ตอนที่212 เลิกขับเถอะ
ถงเซียวเซียวทำราวกับมองไม่เห็นและไม่ได้ยินสิ่งที่หลินชูวโม่พูด แล้วหันไปพูดกับฉีเล่ยว่า
“อย่าไปสนใจพี่หลินเลย คนอะไรจิกกัดผู้ชายดีๆแบบนายอยู่ได้ ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือยังไง?”
หลินชูวโม่ได้แต่ตอบกลับยิ้มๆ
“เหรอจ๊ะ? ถ้าฉันจำไม่ผิด ครั้งก่อนที่นั่งเมาท์กัน…แกยังบอกว่าบริสุทธิ์อยู่ใช่ไหม? ทำไมคืนนี้แกกับฉันไม่มาร่วมมือกันล่ะ เดี๋ยวฉันช่วยแกเองดีไหม? อิอิ…”
“ไปตายซะ!”
ถงเซียวเซียวสาดเหล้าในแก้วใส่หลินชูวโม่ทันทีที่พูดจบ และอีกฝ่ายก็สามารถหลบหลีกได้อย่างทันท่วงที แต่ฉีเล่ยที่เอาแต่นั่งมึนงงอยู่ กลับถูกเหล้าสาดใส่หน้าเต็มๆ
“อ๊ะ! ฉันขอโทษ”
ถงเซียวเซียวรีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกทันที หวังจะช่วยเช็ดหน้าที่เปียกปอนกับให้ฉีเล่ย แต่เพราะไม่ทันได้ระวังตัว จึงก้าวไปเหยียบพื้นที่เปียกโชกไปด้วยเหล้าจนลื่นล้ม ร่างทั้งร่างโถมเข้าใส่อ้อมแขนของฉีเล่ยอย่างพอดิบพอดีราวกับจับวาง
หลินชูวโม่เหล่ตามองชายหนุ่มหญิงสาวที่อยู่ในท่าสวมกอดกันและกัน พร้อมกับพูดติดตลกขึ้นว่า
“ฉันจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วกัน ส่วนคืนนี้พวกเธอก็ไปนอนบนเตียงฉันก็แล้วกัน ส่วนฉันจะเสียสละไปนอนโซฟาด้านนอกเอง เชิญทำอะไรกันได้ตามสบาย ขอแค่อย่าทิ้งคราบเอาไว้ก็พอ หุหุ…”
“….”
“.…”
แต่ถึงแม้หลินชูวโม่จะพูดออกมาแบบนั้น แต่ท้ายที่สุดในคืนนั้น ฉีเล่ยก็ยังคงได้นอนบนโซฟาอยู่ดี
…………..
เป็นเพราะเมื่อคืนเขานั่งดื่มกับสองสาวจนดึกจนดื่น ฉีเล่ยก็เลยตื่นสาย และไม่ได้ไปออกกำลังกายเหมือนปกติที่เคยทำ และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เห็นแสงแดดสาดส่องรอดผ่านช่องกระจกสว่างไสวไปทั่วทั้งพื้นแล้ว
หลินชูวโม่ที่อยู่ในชุดกางเกงขายาวพร้อมกับเสื้อยืดหลวมๆกำลังยืนถูพื้นอยู่ ส่วนถงเซียวเซียวนั้นอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวบางและกางเกงขาสั้น ทั้งยังมีผ้ากันเปื้อนแขวนคอไว้อยู่ เธอกำลังเข้าครัวทำอาหารเช้าให้ทุกคน ระหว่างนั้น สองสาวก็หันหน้ามาพูดคุยกันพลางหัวเราะคิกคักกันพลางตามภาษาผู้หญิง
แต่แล้วจู่ๆ ฉีเล่ยก็พลันคิดเรื่องสัปดนขึ้นมาทันมา
มีชีวิตแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ระหว่างที่พูดนั้นกลับรู้สึกอึดอัดช่วงล่างอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อลองใช้มือเข้าไปลูบคลำดูก็ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย
ทำไมถึงเปียกๆห๊ะ? เมื่อคืนฝันถึงสาวคนไหนรึเปล่านะ?
เมื่อหญิงสาวทั้งสองหันไปเห็นฉีเล่ยที่ลุกขึ้นนั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าท่าทีงุนงง หลินชูวโม่จึงได้แต่คลี่ยิ้มให้พร้อมกับร้องถามออกไปว่า
“ยังไงจ๊ะสุดหล่อ ตื่นขึ้นมาแล้วก็รีบๆตั้งสติหน่อย หลังอาหารมื้อเช้าวันนี้ พวกเรายังมีธุระสำคัญต้องทำอีกมากนะจ๊ะ”
“ธุระอะไร?”
ฉีเล่ยนั่งอึ้งไปชั่วครู่ พลางคิดกับตัวเองว่า นี่มันวันอาทิตย์ ฉันไม่มีสอนนี่นา แล้วยังมีธุระสำคัญอะไรอีก?
หลินชูวโม่ตอบกลับยิ้มๆ
“ดูท่าจะปล่อยให้เหล้าเข้าปากนายไม่ได้จริงๆแฮะ นี่นายจำไม่ได้แล้วเหรอที่ฉันบอกไปทางโทรศัพท์ว่า มีคนอยากจะเจอนายน่ะ แถมยังมีเรื่องสำคัญมากอีกด้วยนะ นี่นายลืมได้ยังไงเนี่ย?”
ชายเสื้อยืดตัวหลวมที่หลินชูวโม่สวมใส่ถูกมัดรวบเป็นปมเหมือนเสื้อเอวลอย เผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบนวลเนียนสุดเซ็กซี่ และเมื่อมายืนต่อหน้าฉีเล่ยใกล้ๆแบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าเธอดูน่ารักมากทีเดียว
ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่ใช่มีดีแค่ใบหน้าจริงๆ ทั้งทรวดทรงองเอวของเธอช่างดูสมบูรณ์แบบไร้ที่ติจริงๆ!
“ก็เซียวเซียวไม่ใช่เหรอ? ยังมีใครอยากเจอผมอีก?”
“ไม่ใช่ๆ ยัยนั่นแค่เพื่อนร่วมดื่มเมื่อคืนเท่านั้นเอง ส่วนคนที่เรากำลังจะไปเจอมีเรื่องสำคัญมากจริงๆ”
“เรื่องอะไรอีกล่ะ?”
“นายจำยัยคุณหนูที่มาคลินิกของฉันพร้อมบอดี้การ์ดกับขบวนรถRolls-Royceคราวก่อนได้ใช่มั๊ย?”
“อ่าห๊ะ จำได้”
เมื่อได้ยินแบบนั้น จู่ๆฉีเล่ยก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที
“อืมมนั่นล่ะ เธอนัดกับฉันไว้ให้ไปพบกันที่คลีนิคตอนสิบโมงเช้าวันนี้”
“แล้วยังไง? ก็นั่นมันเรื่องของคุณ ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผม”
“แต่เธอบอกว่าต้องเรียกนายมาด้วยไง”
“ผมขอปฏิเสธ”
“นายห้ามปฏิเสธ เพราะตอนนี้เธอได้กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของครีมเราแล้ว”
ฉีเล่ยได้แต่ยิ้มขมขื่นออกมา
“นี่ก็คงจะเป็น…ธุระสำคัญที่คุณบอกว่าอยากจะคุยกับผมสินะ?”
หลินชูวโม่พยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า
“ถูกต้อง ก็เพราะอย่างนี้ยังไงล่ะถึงได้มาปรึกษาหารือนาย ส่วนหลังจากนี้จะเป็นยังไงเดี๋ยวก็จะได้รู้กันเอง”
…..
จนกระทั่งขึ้นรถไป ฉีเล่ยเองก็ยังคงบ่นไม่หยุดว่า
“ทำไมคุณจะต้องเออออไปกับผู้หญิงคนนั้นซะทุกเรื่อง? หรือเธอมีเสน่ห์มากมายจนทำให้คุณหลงหัวปักหัวปำ?”
หลินชูวโม่ตอบโต้กลับไปทันทีในขณะที่กำลังขับรถไปด้วย
“นี่นายยังมีความเป็นผู้ชายหลงเหลืออยู่รึเปล่าเนี่ย? ว่าเซียวเซียวสวยเหมือนนางฟ้าลงมาจุติแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้สวยยิ่งกว่านางฟ้าด้วยซ้ำ ขนาดฉันเป็นผู้หญิงเหมือนกันยังถึงกับน้ำลายสอทุกครั้งที่ได้เห็น แต่นายกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลยนี่นะ? นี่นกเขาของนายไม่ขันแล้วรึไง?”
ก่อนหน้านี้หลินชูวโม่พูดอยู่เสมอว่าเธอไม่ชอบขับรถ แต่วันนี้ถึงขั้นลงทุนขับMercedes-Benzออกมาจากโรงรถด้วยตัวเอง ฉีเล่ยจึงได้แต่เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“วันนี้นึกอะไรขึ้นมาถึงได้ขับรถเอง?”
หลินชูวโม่ส่งสายตาค้อนให้กับฉีเล่ยพร้อมตอบกลับไปว่า
“นัดเจรจาธุรกิจกับลูกค้ารายใหญ่ จะให้นั่งแท็กซี่ไปหางั้นเหรอ? ขายหน้าตาย!”
ถงเซียวเซียวเองก็ติดรถมาด้วยเช่นกัน เธอนั่งอยู่เบาะหลังด้านคนขับ เธออยู่ในชุดเรียบง่าย กางเกงยีนส์สีน้ำเงิน เสื้อสเวตเตอร์รูปหัวใจพร้อมกับผ้าพันคอไหมสีดำที่ผูกไว้หลวมๆ แต่ก็มีสไตล์อย่าบอกใคร
ถงเซียวเซียวเองก็อดที่จะถามขึ้นด้วยสีหน้าระคนสงสัยไม่ได้ว่า
“มาคุยเรื่องธุรกิจกัน แล้วจะลากฉันมาด้วยทำไมกัน?”
หลินชูวโม่หัวเราะออกมาก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ก็เธอเป็นพนักงานแบบเต็มเวลาคนแรกของบริษัทเรายังไงล่ะ วันนี้ก็เลยต้องพาไปพบกับลูกค้ารายใหญ่ด้วย เผื่อจะได้เก็บเกี่ยววิธีคิดและกลยุทธ์อะไรไปปรับใช้กับแผนพัฒนาแผนธุรกิจในอนาคตได้บ้าง”
“ฟังดูดี งั้นฉันของีบเอาแรงก่อนละ”
หลินชูวโม่หันไปทางฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า
“ว่ายังไงคะท่านCEO ดิฉันพูดถูกไหมคะ?”
ฉีเล่ยที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับ หันกลับมาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“ตั้งใจขับรถไปเถอะน่า”
ฉีเล่ยได้แต่คิดในใจว่า อย่าว่าแต่หญิงสาวจะไม่ชอบขับรถเลย สงสัยรถเองก็คงไม่อยากให้เจ๊แกขับเหมือนกัน เพราะขนาดขับรถอยู่แท้ๆยังอุตสาห์หันมาคุยกับเขาและเซียวเซียวไม่หยุด บางทีก็พึมพำอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว
คงจะไม่เป็นอะไรหรอกหากเธอจะทำแบบนี้ระหว่างขับรถตามตรอกซอกซอย แต่นี่กำลังขับอยู่บนทางด่วนระหว่างตัวเมือง เสี้ยวจังหวะที่เธอหันมาพูดอะไรสักประโยค ตัวรถก็ถึงกับแกว่งไปซ้ายทีขวาที จนรถด้านหลังถึงขั้นบีบแตร่ใส่ไม่หยุด
ดีแล้วล่ะที่รู้ตัวว่าไม่ชอบขับรถ ถ้าที่ผ่านมาเธอขับรถไปไหนมาไหนเอง คงต้องเกิดอุบัติเหตุเข้าสักวันแน่
ขนาดโดนรถคันอื่นบีบแตร่ใส่ขนาดนี้ หลินชูวโม่ยังไม่มีท่าทีสนใจด้วยซ้ำไป ต้องให้ฉีเล่ยเอ่ยปากบ่นไปอีกชุดใหญ่ เธอจึงจะหันมาจดจ่ออยู่กับการขับรถตรงหน้าได้ แต่ปากก็ยังพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด
“ฉันไม่เห็นด้วยหรอกนะที่ต้องปฏิเสธลูกค้ารายใหญ่ขนาดนี้ไป ไม่กี่วันก่อนเลขาสาวของเธอก็มาหาฉัน เพื่อติดต่อขอทำบัตรสมาชิกระดับSupreme สำหรับนำไปแจกให้กับกลุ่มกรรมการระดับอาวุโสหญิงในบริษัทเกือบ300คน คนหนึ่งก็ตกราวๆแสนกว่าหยวน แล้วลองคิดดูสิว่า300คนจะรวมเป็นเงินเท่าไหร่? ทำเอาคลินิกเล็กๆของฉันมีเงินสะพัดขึ้นมาทันตาเห็น ขอแค่มีคุณหนูคนนี้แค่คนเดียวบนโลก รับรองว่าฉันก็ไม่อดตายแน่!”
หลังจากหยุดหายใจ หลินชูวโม่ก็ฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับพูดขึ้นอย่างไร้ยางอาย
“ฉีเล่ย ฉันนึกวิธีอะไรดีๆได้แล้ว ดูท่าคุณหนูมหาเศรษฐีคนนั้นจะชื่นชอบนายมากเลยนะ ทำไมนายถึงไม่แต่งงานกับเธอล่ะ แล้วให้ฉันมาเป็นเมียน้อยของนายอีกที ฉันไม่ขออะไรมาก ขอแค่นายให้เงินเดือนฉันสำหรับซื้อของที่อยากได้ก็พอแล้ว ถ้านายแต่งกับยัยคุณหนูคนนี้ รับรองว่าต่อไปเงินก็ไม่ใช่สิ่งที่หายากหาเย็นอีกต่อไปแล้วล่ะ”
ถงเซียวเซียวพูดขึ้นเสียงดุ
“ความสัมพันธ์ชู้สาวเชิงธุรกิจงั้นเหรอ?”
หลินชูวโม่แสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า
“นี่แกควรจะเลิกจิกกัดฉันได้แล้วนะ ตอนนี้แกเป็นพนักงานของฉันแล้ว ถ้าฉันได้ดีแกเองก็ได้ดีตามไปด้วยนะ อย่าลืม!”
ถงเซียวเซียวปิดปากเงียบ เฝ้าจินตนาการไปถึงตอนที่เธอได้กลายเป็นมหาเศรษฐีช้อปปิ้งด้วยงบประมาณที่จำกัดไม่อั้น พร้อมกับนั่งยิ้มหวานอยู่คนเดียวที่เบาะหลังรถ
ฉีเล่ยที่เห็นแบบนั้นถึงกับกุมขมับ เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า สุดท้ายผู้หญิงสองคนนี้ดีหรือเลวกันแน่?
แต่สักครู่หนึ่ง หลินชูวโม่ที่เห็นเพื่อนสาวกำลังฝันหวานก็ได้แต่นึกหมั่นไส้ เธอละสายตาจากท้องถนนหันไปเอื้อมมือหยิกเซียวเซียวหนึ่งที
Mercedes-Benzของหลินชูวโม่เริ่มส่ายไปมาอีกครั้ง….
ปรี๊นนน….
ฉีเล่ยร้องไห้ไม่มีน้ำตา ถึงไม่เห็นแก่รถคันอื่น ก็ช่วยกรุณาเห็นแก่ชีวิตของฉันด้วยเถอะ!
เขาไม่รู้เลยว่า หลินชูวโม่สอบใบขับขี่ผ่านมาได้ยังไง? ยัดเงินเอางั้นเหรอ?
กว่าจะถึงจุดหมาย ฉีเล่ยต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตายนับครั้งไม่ถ้วน ชนิดที่เรียกว่าต่อให้มีเก้าชีวิตก็คงจะยังไม่พอ และเมื่อมาถึงคลินิกชูวโม่ ฉีเล่ยยังคงนั่งนิ่งไม่ออกจากรถ ตอนนี้เขารู้สึกแข้งขาอ่อนแรงจนก้าวไปไหนไม่ได้แล้ว
เวรเอ๊ย…เล่นเอาฉี่เกือบแตก…