสูงส่งของท่านบรรพจารย์เย่อย่างลึกซึ้ง”

สิ้นเสียง สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ต่างกลับดูสับสนยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

‘คำพูดนั้นของท่านบรรพจารย์เย่ ? ’

‘จิตใจอันสูงส่งของท่านบรรพจารย์เย่ ? ’

‘แล้วท่านบรรพจารย์เย่พูดสิ่งใดกันแน่ ! ’

‘แล้วจิตใจอันสูงส่งของท่านบรรพจารย์เย่คืออะไร ! ’

ตอนนั้นเองนักพรตจิ่วจวีก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย แล้วถามด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจว่า “ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านบรรพจารย์เย่พูดอะไรกันแน่ แล้วเป็นจิตใจเช่นไร ท่านอย่ามัวแต่อมพะนำอยู่เลย รีบบอกพวกเรามาเถอะ ! ”

นักพรตหวังซาน เจ้ายอดเขาไผ่หยก ที่เป็นคนพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร สุดท้ายก็นั่งมิติดเช่นกัน

“ใช่แล้ว ศิษย์พี่ฉางเสวียนท่านรีบพูดออกมาเถอะ”

นักพรตหวังซานเอ่ยเร่งขึ้น

“อ่านตำราหมื่นเล่ม มิสู้ได้เดินทางหมื่นลี้”

นักพรตฉางเสวียนเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ จากนั้นก็ชะงักไป “ท่านบรรพจารย์เย่ยังเอ่ยอีกว่า ข้าเมื่อบำเพ็ญเพียรมานานบางคราก็ต้องปล่อยวาง ก้าวเท้าเดินออกไปยังโลกภายนอก บางทีอาจจะเข้าใจอะไรมากขึ้น”

เอ่ยถึงตรงนี้ดวงตาของนักพรตฉางเสวียนพลันเปล่งประกายขึ้น ก่อจะเอ่ยด้วยท่าทางตื่นเต้นว่า “เพราะเหตุนี้ระดับที่ข้าติดอยู่มาหลายร้อยปี ในที่สุดวันนี้ก็มีสัญญาณว่าจะบรรลุแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็มีท่าทางตกตะลึง มิกี่อึดใจต่อมาก็เผยสีหน้าสับสนออกมา

“ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นเรา นับตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญเพียรมาก็มุ่งฝึกฝนอย่างหนักทุกวัน หากข้าเข้าใจมิผิดแล้วล่ะก็ ความหมายของท่านบรรพจารย์เย่ก็คือผู้บำเพ็ญเพียรเช่นเรามุ่งแสวงหาแต่ความสำเร็จ กลับมิรู้ว่าทุกสรรพสิ่งล้วนแฝงหลักแห่งเต๋าที่มิสิ้นสุดเอาไว้”

“ใช่แล้ว พวกเจ้ายังจำประโยคที่ท่านบรรพจารย์เย่บอกแก่จางเฉินที่เมืองหลวงได้หรือไม่ ? ”

“คำกล่าวนั้นของท่านบรรพจารย์เย่ พวกข้าย่อมจำได้ น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ข้าหาได้เข้าใจใด ๆ ไม่ บัดนี้ดูเหมือนว่าท่านบรรพจารย์เย่จะชี้ทางสว่างให้พวกเราแล้ว ! ”

“ใช่ พวกเราโง่เขลามิอาจเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของท่านบรรพจารย์เย่ จนวันนี้จึงเพิ่งเข้าใจ”

“สมกับที่เป็นท่านบรรพจารย์เย่จริง ๆ จิตใจเช่นนี้หาใช่สิ่งที่คนเช่นพวกเราจะคาดเดาได้จริง ๆ ”

“ข้าตัดสินใจแล้ว หลังพิธีแต่งตั้งจบลงแล้ว ข้าจะลงจากเขาเดินเท้าท่องไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อตามหาโอกาสในการบรรลุ”

“ข้าก็ตัดสินใจแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง จะมิใช่พลังปราณโดยง่ายอีกเด็ดขาด”

ในตอนนั้นเองดวงตาของนักพรตหยวนเจี้ยนพลันเปล่งประกายขึ้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนักพรตฉางเสวียน

“ศิษย์พี่ฉางเสวียน ท่านหมายความว่าตอนนี้ท่านบรรพจารย์เย่กำลังเปิดอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ในหอเก็บตำราที่ละเล่มเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

นักพรตหยวนเจี้ยนเอ่ยขึ้นเมื่อได้สติ

นักพรตฉางเสวียน จึงพยักหน้ายิ้ม ๆ “หากข้าเดามิผิดล่ะก็ คงจะเป็นเช่นนั้น”

นักพรตหยวนเจี้ยนผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเข้าใจแล้ว ! ”

ขณะเดียวกันคนที่เหลือเองต่างก็พยักหน้ารับเช่นกัน

ในตอนนั้นเองลู่อู๋ซวงก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “ท่านเจ้าสำนัก ถ้าเช่นนั้นศิษย์จะกลับไปเฝ้าด้านนอกของหอเก็บตำราต่อนะเจ้าคะ”

“อู๋ซวง เจ้าจงจำเอาไว้”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าให้ แล้วเอ่ยเสียงจริงจังว่า “แม้ท่านบรรพจารย์เย่จะให้ความโปรดปรานเจ้า แต่เจ้าจะทำอะไรวู่วามมิได้เด็ดขาด ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ว่าการที่เจ้าได้ติดตามข้างกายของท่านบรรพจารย์เย่นั้น ขอเพียงเจ้าตั้งใจให้ดี ข้าเชื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรในอนาคตของเจ้าอย่างแน่นอน”

ลู่อู๋ซวงพยักหน้ารับคำในทันที

วินาทีต่อมา ระหว่างที่ลู่อู๋ซวงหมุนกายเตรียมจะจากไป

“เปรี้ยง ! ”

เจตจำนงกระบี่อันหนักแน่นเต็มไปด้วยพลังมหาศาลก็โหมกระหน่ำเข้ามาทันที

ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ภายในตำหนักไท่เสวียน ก็เต็มไปด้วยท่าทางตื่นตระหนก

“เจตจำนงแห่งกระบี่ ! ”

นักพรตหยวนเจี้ยนเอ่ยด้วยความตกใจขึ้นเป็นคนแรก “ดูเหมือนว่าเจตจำนงแห่งกระบี่ที่น่ากลัวนี้จะมาจากทางหอเก็บตำรา”

“หรือว่าจะเป็น… ท่านบรรพจารย์เย่ ? ”

นักพรตฉางเสวียนเงยหน้าขึ้น พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย

“แต่ว่าท่านบรรพจารย์เย่ไปอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ที่หอเก็บตำรามิใช่หรือ ? ”

“จริงด้วย เหตุใดท่านบรรพจารย์เย่จึงได้ปล่อยเจตจำนงแห่งกระบี่อันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาได้ หากใช้เจตจำนงแห่งกระบี่นี้ในการโจมตีล่ะก็เกรงว่าคงทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราย่อยยับลงภายในพริบตาเป็นแน่”

“เหลวไหลสิ้นดี ! ท่านบรรพจารย์เย่เป็นบรรพจารย์ของพวกเรา เขาจะทำร้ายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของเราได้เยี่ยงไรกัน ! ”

“ใช่แล้ว หรือว่าบันทึกเล่มนั้นจะดึงความทรงจำของท่านบรรพจารย์เย่ขึ้นมา ทำให้ท่านบรรพจารย์เย่เผลอปล่อยเจตจำนงแห่งกระบี่นี้ออกมาโดยมิรู้ตัว ? ”

“อืม คงจะเป็นเช่นนั้น ! ”

“มิใช่ มันต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ! ”

ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสกำลังถกเถียงกันด้วยความตื่นตระหนกอยู่นั้น

“พวกเจ้าดูนั่นสิ ที่หอเก็บตำรามีประกายกระบี่อันน่ากลัวพุ่งออกมาอีกแล้ว ! ”

ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยขึ้นอย่างตื่นกลัว

เหล่าผู้อาวุโสเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็รีบพุ่งตัวไปยังประตูทันที

เมื่อทอดมองออกไปก็เห็นประกายกระบี่สีทองเจิดจ้าสายหนึ่ง ทะยานทะลุผ่านหมู่เมฆขึ้นสู่ท้องนภา

เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่น่ากลัวยิ่งนัก !

ทุกคนที่ยืนอยู่หน้าประตูต่างอ้าปากค้างทันทีที่ได้เห็นภาพนี้ ท่าทางของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ผ่านไปมิกี่อึดใจ

นักพรตหยวนเจี้ยนก็ขมวดคิ้วแน่นพร้อมเอ่ยว่า “มิใช่ ประกายกระบี่นี้รวมทั้งไอพลังกระบี่นี้ เหมือนกับจะเป็นเคล็ดกระบี่แสงทองขั้นเริ่มต้นเล่มนั้น”

“ใช่แล้ว เป็นเคล็ดกระบี่แสงทอง ! ”

สิ้นเสียงก็มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยด้วยความหนักแน่นว่า

“ท่านบรรพจารย์เย่มีตบะบารมีเช่นไรกันแน่ เคล็ดกระบี่แสงทองเป็นเพียงเคล็ดกระบี่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น มิมีแม้กระทั่งระดับขั้นเสียด้วยซ้ำไป ! ”

ผู้อาวุโสที่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ท่านหนึ่ง อดมิได้ที่จะเอ่ยออกมา

ตอนนั้นเอง

“ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ? ”

นักพรตชิงเย่ดวงตาเปล่งประกายราวกับเปลวเพลิง พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “หากข้าเดามิผิดล่ะก็ ท่านบรรพจารย์เย่คงจะลงมาจากชั้นสองของหอเก็บตำราแล้ว”

นักพรตฉางเสวียนหันไปมองนักพรตชิงเย่ “เจ้าหมายความว่า ท่านบรรพจารย์เย่บังเอิญเหลือบไปเห็นเคล็ดกระบี่แสงทองเข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ทุกคนคงจะทราบดีว่าเคล็ดกระบี่แสงทองนี้ แม้จะเป็นเพียงเคล็ดกระบี่ขั้นเริ่มต้น แต่กลับสืบทอดมาอย่างยาวนานนับหมื่นปี”

นักพรตชิงเย่เอ่ยอย่างครุ่นคิด “เช่นนั้นข้าว่าท่านบรรพจารย์เย่คงเคยฝึกเคล็ดกระบี่แสงทองเล่มนี้ และทำให้หวนคิดถึงบางช่วงเวลานั้นขึ้นมา จึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้น”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ! ”

ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้