ตอนที่211 เจ้าเล่ห์
นี่เขาอุตส่าห์อุตส่าห์ยอมดื่มไวน์แดงท่ามกลางดินเนอร์กับสองสาวแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่เป็นที่พอใจของหลินชูวโม่และถงเซียวเซียว
ไม่เพียงพวกเธอจะรั้งไม่ให้เขากลับบ้านเท่านั้น แต่หลินชูวโม่ยังได้โทรไปแจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าหมู่บ้านให้ทำอะไรสักอย่าง ไม่นานนัก เสียงกริ่งประตูบ้านก็ดังขึ้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดียวกับที่ตรวจบัตรประชาชนของฉีเล่ยตรงหน้าป้อม ก็เดินถือขวด Jhohnnie Walker Green Labelเข้ามา
ทันทีที่เห็นหน้าหลินชูวโม่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้น ก็ได้เอ่ยปากขอโทษด้วยความรู้สึกผิดทันที
“คุณหลิน ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ พอดีห้างแถวนี้เหลือแค่กรีนลาเบลเท่านั้น ส่วนบลูลาเบลที่คุณต้องการมันหมดแล้วครับ”
หลินชูวโม่ส่งยิ้มหวานที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้น พร้อมตอบกลับไปว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว”
จากนั้นเธอจึงได้หยิบธนบัตรใบละหนึ่งร้อยหยวนออกมาสองสามใบ ยื่นให้กับเขาเป็นค่าเหนื่อย ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบโค้งศรีษะลงขอบคุณอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณมากครับคุณหลิน ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกไม่ต้องให้เงินผมแล้วนะครับ ผมใช้เงินที่คุณหลินให้มานี้ซื้อแทนได้ คุณหลินให้มาทิปผมเยอะเกินไปครับ ผมเกรงใจ”
หลินชูวโม่ยิ้มและตอบกลับไปว่า
“เอาไปเถอะน่า ไว้ครั้งหน้าก็ค่อยเลี้ยงเหล้าฉันก็แล้วกัน”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตอบกลับเสียงตะกุกตะกัก
“ถ้าอย่างนั้น…ผมไม่รบกวนคุณหลินแล้วนะครับ ขอตัวก่อนครับ”
ขณะที่กำลังจะจากไป จู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังที่ขาวนวลเนียนของอีกฝ่าย ที่หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที แววตาเต็มไปด้วยความหื่นกระหายที่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
แต่หลังจากได้สติ ความกล้าภายในใจพลันดับสูญลงทันที แล้วรีบวิ่งหนีออกไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความงามระดับหลินชูวโม่จะสร้างแรงกดดันทางจิตใจให้กับผู้ชายธรรมดาๆอย่างอยู่หมัด ดูเหมือนจะมีเพียงฉีเล่ยคนเดียวเท่านั้น ที่แทบไม่ตอบสนองอะไรกับสิ่งเย้ายวนเหล่านี้เลย หรือเรียกว่าแทบจะด้านชาเลยก็ว่าได้
หลินชูวโม่เปิดขวดJhohnnie Walker Green Label แล้วเดินไปทางระเบียงบ้าน ปากก็ร้องตะโกนออกไปว่า
“มาดื่มกันต่อดีกว่า”
ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเวลานี้ดูแล้วช่างแปลกตาอย่างมาก ทุกอย่างดูสลับบทบาทหน้าที่กันไปหมด ความจริงแล้ว การจัดหาตระเตรียมเครื่องดื่มมึนเมาแบบนี้ น่าจะต้องเป็นหน้าที่ของผู้ชายอย่างฉีเล่ยมากกว่า แต่กลับกลายเป็นผู้หญิงที่เป็นฝ่ายจัดหาทุกอย่างให้เสร็จสรรพ
หลินชูวโม่จัดการฉีกล่องเหล้าโยนทิ้งทันที จากนั้นจึงได้ส่งแก้วเหล้าที่ภายในมีน้ำแข็งก้อนกลมก้อนใหญ่อยู่ ส่งให้ถงเซียวเซียวที่กำลังนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ จากนั้นจึงหันมาหยิบอีกแก้วส่งให้ฉีเล่ย
ฉีเล่ยนั่งจ้องแก้วใบนั้นอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยว่า
“ทำไมต้องใช้แก้วใหม่ด้วยล่ะ? ทำไมไม่เทใส่แก้วไวน์ที่ใช้อยู่นี่ล่ะ?”
“นี่มันคือศาสตร์แห่งการดื่มย่ะ เครื่องดื่มแต่ละอย่างต้องใช้แก้วที่มีลักษณะเหมาะสมต่างกันถึงจะอรรถรสในการดื่ม นี่นายไม่รู้เรื่องพวกนี้บ้างเลยเหรอ?”
ฉีเล่ยโบกมือปฏิเสธไปมา
“ไม่เลยครับ ผมดื่มเหล้าไม่เป็นด้วยซ้ำ”
หลินชูวโม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน
“โหยย…เป็นผู้ชายซะเปล่า แต่กลับดื่มไม่เป็นนี่นะ? นี่นายไม่ได้พูดเล่นใช่ไหมเนี่ย?”
ฉีเล่ยรีบอธิบายกลับไปทันที
“มันไม่ใช่แบบนั้น ถ้าผมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้ มันอาจทำให้ผมหมดสติไปได้ เมื่อกี้ก็ดื่มให้ตั้งจิบหนึ่งแล้ว ผมควรพอแค่นี้ดีกว่าครับ”
“จริงดิ?”
“จริงครับ”
ดวงตากกลมโตของหลินชูวโม่เป็นประกายขึ้นมาทันที เธอกระโดดโหยงดีดตัวขึ้นด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับพุ่งเข้าไปโอบเอวฉีเล่ยไว้แน่น และพยายามที่จะกรอกเหล้าเข้าปากอีกฝ่าย
“งั้นก็รีบดื่มเลย เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะดูแลตอนที่สุดหล่อหมดสติเองนะ”
ถงเซียวเซียวถึงกับตบมือหัวเราะชอบใจ ปากก็ร้องตะโกนสนับสนุนเพื่อนสาว
“เอาเลย เอาเลย! ตอนที่นายหมดสติไป คงจะน่ารักมากแน่ๆเลย”
ฉีเล่ยเม้มริมฝีปากกัดฟันแน่น เขาขอยอมตายดีกว่าที่จะต้องถูกหลินชูวโม่กรอกเหล้าเข้าปากแบบนี้ เขาพยายามทำทุกอย่างแม้กระทั่งเอาหน้าเข้าไปซุกหน้าอกอีกฝ่าย เพื่อพยายามต่อต้านอย่างที่สุด
หลังจากพยายามอยู่นาน ในที่สุดหลินชูวโม่ก็ล้มเหลวในการบังคับให้ฉีเล่ยดื่ม ทั้งสองหายใจเหนื่อยหอบอย่างหนักด้วยกันทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างก็จ้องตากันเขม็งราวกับกำลังเผชิญหน้าอยู่กับศัตรู ถงเซียวเซียวฉวยจังหวะนี้กระโดดเข้ามาล็อคแขนทั้งสองข้างของฉีเล่ยไว้ หลินชูวโม่ได้จังหวะจับขวดเหล้ายัดเข้าไปในปากของฉีเล่ย พร้อมกับกระดกเข้าไปในปากของเขาหลายอึกใหญ่
นางมารร้ายสองตัวนี้!
หลังจากดื่มเข้าไปแล้ว ฉีเล่ยก็รีบนั่งหลังเหยียดตรงทันที และกำลังเฝ้าสังเกตอย่างระมัดระวังว่า เส้นลมปราณตะวันฟ้าภายในกายของเขาจะกำเริบขึ้นมาหรือไม่?
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที…
ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆที่ร่างกายส่งออกมา อย่างมากก็แค่รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น
หรือเป็นไปได้ไหมว่า ร่างกายของเขาจะแข็งแรงขึ้นแล้วจริงๆ
แต่หลังจากใคร่ครวญได้ไม่นานนัก เขาก็ต้องตัดความคิดนี้ทิ้งไปทันที บางทีอาจเป็นเพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ เขาดื่มแอลกอฮอล์น้อยลงต่างหากล่ะ
สองสาวเฝ้าสังเกตฉีเล่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้หมดสติอย่างที่พูด หญิงสาวทั้งสองก็เอ่ยปากขึ้นด้วยความรู้สึกผิดหวัง
“ไหนนายบอกว่าจะหมดสติยังไงล่ะ? โกหกกันนี่นา โห…อดลักหลับเลย”
หลินชูวโม่ยื่นแก้วเหล้าให้กับฉีเล่ยอีกครั้งพร้อมกับรินเหล้าลงไป ปากก็พูดขึ้นว่า
“ตอนนี้ก็ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรแล้วนะ มาเร็วเข้า มาดื่มกับพวกเราสักแก้วก็แล้วกัน อุตส่าห์มาตั้งวงดื่มกันทั้งที ถ้านายไม่ดื่มด้วย บรรยากาศคงจะน่าเบื่อแย่จริงไหม?”
ถงเซียวเซียวยกแก้วเหล้าขึ้นจิบเข้าปากไปเล็กน้อย พลางแหงนหน้าเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรี ที่มีแสงสีสว่างไสวจากเมืองหลวงประดับอยู่ด้วย เธอยิ้มออกมาพร้อมพูดขึ้นอย่างมีความสุข
“ชีวิตแบบนี้เป็นชีวิตที่สบายจังเลย”
หลินชูวโม่เอนตัวยืดเหยียดบนเก้าอี้ แต่แล้วจู่ๆก็พูดโพล่งขึ้นมาว่า
“เซียวเซียว ไม่สนใจจะมาทำงานอย่างอื่นบ้างเหรอ?”
“จะให้ฉันไปทำอะไรล่ะ?”
เซียวเซียวเอ่ยถาม
หลินชูวโม่ยิ้มและกล่าวขึ้นว่า
“หลังจากที่ครีมชูวโม่ซูหยานออกสู่ท้องตลาดแล้ว สินค้าชิ้นนี้จะปฏิวัติวงการความสวยความงามครั้งใหญ่อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น ฉันวางแผนที่จะขยายสาขาไปทางตอนใต้ของจีนด้วย ถ้าแกสนใจจริงๆ ฉันอยากให้แกเข้ามาช่วยดูแล…”
“จะให้ฉันมาบริหารสาขาทางใต้? นี่พี่มั่นใจในฝีมือของฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็แกจบได้เกียรตินิยมจากสาขาบริหารไม่ใช่รึไง? เรื่องความรู้ของแก ฉันเองก็ไม่มีอะไรต้องห่วง? ที่เหลือก็แค่ประสบการณ์ ไว้ค่อยมาหาเอาระหว่างลงมือทำจริงๆ ผิดบ้างเล็กๆน้อยๆฉันไม่ว่าหรอกน่า แล้วที่สำคัญเลยนะ อาชีพนางแบบมันสั้นนะ ยิ่งอายุมากขึ้น ก็จะมีสาวๆรุ่นใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทนแก มันไม่ใช่อาชีพที่เแกจะหากินกับมันไปได้จนตาย ดังนั้นแกควรคิดหาทางออกไว้ตั้งแต่เนิ่นๆได้แล้ว”
หลินชูวโม่ร้องบอกด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“อีกอย่าง แกเองก็อยากกลับบ้านเกิดด้วยไม่ใช่เหรอ? ถ้าแกสนใจจริงๆ เดี๋ยวฉันจะลงไปทำการตลาดทางใต้กับแกด้วย ที่เหลือก็ปล่อยให้แกบริหาร แค่พยายามป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแย่งพื้นที่การตลาด คงไม่ยากไปสำหรับแกมั๊ง”
ถงเซียวเซียวร้องถามพร้อมกับเบิกตาโพลง
“นี่แกแน่ใจแล้วเหรอว่าจะให้ฉันทำ?”
หลินชูวโม่คลี่ยิ้มและหันไปมองฉีเล่ยที่นั่งดมแก้วเหล้าอยู่ข้างๆ พลางตอบกลับไปว่า
“ทั้งเจ้าของหลักทั้งเจ้าของรองก็นั่งก๊งเหล้ากับแกอยู่ตรงหนี้ แกยังมีอะไรต้องกังวลอีกล่ะ?”
“แล้วถ้าแกรับงานนี้ พวกเราสองคนก็จะกลายมาเป็นลูกน้องของสุดหล่อตรงหน้านี้ แต่ของบอกไว้ก่อนว่า ถึงตอนนั้น ถ้าหมอนี่อุตริคิดกฏระเบียบบ้าๆบอๆอะไรออกมา พวกเราสองคนคงทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอม เพราะแม้แต่ฉันเอง… ก็คงปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน”
ถงเซียวเซียวเหลือบมองไปทางฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พี่หลินก็แค่ปากเก่งเท่านั้นล่ะ ที่จริงไม่มีอะไรหรอก ทางที่ดีนายรีบจับเธอให้อยู่หมัดก่อนที่จะมีผู้ชายคนอื่นแย่งไป”
หลินชูวโม่หัวเราะและตอบกลับไปว่า
“คนที่สามารถกำราบฉันได้ยังไม่ปรากฏตัวจ้ะ”
จากนั้นเธอก็หันไปมองฉีเล่ยและพูดขึ้นว่า
“สุดหล่อ ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะปรากฏตัว ทางที่ดีรีบรวบหัวรวบหางพี่สาวคนนี้ก่อนจะดีกว่าไหม?”
ถงเซียวเซียวรีบพูดแทรกขึ้นทันที
“แต่ถ้าฝืนใจเอาพี่หลินไม่ลงจริงๆ ฉันเองก็ยังว่างอยู่นะ…สนรึเปล่าล่ะ?”
“.…”
ฉีเล่ยนั่งดมแก้วเหล้านิ่ง ไม่เอ่ยตอบใดๆทั้งสิ้น
อะไร? ทำไมฉันต้องรวบหัวรวบหางพวกเธอด้วยล่ะ?
ความหมายที่แท้จริงของสองสาวชัดเจนมากว่า ต้องการให้เขารีบๆเปลี่ยนข้าวดิบให้เป็นข้าวสุกนั่นเอง
หลินชูวโม่ขยิบตาให้ฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ไม่ตอบก็เท่ากับไม่ปฏิเสธนะ?”
“ใครบอกล่ะ? ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น…”
“อยากใช่มั๊ยล่ะ?”
“.…”
เมื่อเห็นฉีเล่ยนั่งบิดไปบิดมาคล้ายขวยเขิน ร่างทั้งร่างของหลินชูวโม่ก็ถึงกับสั่นเทา ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น
“ดูนายสิ! น่ารักชะมัด! ทำอย่างกับว่าเป็นแมลงน้องผู้น่าสงสาร ที่ทำได้แค่นั่งมองสาวสวยสองคน แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เห็นแล้วเศร้าแทนชะมัด ฮ่าๆๆ”