ตอนที่ 235 คืนนั้น อาจารย์แม่เคาะประตูห้องข้า

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 235 คืนนั้น อาจารย์แม่เคาะประตูห้องข้า

ระหว่างที่ทุกคนในตำหนักไท่เสวียน กำลังถกเถียงกันตามการคาดเดาของตนเองอยู่นั้น

ณ ชั้นหนึ่งของหอเก็บตำรา

เย่ฉางชิงก็กำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านเคล็ดกระบี่แสงทองเล่มนั้นอยู่

แน่นอนว่าแม้เคล็ดกระบี่แสงทองจะเป็นเพียงเคล็ดกระบี่ที่ไร้ระดับ แต่สำหรับมือใหม่ในการบำเพ็ญเพียรอย่างเย่ฉางชิงแล้ว นี่กลับมิต่างอะไรกับสุดยอดเคล็ดกระบี่เลยก็ว่าได้

ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังศึกษาเคล็ดกระบี่แสงทองอยู่นั้น เขาก็เผลอไปเปิดผนึกของเคล็ดกระบี่แสงทองเล่มนี้โดยบังเอิญ

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป

แสงบางอย่างแวบผ่านดวงตาของเย่ฉางชิงโดยบังเอิญ

“ห๊ะ ! ”

เย่ฉางชิงจึงเงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลานั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

จู่ ๆ ตรงหน้าของเขาก็มีกระบี่สีทองที่ยาวมิกี่จั้งเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างมิมีที่มาที่ไป

กระบี่สีทองเล่มนี้ลอยอยู่กลางอากาศ รอบ ๆ แผ่คลื่นแสงออกมามิหยุด มิหนำซ้ำยังมีสัญลักษณ์โบราณปรากฏขึ้นลางเลือนอีกด้วย

ขณะเดียวกันรอบ ๆ กระบี่ยังแผ่ไอพลังมหาศาลออกมามิหยุดด้วย

เห็นได้ชัดว่าสำหรับเย่ฉางชิงแล้ว กระบี่สีทองเล่มนี้มิมีความหมายอะไร

แต่หากมีผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่คนอื่นเห็นภาพนี้เข้าแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะตกใจจนอ้าปากค้างเลยทีเดียว

เพราะกระบี่สั้นสีทองเล่มนี้มิได้เกิดจากพลังปราณ แต่เกิดจากเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่ในตำนาน

“กระบี่เล่มนี้มันอะไรกัน ? ”

เย่ฉางชิงพิจารณากระบี่เล่มนี้ซ้ำไปซ้ำมา ก่อนเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ในตอนท้ายของเคล็ดกระบี่แสงทองเล่มนี้ได้เอ่ยถึง พลังวิญญาณหลอมรวม ไอกระบี่แปลงรูปร่าง ก็คือสิ่งที่เรียกว่าไอกระบี่ หรือว่ากระบี่เล่มนี้จะเป็นไอกระบี่ที่ข้าหลอมรวมออกมาโดยบังเอิญเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลังจากเงียบอยูครู่หนึ่งเย่ฉางชิงก็เพ่งสมาธิ กระบี่สีทองก็ส่งเสียงออกมาทันที เพียงพริบตาก็แปลงเป็นลำแสงสายหนึ่งโบยบินไปมาในหอเก็บตำรา

เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้

“ไอกระบี่ นี่ต้องเป็นสิ่งที่เรียกว่าไอกระบี่อย่างแน่นอน ! ”

เย่ฉางชิงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ “คาดมิถึงว่าข้าเพียงอ่านเคล็ดกระบี่แสงทองนี่ก็สามารถหลอมรวมไอกระบี่ออกมาโดยบังเอิญได้แล้ว หรือว่าข้าคืออัจฉริยะวิถีกระบี่ในตำนานเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อืม ข้าต้องเป็นอัจฉริยะวิถีกระบี่ในตำนานอย่างแน่นอน ! ”

“กั้นเจี้ยงและมั่วเย๋1 สลักกระบี่สองเล่มราวกับมังกรเหิน แสงบริสุทธิ์ราวหิมะสะท้อนดอกฟู๋หรงที่ผลิบาน แสงส่องไปทั่วทั้งฟ้าดิน แม้แต่อัสนีบาตยังต้องหลีกทาง”

“เยี่ยมไปเลย รอกลับไปเมืองเสี่ยวฉือเมื่อใด ข้าจะให้ท่านลุงซ่งช่วยตีสุดยอดกระบี่เหล็กให้ข้าสักเล่ม ถึงตอนนั้นข้าก็จะสามารถฝึกกระบี่ได้แล้ว มิแน่ภายภาคหน้าอาจจะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ ที่มิมีผู้ใดเทียบเคียงได้อีกก็เป็นได้”

เย่ฉางชิงคิดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ก่อนนำเคล็ดกระบี่แสงทองกลับไปวางบนชั้นหนังสือตามเดิม

จากนั้นเย่ฉางชิงก็มิได้เดินเล่นอยู่ที่ชั้นหนึ่งของหอเก็บตำราต่ออีก เขาหมุนกายตรงไปยังบันได ก่อนเดินไปทางชั้นสองของหอเก็บตำราต่อ

มินานเย่ฉางชิงก็ขึ้นมาถึงชั้นสองของหอเก็บตำรา

แต่เมื่อเขามาถึงหัวบันไดชั้นสองของหอเก็บตำรา ดวงตาพลันพร่ามัว ภายในโสตประสาทราวกับเกิดเสียงวิ๊งขึ้น ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า

ชั้นสองของหอเก็บตำรามีชั้นหนังสือที่วางเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบ

ด้านหน้าของชั้นหนังสือ จะมีบอกถึงคุณูปการที่เจ้าสำนักแต่ละรุ่นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้ทำเอาไว้

มองออกไปจะพบว่ามีชั้นหนังสือเช่นนี้วางเรียงกันอยู่กว่าสิบชั้น

นั่นหมายความว่าตั้งแต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก่อตั้งมาจนถึงบัดนี้ ได้ผ่านมากว่าสิบรุ่นแล้ว

อีกทั้งเจ้าสำนักแต่ละรุ่นยังมีอายุที่ยืนยาวอย่างมาก

ยกตัวอย่างเช่น ด้านหน้าของชั้นหนังสือหลังแรกเขียนเอาไว้ว่า

เจ้าสำนักรุ่นแรก นักพรตหยวนเสวียนบำเพ็ญเพียรหนึ่งหมื่นสามพันปี ประสบกับบททดสอบของสวรรค์ 99 ครั้ง สุดท้ายก็บรรลุเป็นเซียน…

และบนชั้นหนังสือหลังนี้ยังมีตำราอีกนับร้อยเล่มวางเอาไว้ ล้วนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่นักพรตหยวนเสวียนท่านนี้ดำรงตำแหน่งอยู่

เช่นนี้แล้วตำราที่ถูกจัดวางเอาไว้บนชั้นหนังสือสิบกว่าชั้นนี้ ย่อมต้องมีนับพันนับหมื่นเล่มอย่างแน่นอน

หมายความว่ามิมีทางเป็นไปได้เลย ที่เย่ฉางชิงจะสามารถเข้าใจประวัติของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้ทั้งหมดในระยะเวลาสั้น ๆ

“มิรู้ว่ายอดฝีมือของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนพวกนี้คิดอะไรอยู่ เหตุใดจึงคิดว่าข้าเป็นบรรพจารย์อะไรนั่นของพวกเขาไปได้นะ ? ”

“หรือว่าพวกเจ้าทั้งหมดร่วมมือกันแกล้งข้า ประวัติศาสตร์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกเจ้ายาวนานเพียงนี้ ต่อให้อยู่ที่นี่เป็นเดือน ๆ ก็มิแน่ว่าจะสามารถเข้าใจประวัติโดยรวมได้ทั้งหมด ! ”

“……”

เย่ฉางชิงบ่นไปพลาง พร้อมกับเริ่มเปิดตำราบนชั้นหนังสือด้วยความหดหู่ไปพลาง

จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป

ขณะที่สายตากำลังกวาดมองตำราเล่มหนาแถวหนึ่งอยู่นั้น ดวงตาของเย่ฉางชิงก็เป็นประกายขึ้นมา ก่อนที่ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มยินดีออกมา

เพราะเขาเจอตำราที่มีชื่อพิสดารเล่มหนึ่งเข้า

บันทึกตลอดชีวิตของเฉินหยวนเสวียนผู้สู่ขอภรรยามิสำเร็จ แต่กลับถูกบังคับให้บำเพ็ญเพียร !

หลังจากที่เขาได้เห็นชื่อหนังสือเล่มนี้ ขมับของเย่ฉางชิงก็มีเส้นเลือดยกขึ้นมา

เฉินหยวนเสวียน !

นักพรตหยวนเสวียน !

เห็นได้ชัดว่าเฉินหยวนเสวียนผู้นี้ก็คือบรรพจารย์รุ่นแรกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เย่ฉางชิงพูดมิออกก็คือ

‘บรรพจารย์รุ่นแรกท่านนี้ถือดีเช่นไรกัน’

‘แค่เพราะสู่ขอภรรยามิสำเร็จ จากนั้นเมื่อมิรู้ว่าควรจะทำเช่นไรจึงหันไปบำเพ็ญเพียร แต่สุดท้ายกลับบรรลุเป็นเซียนได้งั้นหรือ’

‘เจ้าจะดูถูกการบำเพ็ญเพียรเกินไปแล้วกระมัง ? ’

‘เหตุใดเจ้ามิไปบินอยู่บนฟ้าเลยเล่า ! ’

‘หรือเจ้ารู้อยู่แล้วว่าสักวันข้าจะมาปรากฏตัวที่นี่ เช่นนั้นจึงตั้งใจใช้สิ่งนี้เสียดสีข้าใช่หรือไม่ ? ’

‘มิใช่สิ ! ’

‘เจ้าสำนักรุ่นแรกผู้นี้บรรลุเป็นเซียนบนสวรรค์แล้วจริง ๆ นี่นา’

เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นก็เม้มริมฝีปากอย่างอัดอั้นตันใจ จากนั้นก็ค่อย ๆ เปิดหน้าแรกออก

มินานตัวอักษรโบราณในหน้านั้นก็ปรากฏสู่สายตา

ทว่าในวินาทีต่อมา ราวกับว่าตำราโบราณเล่มนี้มีผนึกพิเศษปิดเอาไว้

เพราะขณะที่เย่ฉางชิงเปิดตำราออก ได้ไปสัมผัสผนึกด้านบนเข้าโดยมิได้ตั้งใจ ทำให้ตัวอักษรโบราณที่ปรากฏเริ่มเลือนลางลงทันที

เมื่อเห็นเหตุการณ์ประหลาดนี้

ดวงตาของเย่ฉางชิงก็ต้องเบิกโพลง สีหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

‘คงมิเป็นอะไรหรอกกระมัง ? ’

ทว่าอึดใจต่อมา

แสงสีทองที่ดูหม่นหมองสายหนึ่งก็ได้เปล่งออกมาจากตำราโบราณ ก่อนจะหายเข้าไปกลางหน้าผากของเย่ฉางชิงภายในพริบตา

“หืม ? ! ”

ทันใดนั้นร่างกายของเย่ฉางชิงก็สั่นน้อย ๆ ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม

หน้าผากของเย่ฉางชิงก็มีเส้นเลือดยกขึ้นจนเห็นได้อย่างชัดเจน

ต้องบอกว่านักพรตหยวนเสวียนผู้นี้เป็นคนที่ฉลาดจริง ๆ

เขาใช้เคล็ดวิชาพิสดารทำให้เรื่องราวตลอดชีวิตของตนเองแปลงเป็นภาพแม้จะมิต่อเนื่องนัก จากนั้นก็ผนึกเอาไว้ในตำราโบราณเล่มนี้

อีกทั้งยังวางผนึกเอาไว้บนตำราโบราณเล่มนี้อีกด้วย เพียงแค่เปิดออกผนึกก็จะถูกกระตุ้น จากนั้นภาพก็จะปรากฏขึ้นในหัว โดยที่มิสามารถจะปฏิเสธได้

อีกทั้งยังมีเสียงทิ้งท้ายเอาไว้อีกด้วย

ความหมายคร่าว ๆ ก็คือ

เขาเฉินหยวนเสวียนผู้เป็นอันดับหนึ่งของยุคนั้น สามารถเอาชนะทุกคนในรุ่นเดียวกันได้เกือบหมด แต่ว่าการบำเพ็ญเพียรนั้นช่างไร้ความหมายนัก คนรุ่นหลังต้องจดจำเขาไว้เป็นบทเรียน

เย่ฉางชิงรู้สึกพูดมิออกจริง ๆ

บรรพจารย์รุ่นแรกเช่นเจ้ามีความแค้นอะไรต่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนกันแน่ ถึงได้เกลี้ยกล่อมคนรุ่นหลังเช่นนี้ ?

แต่ว่าสิ่งเดียวที่ทำให้เย่ฉางชิงรู้สึกพึงพอใจก็คือ

เขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนในยุคนั้นแล้ว

‘หากทุกชั้นหนังสือล้วนมีตำราโบราณเช่นนี้ คืนนี้ข้าก็คงสามารถเข้าใจประวัติศาสตร์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนได้ทั้งหมดแน่นอน’

เย่ฉางชิงคิดเช่นนั้นแล้วก็นำตำราโบราณเล่มนี้กลับไปวางบนชั้นหนังสือตามเดิม จากนั้นก็เดินมายังชั้นหนังสือชั้นที่สอง

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป เย่ฉางชิงก็หาหนังสือชีวประวัติเล่มหนึ่งเจอ

ทว่าในตอนที่เขาเห็นชื่อหนังสือนั้น เส้นเลือดที่ขมับของเย่ฉางชิงก็ต้องยกขึ้นมาอีกครั้ง

คืนนั้น อาจารย์แม่เคาะประตูห้องข้า นับแต่นั้นก็เดินบนเส้นทางที่มิมีวันหวนกลับ !

1 กั้นเจี้ยงและมั่วเย๋ เป็นชื่อกระบี่คู่โบราณที่มีชื่อเสียงมากคู่หนึ่งของประเทศจีน